สวัสดีคะท่านผู้อ่านอีกครั้งนะค่ะ วันนี้ชะนีแคระจะพาทุกท่านไปเที่ยว
รัฐบอลติก (Baltic State) กันค่ะหลายคนอาจจะสงสัยว่าประเทศรัฐบอลติก มันอยุ่แห่งหนใดของโลกใบนี้ โดยเฉพาะชาวไทยอาจจะไม่คุ้นหูมากนัก เนื่องจากประเทศรัฐบอลติกเป็นประเทศน้องใหม่ในยุโรปค่ะ เพิ่งได้รับเอกราชภายหลังจากการล่มสลายของสภาพโซเวียต ราวๆ 20 ปีนี่เอง
ประเทศรัฐบอลติกเป็นประเทศล้อมรอบทะเลบอลติก จะอยู่ทางตะวันออกของยุโรป ใกล้กับรัสเซีย ประกอบไปด้วยกัน 3 ประเทศ คือ ประเทศลิทัวเนีย (Lithuania) ลัตเวีย(Latvia) และก็เอสโทเนีย (Estonia) โดยทั้ง 3 ประเทศก็เปรียบเสมือนบ้านพี่เมืองน้องกัน
ทำไมชะนีแคระถึงเลือกที่จะมาเที่ยวในรัฐบอลติก ? ก็เพราะว่า ชะนีแคระชื่นชอบบ้านเมืองน่ารักสไตล์กรุงปราก แล้วไปอ่านหนังสือท่องเที่ยวเค้าบอกว่าถ้าใครที่ชอบบ้านเมืองน่ารักมีเสน่ห์ แนวๆกรุงปรากนี้แล้วคุณต้องหลงรักประเทศในรัฐบอลติกแน่นอน ที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพงด้วยค่ะ ชะนีแคระเลยทำการศึกษาหาข้อมูลแล้วก็พบว่ามันก็มีที่เที่ยวที่น่าสนใจมากมาย และก็ไม่พลุกพล่านด้วยนักท่องเที่ยวให้เสียอารามณ์ด้วยค่ะ
การเดินทางในทริปครั้งนี้ของชะนีแคระ เดินทางในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2014 ซึ่งอากาศกำลังสบายราวๆ 15-24 องศาได้ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ชะนีแคระแนะนำมาเที่ยวประเทศแถบนี้ในหน้าร้อนดีกว่า เพราะถ้ามาเที่ยวช่วงหน้าหนาวแล้วก็อาจจะหนาวมากๆ สำหรับชาวไทยผู้ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวเย็น มาช่วงเดือนมิย.- กย เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ทริปนี้แพลนว่าเราจะแวะไปเที่ยวทั้ง 3 ประเทศ โดยเราจะอยุ่ที่ประเทศลิทัวเนีย 4 วัน ลัตเวีย 2 วัน และก็เอสโทเนีย 2 วัน เราออกเดินทางจากปารีสไปที่หมายแรกของทริปกัน เราจะไปเที่ยวเมืองวิลนีอุส (Vilnius) ประเทศลิทัวเนีย( Lithunia)
เมืองวิลนีอุส (Vilnius) เป็นเมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย (Lithuania) บ้างก็เรียกว่าวิลเนียสบ้าง ขึ้นอยู่กับภาษาที่ใช้เรียก ชื่อของเมืองนี้มีที่มาจากชื่อของแม่น้ำไหลผ่านเมือง ชื่อแม่น้ำวิลเนีย Vilnia ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมือง วิลนีอุสนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด และมีประชากรหนาแน่นที่สุดในประเทศลิทัวเนีย และประเทศลิทัวเนียก็เพิ่งจะเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป( EU) ดังนั้นหากท่านผู้อ่านที่สนใจจะเดินทางมาเที่ยวต้องขอวีซ่าแบบเชงเก้นนะค่ะ ส่วนสกุลเงินที่ประเทศลิทัวเนียขณะตอนที่ชะนีแคระเดินทางใช้สกุล ลิตัส( LTL) ตกราว 1 ลิตัส ประมาณ 11.8 บาท แต่ประเทศลิทัวเนียจะพร้อมใช้เงินสกุล EURO ในต้นเดือนมกราคม 2015 หากท่านผู้อ่านจะมาช่วงปี 2015ก็แลกเงินยูโรมาเลยนะค่ะ
วันที่ 1
ชะนีแคระมาถึงกรุงวิลนีอุส ราวๆบ่ายสี่โมงเย็น กว่าจะแลกเงิน และก็สอบถามข้อมูลการเดินทางจากสนามบินมาโรงแรมที่พักเล่นเอาสะงงเลย เนื่องจากคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียประกอบกับเจ้าหน้าที่หน้าดุมาก ไม่ยิ้มเลย คือชะนีแคระเคยได้ยินคนฝรั่งเศสพูดกันว่าคนในประเทศแถบนี้มักไม่ค่อยเป็นมิตร หน้าจะนิ่งไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ อะไรประมาณนั้น มาวันแรกก็โดนดีซะแล้ว คือชะนีแคระแวะซื้อของที่สนามบินก็จะหาแลกตังเป็นแบงค์เล็กเพราะใช้ขึ้นรถเมลล์เข้าเมืองก็เข้าไปซื้อน้ำที่ร้านขายของในสนามบิน พนักงานสาวนางทอนเงินขาดไป 100 ลิตัส ดีนะชะนีแคระเป็นคนรอบคอบเช็คเงินก่อน นางอาจจะเห็นชะนีแคระหัวดำหน้าตาดูงงๆกับชีวิตคิดว่าจะเป็นเหยื่อง่ายๆ ก็ถือเป็นว่าเป็นบทเรียนให้ท่านผู้อ่านระวังเช็คเงินทอนก่อนเก็บใส่กระเป๋าทุกครั้งนะคะ
|
สนามบินนานาชาติที่กรุงวิสนีอุส |
ชะนีแคระเดินทางจากสนามบินเข้าใจกลางกรุงวิลนีอุส ด้วยรถเมล์ค่ะ ส่วนราคาก็ประมาณ 3.5 ltl.ซึ่งราคาเดียวกันกับรถ tram นะค่ะ เราก็สามารถซื้อตั๋วกับคนขับได้เลยค่ะ ข้อแนะนำไม่ควรใช้แบงค์ใหญ่จ่ายนะค่ะ เพราะคนขับเค้าไม่มีทอน ซื้อตั๋วแล้วก็อย่าลืมเอาไปตอกบัตรที่เครื่องตอกบัตรในรถเมล์ด้วยนะค่ะ ถึงเราจะมีตั๋วแล้วแต่ไม่ได้ตอกบัตรหากเจ้าหน้าที่มาตรวจก็ต้องเสียค่าปรับได้
|
หน้าตารถ tramในกรุงวิลนีอุส |
หลังจากเช็คอินเก็บข้าวของที่โรงแรมแล้ว ก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้วค่ะ แต่โชคดีช่วงนี้หน้าร้อนค่ะกว่าพระอาทิตย์จะตกก็เกือบสี่ทุ่ม ยังพอมีเวลาเที่ยวว่าแล้วชะนีแคระก็ขอออกไปสำรวจรอบๆย่านใจกลางเมืองกันก่อนเลยคะ เราไปเที่ยว
ย่านเขตเมืองเก่ากัน ( Old town) เราเดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอย่าน
Town Hall square จัตุรัสย่านนี้เป็นแหล่งสังสรรค์ของชาววิลนีอุส มีร้านอาหารมากมาย โดยอาคารด้านหลัง Town hall เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาใน คศ.18 ปัจจุบันใช้เป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวในกรุงวิลนีอุส
|
Town hall square |
|
อาคาร Town Hall |
เดินถัดมาหน่อยเราเดินเล่นไปเรื่อยๆ ย่านถนน Ausros vartu g.ก็เจอนี้เลยค่ะ โบสถ์ St. Casimir โบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการยกย่องนักบุญเซนต์ Casimir เป็นนักบุญผู้คุ้มครองของวิลนีอุสในปี 1602
|
ด้านนอกของโบสถ์ St. Casimir |
|
ภายด้านในโบสถ์ |
เราก็เดินเล่นไปในถนน Ausros Vartu g.ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่ของเมืองวิลนีอุสเรากะจะมาเจอนี่เลยค่ะ ประตูเมืองวิลนีอุส (Gate of Dawn) เป็นประตูเมืองเก่าทางทิศใต้ที่หลงเหลือเพียงแห่งเดียวในกรุงวิลนีอุส เพราะผลจากการถูกทำลายในช่วงสงคราม
|
ประตูเมืองวิลนีอุส (Gate of Dawn) |
|
กำแพงเมืองเก่าใกล้กับประตูเมือง |
|
ถนน Ausros Vartu g. |
ตลอดสองฝากฝั่งถนนก็เต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก หากมาย่านรัฐบอลติกห้ามพลาดเลยนะค่ะ ที่นี่เค้าดังเรื่องอำพัน Amber มาวิลนีอุสอย่าลืมซื้อติดกลับไปนะคะ ราคาไม่แพงมากค่ะ
|
ร้านขายเครื่องประดับจากอำพัน |
|
เครื่องประดับอำพัน |
เราลองเดินย้อนขึ้นเพื่อจะไปเดินเล่น
ย่านถนน Pilies g. เค้าบอกย่านนี้เป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายของที่ระลึก และคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ชะนีแคระตั้งใจว่าจะไปหาอะไรทานสำหรับค่ำคืนนี้ก่อนกลับที่พัก ระหว่างทางผ่านเห็นโบสถ์สไตล์ออร์โทอดอกซ์ แสดงให้เห็นถึงร่องรอยการปกครองของสหภาพโซเวียตอยุ่
|
โบสถ์ St. Paraskeve's Orthodox |
เอาหละ มาถึงแล้วถนน Pilies g. พอตกเย็นคนเริ่มคึกคัก ตอนแรกยังไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวมากนัก พอเดินมาถึงถนนนี้หละ นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ผู้คนขวักไขว่ ทำให้รุ้สึกวิลนีอุสเต็มไปด้วยสีสันแล้ว
|
ย่านถนน Pilies g. |
เดินไปตามถนนมุมไหน มักจะเห็นร้านกาแฟ Coffee inn คงจะสไตล์เดียวกะสตาร์บัค เค้าบอกหนุ่มสาวชาววิลนีอุสชอบมาพบปะสังสรรค์ ที่ร้านกาแฟซึ่งมีอยุ่ทุกแยกเมือง เดียวก่อนกลับชะนีแคระต้องมาลองนั่งดูมั่งจะได้ฮิตอินแทรนด์แบบหนุ่มสาวชาววิลนีอุส ระหว่างถ่ายดันเจอหนุ่มวิลนีอุสหน้าตาดีติดเฟรมมาด้วย อิอิ
ก่อนจะกลับที่พักคืนนี้ชะนีแคระขอหาอะไรทานง่ายๆก่อนแล้วกันนะ ก็นี้มื้อนี้ตบท้ายด้วยอาหารอิตาเลียน สปาเก็ตตี้ พิซซ่า ไว้คืนพรุ่งนี้เราค่อยลองจัดอาหารชุดใหญ่ของชาวลิทัวเนียกัน
เช้าวันที่ 2
วันนี้ช่วงเช้าเราแวะไปเที่ยวเมืองทราไก (Trakai) แบบเช้าเย็นกลับซึ่งเดียวจะมาเล่าให้ฟังในตอนหน้า แต่การไปเที่ยวทราไกนั้น ใช้เวลาไม่นานยิ่งวันนี้เราออกกันแต่เช้า ทำให้กลับถึงเมืองวิลนีอุส ราวบ่ายสี่โมงกว่าๆ วันนี้แดดแรงดีมาก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราก็เที่ยวในตัวเมืองวิลนีอุสต่อกันเลย จุดมุ่งหมายต่อไปของวันนี้ Gediminas Tower เจ้าหอคอยอันนี้น่าจะเป็นหอคอยป้อมปราการเก่าแก่ของเมือง เดียวเราจะเดินขึ้นไปถ่ายรูปวิวสูงเพื่อจะได้เห็นบรรยากาศรอบเมืองวิลนีอุสในมูมสูงกัน ยิ่งแดดดีแบบนี้ภาพคงออกมาถูกใจทีเดียว แต่มองขึ้นไปแววอย่าเพิ่งท้อนะค่ะ เห็นอยู่บนเนินเขาลิบๆ ชะนีแคระขอตะเกียกตะกายขึ้นไปถ่ายภาพมาให้ท่านผู้ชมได้ดูกันนนะค่ะ
|
Gediminas Tower |
กว่าชะนีแคระจะขึ้นมาถึงบนยอดหอคอยเล่นเอาซะหอบแฮกเลยค่ะตามสังขารนะค่ะ แต่พอขึ้นมาแล้วอยากจะกรี๊ดร้อง อยากจะบอกว่ามันมีลิฟต์อยู่อีกด้านหนึ่งถ้าใครไม่อยากเดิน ก็นั่งลิฟต์ขึ้นมาบนยอดหอคอยนีได้ค่ะจะได้ไม่ต้องปวดแข้งปวดขาอย่างชะนีแคระ
|
ขึ้นมาด้านบนเหมือนมีซากปราสาท หรือป้อมปราการสักอย่าง |
เอาหละค่ะก่อนเข้าไปในหอคอยด้านในขอเก็บภาพเมืองวิลนีอุสมุมสูงกันนะค่ะ ขอบอกสวยมากๆเลยค่ะ
|
ภาพมุมสูงเมืองวิลนีอุส |
|
มองลงมาด้านล่างเห็นมหาวิหาร Basilica และพระราชวัง |
มองลงมาฝั่งนี้เห็นพระราชวัง และมหาวิหาร Basilica อยุ่ด้านล่างเดียวเราลงจากหอคอยแล้วจะแวะเข้าไปชม
|
แม่น้ำ Neris กันเขตฝั่งเมืองใหม่ของวิลนีอุส |
มุมนี้เห็นฝั่งเมืองใหม่ที่เป็นย่านธุรกิจของเมืองอยุ่อีกฝั่งของแม่น้ำเนลิส ( Neris) แม่น้ำสายสำคัญอีกสายของวิลนีอุส
|
เห็นแล้วธงชาติประเทศลิทัวเนีย |
หลังจากถ่ายรูปวิวเสร็จแล้วกลับมาดูตัวหอคอยกันบ้าง ภายด้านในหอคอยจะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงถึงประวัติความเป็นมาของประเทศลิทัวเนียตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งจะมีการจัดแสดงหุ่นนักรบใส่เกราะโบราณ อาวุธต่างๆ และก็ประวัติความเป็นมาในช่วงที่ประเทศลิทัวเนียตกอยุ่ภายใต้การปกครองของสวีเดน เยอรมัน และสหภาพโซเวียต แทบจะไม่เคยมีช่วงเวลาที่ประเทศเป็นเอกราชเลย ซึ่งชะนีแคระก็ขอเล่าประวัติคร่าวๆถึงความยากลำบากของคนลิทัวเนียในช่วงคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตเรืองอำนาจในช่วงนั้น ประชาชนต้องอดอยากยากแค้นแสนสาหัส อาหารการกิน พืชพันธุ์ธัญญาหารที่ผลิตได้ในประเทศกลับต้องถูกรัสเซียขนเกณฑ์กลับประเทศแม่หมด ผู้คนอดอยากอาหารจะกินได้ก็แค่ขนมปังเก่าๆ กับหัวมันฝรั่งเท่านั้น ถ้าใครอยากจะกินเนื้อสักชิ้นต้องไปต่อคิวรอซื้อกว่า 5 ชั่วโมง ท่ามกลางความหนาวเย็น หรือใครเป็นปัญญาชน พ่อค้าวาณิช มีความรุ้ ก็ถูกฆ่าทิ้งหรือถูกเกณฑ์ไปอยุ่ค่ายกักกันในเขตไซบีเรีย ฟังดูโหดร้าย จนกระทั่งวันที่สหภาพโซเวียตกำลังจะล่มสลาย ชาวเมืองทั้งสามประเทศลิทัวเนีย ลัตเวีย และก็เอสโทเนีย ต่างพากันจุดเทียนและจับมือกันเป็นกำแพงมนุษย์ที่มีความยาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โลกเพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังและความต้องการเป็นเอกราชไม่กลัวแม้แต่ทหารของสหภาพโซเวียตที่ขนรถถังเข้ามา ในที่สุดทั้งสามประเทศพี่น้องบอลติกก็สามารถเอาชนะกองทัพสหภาพโซเวียตได้ ได้รับเอกราชในที่สุดด้วยพลังบริสุทธิ์
ที่เล่ามาทั้งหมดชะนีแคระได้ดูวีดีโอวันที่ประชาชนจับมือกันเดินเพื่อต่อสู้กับโซเวียตที่จัดแสดงอยุ่ภายในพิพิธภัณฑ์แล้วรุ้สึกหดหู่ใจ ใครไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นคงไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด หวังว่าหากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสมาเยือนวิลนีอุสลองแวะมาชมกันนะค่ะ
เอาหละค่ะเบรคอารมณ์เศร้ากันนิดเราลงจากเนินเขาเพื่อจะไปเยี่ยมชมมหาวิหาร Basilica (Cathedral Basilica) ซึ่งเป็นมหาวิหารสำคัญของเมือง หากใครมาเที่ยวกรุงวิลนีอุสแล้วห้ามพลาดเด็ดขาดนะค่ะ ถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญเลย
|
มหาวิหาร Basilicaและหอระฆัง |
มหาวิหาร Basilica ถูกสร้างขึ้นในตอนแรก คศ. ที่ 14 แต่เป็นอาคารไม้และถูกสร้างต่อเติมขึ้นมา แต่ถูกทำลายในช่วงสมัยสตาลิน แห่งสหภาพโซเวียตเรืองอำนาจ แต่ตอนหลังชาวเมืองได้บูรณะใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน เข้าฟรีนะค่ะ พอดีตอนนี้ได้เวลาสวดมนต์เย็นกัน ชาววิลนีอุสเข้ามาสวดมนต์กันเต็มเลยค่ะ
|
ภายในมหาวิหารตกแต่งอย่างเรียบง่าย |
|
ด้านข้างมหาวิหารจะมีลานกว้าง หนุ่มสาวชาววิลเนียสมักจะมานั่งเล่นกัน |
และตรงกลางลานมหาวิหาร Basilica จะมีอนุเสาวรีย์ของกษัตริย์องค์แรก และองค์เดียวของวิลนีอุสพระนามว่า Gediminas Grand Duke of Lithuania พระเจ้าเกดิมินัส ได้ทรงย้ายเมืองหลวงเดิมจากเมืองทราไก (Trakai) มาเป็นวิลนีอุส เนื่องจากทรงพระสุบินว่า ได้เห็นสุนัขจิ้งจอกเหล็กมาบอกให้สร้างเมืองใหม่ใกล้กับแม่น้ำวิลเนีย Vilnia พอหลังตื่นจากพระบรรทม พระเจ้าเกดิมินัส ก็ได้ออกมาสำรวจ
ตรงสถานที่ตามนิมิต พบว่าเป็นตำแหน่งที่มีชัยภูมิที่ดีต่อการป้องกันข้าศึกศัตรู พระองค์จึงทรงตัดสินใจย้ายราชธานี และสร้างความเจริญให้กับวิลนีอุสถึงจนปัจจุบัน
|
อนุเสาวรีย์กษัตริย์องค์แรกแห่งวิลเนียส |
เดินถัดจากมหาวิหาร Basilica มาหน่อยก็เจอนี่เลยพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติประเทศลิทัวเนีย( National Meuseum of Lithuania) แต่น่าเสียดายช่วงที่ไปนี้ปิดซ่อมปรับปรุงอยุ่เลยไม่ได้เข้าชม หากใครสนใจก็แวะไปชมกันได้นะค่ะ บริเวณด้านหน้ามีรูปปั้นกษัตริย์เกดิมินัสอยุ่ด้วยค่ะ
|
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย |
วันนี้พระอาทิตย์ตกช้ามากจะสองทุ่มแล้ว ท้องฟ้ายังไม่มืดเลย ชะนีแคระแอนเดอะแกงค์ก็ลุยเดินกันต่อเลยที่
ถนน Gedimino pr. จะเป็นถนนย่านช็อปปิ้งแบรนด์เนมดังๆ ถือว่าเป็นน้องๆถนนชองเอลิเซ่ย์ของฝรั่งเศสนะคะ แต่ตอนนี้ร้านต่างๆปิดกันส่วนใหญ่แล้ววันนี้เก็บเอารายละเอียดทำเลที่ตั้งไว้วันสุดท้ายจะลองแวะกลับมาช็อปปิ้งกัน
|
ถนน Gedimino pr. |
ระหว่างเดินๆอยุ่ สะดุดตากับนี้เลยค่ะโรงละคะแห่งชาติลิทัวเนีย ( Lithuania National Drama Theater) เลยถ่ายสัญลักษณ์ด้านหน้ามาฝากท่านผู้อ่านกัน
|
โรงละครแห่งชาติ |
หลังจากเดินเล่นเกือบจะสามทุ่มแล้ว ก็ถึงเวลาไปหาของกินมื้อค่ำวันนี้ก่อนกลับโรงแรมนะ เราอยากลองชิมอาหารสไตล์คนลิทัวเนียดู ว่าแล้วอ่านจากคุ่มือหนังสือท่องเที่ยวเค้าแนะนำร้านนี้เลย ร้านดั่งเดิมเก่าแกของคนวิลเนียส ร้านชื่อว่า Forto Dvaras นี้ตั้งอยุ่บนถนน Pilies g. จุดเด่นของร้านนี้คือมีชั้นใต้ดินด้วย เดียวเราจะลองไปกินดูกัน
|
บรรยากาศภายนอกร้าน คนเยอะมากต้องต่อคิวรอ |
|
บรรยากาศห้องใต้ดิน |
อาหารประเทศยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์ไม่เลิศหรูเหมือนอาหารฝั่งยุโรปตะวันตก จะเป็นอาหารง่ายๆเน้นเนื่อสัตว์ ผักและมันฝรั่งเป็นหลัก และจะเป็นอาหารจานใหญ่ คุณสาวๆที่กลัวอ้วนก็ระวังจะทานกันไม่หมดนะ
|
ปลากับข้าว |
|
ไก่กับมันบด |
ชะนีแคระลองถามพนักงานเสิร์ฟว่าเมนูไหนเป็นอาหารขึ้นชื่อของคนลิทัวเนีย แบบมาแล้วต้องสั่งทาน นางแนะนำจานนี้เลย
Traditional Zeepelins และนี่อาหารว่างของคนลิทัวเนียแต่มันเป็นอาหารหลักของชะนีแคระเลย ข้างนอกจะเป็นมันฝรั่งผสมเนย ส่วนข้างในจะมีไส้หมู ทานกับซอสคู่กัน แต่หลังจากทานรุ้สึกอ้วนขึ้นเพราะมันหนัก มันเลี่ยนๆ น่าจะเหมาะกับหน้าหนาว อากาศหนาวคงจะอุ่น หน้าร้อนแบบนี้รุ้สึกอึดอัดมากหลังจากทานไป
|
Traditional Zeepelins |
หลังจากทานเสร็จกลับที่พักนอนเอาแรงสำหรับเที่ยววันพรุ่งนี้
เช้าวันที่ 3
วันนี้ตื่นสายหน่อยนะค่ะเพราะคงจะเพลียกับการตะลอนทัวร์เมื่อวาน เราเริ่มออกเดินทางเที่ยวกันต่อราวสิบโมงเช้า วันนี้เราเริ่มต้นไปเที่ยวที่
ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งลิทัวเนีย (The Presidential Palace)กันนะ โดยภายในมีบ้านพักของประธานาธิบดีแห่งลิทัวเนีย ทำเนียบจะเปิดเฉพาะสำหรับมีงานพิธีสำคัญกับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้นค่ะ ชะนีแคระก็ได้แต่เก็บรูปด้านหน้ามาฝาก เช้านี้เริ่มมีกรุ๊ปทัวร์มา 2-3 กลุ่มที่เดียว ที่สำคัญชะนีแคระดีใจมีกรุ๊ปเอเชียมาด้วย 1 กรุ๊ป มาเที่ยว 2-3 วันแล้วหานักท่องเที่ยวหัวดำหน้าตาเอเชียได้น้อยมากในวิลนีอุส
|
ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งลิทัวเนีย |
จากนั้นก็เดินไปต่อกันใกล้ๆกับทำเนียบประธานาธิบดี วันนี้เราจะไปเที่ยว มหาวิทยาลัยแห่งวิลนีอุส (Vilnius University Ensemble)กัน มหาวิทยาลัยแห่งวิลนีอุส ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงในยุโรปเหนือ ถูกสร้างขึ้นในคศ. 15 เนื่องจากสมัยนั้นหากใครที่ต้องการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยต้องข้ามไปเรียนที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ดังนั้นท่านดุคซ์แห่งวิลนีอุสจึงคิดที่จะสร้างมหาวิทยาลัยแห่งแรกขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาศิลปะวิทยาการ ในสมัยนั้นก็มีนักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์มากมาย หลายท่านที่จบการเรียนการสอนจากมหาลัยวิลนีอุส จะว่าไปว่าวิลนีอุสถือเป็นจุดศูนย์กลางของการเรียนการสอน ศิลปะวิทยาการในรัฐบอลติกเลยก็ได้ ที่สำคัญมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ยังเปิดมีการเรียนการสอนอยุ่จนถึงทุกวันนี้
|
มหาวิทยาลัยวิลนีอุส |
การซื้อบัตรเข้าชมภายในมหาวิทยาลัยจะแบ่งการเข้าชมออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเข้าชมหอคอย โดยด้านล่างหอคอยมีการจัดนิทรรศการประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย ผลงานที่มีชื่อเสียง และส่วนบนสุดสามารถชมวิวรอบกรุงวิลนีอุสได้ ส่วนที่ 2 ก็จะเป็นเข้าชมโบสถ์เซนต์จอห์น (St. Johns' church) และก็ภายในมหาวิทยาลัยคณะต่างๆที่ยังเปิดการเรียนการสอน ที่สำคัญหากใครเป็นนักเรียนนักศึกษาก็สามารถโชว์บัตรนักเรียนจะได้ส่วนลดด้วยนะค่ะ ชะนีแคระใช้บัตรนักศึกษาต่างชาติในฝรั่งเศสก็สามารถได้ส่วนลดค่ะ มีข้อแนะนำส่วนใหญ่พวกพิพิธภัณฑ์ในยุโรปจะให้ส่วนลดกับนักเรียนอายุต่ำกว่า 25 ปี บางทีก็ไม่จำกัดอายุ ไปเที่ยวทุกครั้งก็พกบัตรนักเรียนนักศึกษาติดไปด้วยนะค่ะ อย่างน้อยก็พอช่วยประหยัดได้ไม่มากก็น้อยค่ะ
|
ท่านดุคซ์ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งวิลนีอุส |
|
วิวที่ถ่ายจากหอคอยด้านในมหาวิทยาลัยวิลนีอุส |
|
เห็นทั่วเขตเมืองเก่าวิลนีอุส |
|
ภายในโบสถ์เซนต์จอห์น |
หลังจากเที่ยวทั่วมหาวิทยาลัยวิลนีอุส เดี่ยวเราข้ามไปเที่ยวกันต่อใน เขตรัฐอุสซูพีส (Uzupis Replubic) เป็นเขตปกครองพิเศษเล็กๆที่ไม่ขึ้นกับวิลนีอุส ชาวอุสซูพีสจะพูดภาษาลิทัวเนีย และใช้เงินสกุลเดียวกับชาววิลนีอุส เขตรัฐอุสซูพีสมีขนาดพื้นที่เล็กมากถ้าเทียบกับบ้านเราคงตำบล หรือเทศบาลอะไรประามาณนี้ ซึ่งเขตนี้จะอยุ่ทางตะวันออกของเมืองเก่าวิลนีอุส อยุ่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำวิลเนีย เขตนี่จะเป็นเมืองของนักศิลปิน สไตล์คล้ายย่าน Montmartre ในฝรั่งเศส เดียวเราจะแวะไปเดินเล่นและหาอาหารกลางวันทานกันนะค่ะ นี่ก็ได้เวลาจะบ่ายแล้ว
|
สองฝั่งแม่น่ำวิลเนีย Vilnia |
เราเดินกันมาเรื่อยจนถึงแม่น้ำวิลเนีย แล้วชะนีแคระเก็บภาพบรรยากาศร่มรื่นของแม่น้ำวิลเนียมาให้ชมกันนะ ถ้าข้ามสะพานไปก็ไปเขตอุสซูพีส รีพลับบิคแล้วค่ะ
ก่อนจะข้ามสะพานเข้าเขตอูซูพีส ก็เจอป้ายนี้ค่ะ ดูแล้วก็ตลกดี ตรงมีสัญลักษณ์คนยิ้มค่ะ ซึ่งเค้ากำลังบอกว่าประชาชนในเขตอูซูพีส ใจดี ยิ้มแย้มต้อนรับนักท่องเที่ยวค่ะซึ่งต่างจากคนในวิลนีอุส ซึ่งจะหายิ้มแย้ม บริการนักท่องเที่ยวได้น้อยมาก ซึ่งจากความรู้สึกของชะนีแคระที่เคยไปเที่ยวมาในหลายประเทศชาววิลนีอุสนี่หละที่หน้าตาไม่รับแขกสุดๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนนะค่ะ บางทีชะนีแคระก็เจอพนักงานใจดี ยิ้มให้ก็มีค่ะ
|
Uzupis Angel จัตุรัสกลางเขตอุสซูพีส |
เราก็เดินมาถึงจัตุรัสกลางเขตอุสซูพีสแล้วนะคะ ก็เจอกับอนุเสาวรีย์ Uzupis Angel
|
มีพวกภาพวาดจิตรกรรมตามผนังกำแพงด้วยคะ |
หลังจากหาอะไรรองท้องง่ายๆในเขตอุสซูพีสนะค่ะ เราก็ข้ามฝั่งกลับเข้ามาในเมืองวิลนีอุสกันต่อ นี่ค่ะเราเดินไป
โบสถ์เซนต์แอน (St. Anne and Bernardine Church) เป็นโบสถ์ไสตล์โกธิกที่สร้างอย่างประณีต และได้รับรางวัลจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วยนะค่ะ โบสถ์นี้สวยมากขนาดเมื่อสมัยก่อน นโปเลียนแห่งฝรั่งเศสได้ยกทัพผ่านมาเห็นโบสถ์นี้แล้วยากจะรื้อเอากลับไปสร้างใหม่ที่ฝรั่งเศส ถึงขนาดนโปเลียนพูดว่าหากโบสถ์เซนต์แอนมีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ก็คงจะหยิบกลับปารีสแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีของชาววิลนีอุสที่ความคิดนั้นไม่สำเร็จ
|
โบสถ์เซนต์แอน |
|
ด้านหน้าโบสถ์เซนต์แอน |
สามารถเข้าชมได้ฟรี และด้านข้างของโบสถ์เซนต์แอน จะเห็นรูปปั้นอนุเสาวรีย์ของ Adam Mickiewicz ผู้นำในการต่อสู้กับสภาพโซเวียต
|
อนุเสาวรีย์ Adam Mickiewicz
|
โปรแกรมปิดท้ายยามเย็นวันนี้ตั้งใจว่าจะไปชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับที่คุมขังนักโทษในช่วงสงครามคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจซึ่งอยุ่ทางตะวันตกของเมือง ระหว่างทางชะนีแคระก็เดินซอกแซกไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอซอยนี้คะ ถนนแห่งนักประพันธ์(Literaty street) เป็นถนนที่มีการรวบรวมและจารึกชื่อนักกวี และนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของชาววิลนีอุส แปะไว้บนกำแพง
|
ถนนแห่งนักประพันธ์ |
มาถึงสถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้นะคะเรามาเที่ยว
Museum of Genocide Victims( KGB)ชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเหยื่อสงครามและคุกที่คุมขังนักโทษในช่วงสภาพโซเวียตเรืองอำนาจกันนะ จะว่าไปมันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายและแสนเจ็บปวดที่สุดของชาวลิทัวเนีย
อดีตตึกนี้ทั้งตึกถูกใช้เป็นสำนักงานสืบสวนสอบสวนและที่คุมขัง ทรมานและสังหารนักโทษของ KGB ของสภาพโซเวียตในช่วงสมัยที่คอมมิวนิสต์รุ่งเรื่อง โดยปัจจุบันได้ถูกนำมาจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ของเหล่าชาวลิทัวเนียที่ตกเป็นเหยื่อของคอมมิวนิสต์ อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าหากทหารโซเวียตสงสัยใคร ไม่ว่าคนนั้นจะแค่เป็นคนธรรมดา พ่อค้าวานิช มีชาติมีการศึกษา มักถูกยัดเยียดข้อหากบฏหรือผู้สมรู้ร่วมคิดต่อการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ มักจะถูกนำมากักขัง ควบคุมสอบสวน และส่วนมากมักจะถูกฆ่าทิ้ง หรือไม่ก็ถูกส่งไปกักกันที่เขตไซบีเรีย เค้าว่าในสมัยนั้นชาวลิทัวเนียถูกฆ่าทิ้งไปเกือบ 1 ใน 3 ของประเทศเลยก็ว่าได้ คนเป็นหม้าย เด็กกำพร้ามากมาย นับว่าเป็นช่วงประวัติศาตร์ต้องจารึกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดของชาวลิทัวเนีย โดยภายในพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชม 3 ชั้น โดยชั้นที่ 1 ชั้น สองก็จะแสดงประวัติ ความเป็นมาและจัดแสดงข้าวของ เสื้อผ้า ทหารโซเวียตในขณะนั้น ตลอดจดประวัติของนักโทษต่างๆที่ถูกขุมขังที่นี่ โดยจะมีการเปิดให้เข้าชมชั้นใต้ดินที่เป็นที่คุกขุมขัง จนห้องประหารนักโทษ ตลอดเวลาที่อยุ่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ชะนีแคระรุ้สึกหดหู่ ยิ่งเข้าไปดูในคุก เห็นข้อความที่นักโทษขีด หรือคำจารึกบนกำแพงแล้วรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง ปนวังเวงเล็กน้อย ดีนะไม่ได้มาคนเดียว หากเดินคนเดียวคงรู้สึกขนลุกแน่ๆ
หลังจากจบโปรแกรมจากพิพิธภัณฑ์เหยื่องสงครามแล้วชะนีแคระก็ไปหาอาหารมือค่ำทานก่อนกลับโรงแรม วันนี้นอนเร็วกว่าปกติเพราะเมื่อยขาจริงเลย
เช้าวันที่ 4
วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะค่ะ ตั้งใจว่าเราจะเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้ไปกะช้อปปิ้งกันค่ะ ตื่นเช้ามากๆวันนี้ สถานที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันก็คือ
โบสถ์ St. Peter & St.Paul 's church เค้าว่ากันว่าสถาปัตยกรรมภายในโบสถ์นี้สวยที่สุดในกรุงวิลนีอุส
|
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ &เซนต์พอลล์ |
มาถึงแล้วก็เห็นรถทัวร์จอดรอหลายคันอยุ่ตรงลานจอดรถ มีกรุ๊ปทัวร์มาลงหลายกรุ๊ปเลย โบสถ์นี้ค่อนข้างอยุ่ไกลจากเขตเมืองเก่ามาหน่อย ต้องนั่งรถเมล์มาหรือใครจะเดินมาก็ได้นะค่ะ แต่ชะนีแคระไม่ไหวขอนั่งรถเมล์แทน
|
เทพแห่งความตาย |
ลวดลายบนเพนดาน
|
สถาปัตยกรรมภายในโบสถ์ |
เวลาเห็นด้านหน้าโบสถ์ก็รู้สึกธรรมดา พอเข้ามาชมข้างในแล้วสวยจริงๆเหมือนที่เค้าว่ากัน หากท่านผู้อ่านมีเวลาก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมชมกันค่ะ
|
Hill of three crosses |
สถานที่เราจะไปเก็บตกต่อไปนี้เลยค่ะ
Hill of three crossesที่เห็นอยู่บนยอดเขาลิบลิบ แต่ชะนีแคระแอนด์เดอะแก็งค์สู้ไม่หวั่น เราเดินขึ้นเขากันซึ่งบนจุดนี้จะเป็นอีกจุดชมวิวของเมืองวิลนีอุสค่ะ
|
วิวมุมสูงของเมืองวิลนีอุส |
จากจุดนี้เห็นด้าน Gediminas tower อยุ่เนินเขาอีกฝั่ง เราใช้เวลากันสักพักก็ค่อยๆเดินลัดเลาะไต่เขาลงมาดูสิค่ะว่ามันชันแค่ไหนในตอนที่เราพยายามเดินขึ้นมาถ่ายรูปบนนี้ เล่นเอาหมู่คณะหอบแฮกเลย
เราก็เดินลัดเลาะมาเรื่อย ลงจากเนินเขามาก็ตั้งใจจะเก็บภาพสวนสาธารณะ Bernardiny Garden ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่มีความร่มรื่นมากและติดกับแม่น้ำวิลเนียด้วย
ริมแม่น้ำวิลเนีย
|
ภายในสวนสาธารณะ |
หลังจากเที่ยวในเขตเมืองเก่ามาหลายวันแล้ว เดี่ยวเราจะลองข้ามไปเขตฝั่งเมืองใหม่กับบ้างซึ่ง เราจะลองไปช้อปปิ้งกันแวะไปดูห้างสรรพสินค้าของชาววิลนีอุสกันว่าจะเป็นยังไง ห้าง Europa เป็นห้างที่มีแบรนด์เนมสินค้ามากมายเลย จะอยู่ในฝั่งเขตเมืองใหม่ใกล้กับแม่น้ำเนริส Neris
|
ห้างสรรพสินค้า |
|
แม่น้ำนาริส และฝั่งเขตเมืองใหม่ |
ระหว่างข้ามสะพานมาก็จะเจอกับพวกรูปปั้นที่อยุ่ตามสะพาน ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ระลึกหรือสัญลักษณ์ของสภาพโซเวียตที่ครั้งหนึ่งเอาไว้ใช้ปลุกระดมให้หนุ่มสาววิลนีอุสเข้าร่วมกับลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือทำงานใช้แรงงานให้กับพรรคคอมมิวนิสต์
รูปปั้นทหาร
|
รูปปั้นเชิญชวนให้หนุ่มสาวมาทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ |
หลังจากที่ชะนีแคระใช้เวลาอยุ่ที่เมืองวิลนีอุสแห่งนี้มาแล้ว 4 วันรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะตอนแรกที่แพลนมาไม่คิดว่าที่วิลนีอุสจะมีอะไรให้เที่ยวและน่าสนใจมากมายขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าเยอะไปไหมสำหรับ 4 วันแต่เอาจริงๆแล้ว 4 วันนี้เที่ยวกำลังดีเลยได้เที่ยวแบบสบายๆ ประกอบกับเป็นวิลนีอุสเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบ และไม่ค่อยพลุกพล่านด้วยนักท่องเที่ยวทำให้รู้สึกเหมือนได้สัมผัสชีวิตชาวเมืองจริงๆ ที่สังเกตอีกอย่างที่นี่มีโบสถ์เยอะมาก เดินไปไหนก็มีแต่โบสถ์ทุกมุมถนน ก็เหมือนกับบ้านเรามีเซเว่นยังไงยังงั้น ยิ่งตอนเย็นสักทุ่มคนวินีอุสจะแวะมาโบสถ์กันเนืองแน่นเต็มโบสถ์ คนที่นี่เค้าเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแรงกล้าเพราะศรัทธาคือสิ่งเดียวที่ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ต่อสู้เพื่อเอกราชของตน และที่สำคัญชะนีแคระแอนด์เดอะแก็งขอคอนเฟิร์มเลยว่าสาวๆที่วิลนีอุสนี่สวยๆ หุ่นดีทั้งนั้น ผมสีบรอนด์ตาฟ้า ขนาดชะนีแคระต้องยอมรับเลยว่าหญิงสาววิลนีอุสสวยสุดๆ ว่าแล้วคุณหนุ่มๆคงต้องแวะมาเที่ยวให้ได้นะค่ะ
สุดท้ายนี้ก่อนจากกันวันนี้การเดินทางมาเที่ยวเมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนียนั้นไม่ได้ลำบากยุ่งยากอย่างที่คิดนะค่ะ ใครที่กลัวในเรื่องของภาษาหละก็ขนาดภาษาอังกฤษงูๆปลาๆของชะนีแคระยังเอาตัวรอดได้ไม่ต้องห่วงค่ะ ส่วนเรื่องความปลอดภัยชะนีแคระคิดว่าที่วิลนีอุสนี่ดูปลอดภัยกว่ามหานครใหญ่อย่างปารีส หรือกรุงเทพฯอีกค่ะ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพงมากด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านสนใจก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวประเทศในเขตรัฐบอลติก อย่างประเทศลิทัวเนียแล้วคุณจะตกหลุมรักอย่างชะนีแคระแน่นอน สำหรับตอนหน้าเราจะพาไปเมืองทราไก (Trakai) เมืองแห่งร้อยทะเลสาปกันนะค่ะ