วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เที่ยวเมืองพนมเปญ (Phnom Penh)เมืองหลวงประเทศกัมพูชา

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่รักกลับมาพบกับชะนีแคระกันอีกเช่นเคยนะคะ สำหรับการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ชะนีแคระต้องกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่ประเทศไทยแล้วมีเวลาเที่ยว 1 เดือนเต็มๆ เหมือนเช่นเคยดังนั้นชะนีแคระจะต้องหาที่เที่ยวใกล้ๆเมืองไทย คราวนี้จึงตัดสินใจจะไปเที่ยวประเทศกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่ละค่ะ  โดยทริปนี้มีเวลาทั้งหมด 8 วัน ซึ่งเราจะอยู่ที่กรุงพนมเปญ เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน และเดินทางต่อไปเที่ยวที่นครเสียมเรียบ 5 วัน 4 คืนกัน ถ้าท่านผู้อ่านพร้อมแล้วชะนีแคระจะพาไปเที่ยวเมืองพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชากันก่อนเลยค่ะ





กรุงพนมเปญ  (Phnom Penh)ป็นเมืองที่สวยงามเงียบสงบตั้งอยู่ริมแม่น้ำ 2 สายไหลมาบรรจบกันคือแม่น้ำโขงกับแม่น้ำโตนเลสาป กรุงพนมเปญนับเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศกัมพูชา ในอดีตกรุงพนมเปญได้ถูกสร้างและแต่งตั้งเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการในคศ. 1866 ในสมัยของพระเจ้านโรดม พรหมบริรักษ์ (พระเจ้านโรดมที่ 1)  โดยที่มาของชื่อเมืองพนมเปญนั้นมาจากคำว่า พนม แปลว่าภูเขา ส่วน เปญ เพี้ยนมาจาก ชื่อของยายเพ็ญเศรษฐีนีชาวเขมรผู้ที่สร้างวัดพนม ชะนีแคระเกริ่นไว้คร่าวๆก่อนเดี่ยวจะไปเล่าประวัตินิยายปรำปราเกี่ยวกับวัดพนมซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของกรุงพนมเปญอีกครั้ง  ส่วนสำหรับชาวไทยที่จะมาท่องเที่ยวที่ประเทศกัมพูชาก็ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าแต่อย่างใด มีเพียงแค่หนังสือเดินทางสัญชาติไทยก็สามารถพำนักอยู่ในประเทศกัมพูชาได้ไม่เกิน 14 วัน สกุลเงินที่ใช้ในกัมพูชานั้นใช้เงินเรียล แต่ชาวเขมรนิยมใช้เงินสกุลดอลล่าร์  (1 ดอลล่าร์ เท่ากับประมาณ 4,000 เรียล) ถ้าจ่ายเงินดอลล่าร์ คนเขมรเค้าจะทอนเป็นเงินเรียล ดังนั้นชะนีแคระแนะนำว่าถ้าจะใช้ซื้อพวกของกินเล็กน้อยในตลาด ซื้อของข้างทางก็จะใช้เป็นเงินเรียลเป็นหลัก ดอลล่าร์ไว้จ่ายค่าโรงแรม ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ หรือในร้านอาหาร แบบนี้เป็นต้น  ยังไงก็อย่าลืมเตรียมแลกดอลล่าร์ไปก่อน แล้วค่อยไปแลกเงินเรียลที่ร้านค้ารับแลกเงินในพนมเปญก็ได้ หรือจะใช้บัตรเอทีเอ็มไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มก็ได้ ซึ่งตอนกดนี้เค้าจะมีให้เลือกด้วยนะว่าต้องการเป็นดอลล่าร์หรือเงินเรียลซึ่งสะดวกสบายต่อนักท่องเที่ยวอย่างมาก

การเดินทาง
1. โดยทางเครื่องบิน  ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ซึ่งมีหลายสายการบินให้บริการ แต่สำหรับชะนีแคระใช้บริการของสายการบินแอร์หางแดง แปะลิงก์ไว้ให้แล้ว  ยังไงก็เลือกตามวันเวลาและกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านละกัน http://www.airasia.com/th/th/home.page
2. โดยทางรถทัวร์  ตอนนี้บขส. ได้เปิดเส้นทางการเดินทางใหม่ กรุงเทพฯ- ปอยเปต -พนมเปญ ซึ่งใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 11 ชั่วโมงก็จะเริ่มออกเดินทางจากหมอชิตถึงสถานีปลายทางที่กรุงพนมเปญ  ราคาล่าสุดประมาณ 900 บาทต่อเที่ยว ชะนีแคระแปะลิงก์ไว้ให้ดูแล้วนะคะ ยังไงลองเข้าไปดูรายละเอียดการเดินทางตารางรถ และราคากันได้เลย http://home.transport.co.th/index.php/th/home1.html

ที่พัก
ตลอดทั้งทริปที่พนมเปญชะนีแคระพักที่โรงแรม  Alibi villa questhouse  เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศสนะ การตกแต่งจะออกเน้นแนวสไตล์แอนทีค ห้องนอนสำหรับ 2 ท่าน ห้องแอร์ราคาตกคืนละ1050 บาท มีฟรีอาหารเช้า พร้อมกับฟรี WIFI    แถมอยู่ใกล้ๆกับพระบรมมหาราชวังของกัมพูชา และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสามารถเดินไปได้เลย สนใจก็ลองเข้าไปเช็คดูราคา วันและเวลาได้ ซึ่งชะนีแคระไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด


เตียงคู่

การตกแต่งภายในห้องพัก


ห้องน้ำ

สวนหย่อมเล็กๆ บริเวณนี้ใช้เป็นที่รับประทานอาหารเช้า

อาหารเช้าไข่ดาว เบคอน ขนมปังฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อมกับน้ำส้มคั้น และกาแฟ

โปรแกรมการท่องเที่ยว

1. วันแรกเราจะไปชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของกัมพูชา และพระบรมมหาราชวัง อนุเสาวรีย์วิมานเอกราช ตลอดจนเดินเล่นไม่ไกลจากที่พัก
2. วันที่สองเราจะเดินทางออกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ตวลสเลง  ตลาดรัสเซีย ทุ่งสังหารเจิงเอก และเก็บบรรยากาศยามเย็นริมฝั่งแม่น้ำโตนเลสาบ
3. ไปเที่ยวและไหว้พระสถูปเจดีย์ที่บรรจุสารีริกธาตุที่เมืองอูดง (Udong)  วัดพนม ตลาดกลางพร้อมเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่เหลือ

ถ้าท่านผู้อ่านทราบข้อมูลพื้นฐานคร่าวๆแล้วเราก็พร้อมออกเดินทางไปกับชะนีแคระเลยค่ะ

วันที่ 1 

เราออกเดินทางแต่เช้าตรู่เริ่มจากสนามบินดอนเมืองเที่ยวบินเวลา 7.10 น. และเราก็บินมาถึงสนามบินพนมเปญราว 8.30 น.กว่าจะผ่านตม.กัมพูชาออกจากสนามบินได้ก็เป็นเวลาเกือบ 9 โมงเช้า  ชะนีแคระใช้บริการรถตุ๊กๆเขมรหรือที่เรียกว่า Remork  ให้ไปส่งที่โรงแรม ก็ตกค่าบริการ 9 ดอลล่าร์ ใช้เวลาเกือบ 40 นาทีก็มาถึงที่พัก


รถตุ๊กๆเขมร แอบถ่ายพี่คนขับตุ๊กๆกะพี่ฝรั่งมาด้วยนะเนี่ย



ถนนจากสนามบินตรงเข้าสู่ตัวเมืองพนมเปญ


การจราจรช่วงเช้าค่อนข้างติดขัดไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์
ในที่สุดชะนีแคระก็มาถึงที่พักเกือบสิบโมงเช้าได้ หลังจากเช็คอินเสร็จ เก็บกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อย ได้แอร์เย็นๆภายในห้องพักชะนีแคระกะว่าจะพักตาสักครู่กลายเป็นพร่อยหลับไปด้วยความเพลีย  ตื่นมาอีกทีเที่ยงแล้วค่ะ แต่ไม่เป็นไรตามแผนที่เราวางไว้โปรแกรมค่อนข้างสบาย ไม่ต้องเร่งรีบมาก  ออกจากโรงแรมไปหาข้าวเที่ยงกินกันดีกว่า เรามีเวลาเดินเล่นชิวๆหาร้านอาหารทานข้าวเที่ยงกัน หลังจากเดินผ่านวนๆไปอยู่หลายร้านชะนีแคระใช้สูตรเหมือนเดิมว่าเวลาไปเที่ยวในต่างแดนให้เลือกร้านที่มีคนเยอะเข้าไว้น่าจะใช้ได้ เรามาลองกินอาหารเขมรมื้อแรกกันที่ร้าน The Bright Lotus ร้านจะอยู่ติดถนนใกล้ๆกับพระบรมมหาราชวังและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ


ร้าน The bright Lotus 

ที่ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษด้วยนะ แน่ละเพราะอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอย่างนี้  ชะนีเลือกสั่งเมนูมาหนึ่งอย่างน่าจะเป็นก๊วยเตี๋ยวเนื้ออะไรสักอย่างเมนูชื่อว่า Khor ko noddles 


Khor ko noddles
                                 
รสชาติใช้ได้อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเลยหรือว่าชะนีแคระหิวจัดก็ไม่ทราบ  สรุปมื้อนี้รอดตายไปได้ ท้องอิ่มแล้วเราก็พร้อมไปเที่ยวต่อกับสถานที่แห่งแรกของวันนี้ 1.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของกัมพูชา (National Museum)ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพระบรมมหาราชวัง เป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีชั้นนำของประเทศ ถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1917 ตัวอาคารสร้างเป็นสไตล์ศิลปะเขมรแบบโบราณ มีการรวบรวมผลงานทางศิลปะ ประติมากรรมและโบราณวัตถุ รูปปั้นสำริดสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคกลางในช่วงนครวัด นครธมรุ่งเรือง โดยได้มีการนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอีกด้วย


ด้านนอกอาคารพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของกัมพูชา


ตัวอาคารก่อสร้างเป็นปราสาทศิลปะเขมรโบราณ

รูปปั้นสำริดพญาครุฑขุดค้นพบที่นครวัด นครธม เมืองเสียมเรียบ

รูปปั้นสำริดที่ถูกขุดค้นพบในช่วงสมัยนครวัด นครธม รุ่งเรือง


แผนที่แสดงอาณาจักรเขมรโบราณ จะเห็นว่ากินพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของไทย


สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าชมก็ต้องเสียค่าบัตรเข้าชมราคา 5 ดอลล่าร์ เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 -17.00 น.

2. ตลาด Kandal  เป็นตลาดขายสินค้าที่เราจะสัมผัสชีวิตชาวเขมรแท้ๆ ตลาดนี้จะเน้นขายผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ปลา และของอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ตัวตลาดจะอยู่ไม่ไกลจากตัวพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของกัมพูชาเดินเลยมาหน่อยนึงแถววัดอุณาโลม ชะนีแคระตั้งใจเดินเลยมาหาที่แลกเงินเรียล เพราะเจ้าหน้าที่ที่โรงแรมแนะนำมาว่าเราสามารถมาหาร้านรับแลกเงินได้ที่นี่นะ เพื่อไม่เป็นการเสียเที่ยวชะนีแคระก็เก็บภาพบรรยากาศชีวิตชาวพนมเปญมาให้ชมกัน



ตัวตลาด ร้านรวงสองข้างทาง


ตัดผมกันสดๆข้างทางอย่างนี้เลย

ขายถั่วต้มเหมือนเมืองไทยเลย

ชะนีแคระแนะนำให้มาช่วงเช้านะ เราจะได้เจอพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงผัก แผงปลา อาหารสด ตลอดจนคนพนมเปญออกมาจับจ่ายซื้อของกันเยอะๆ แต่ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสี่โมงเย็น ตลาดคงจะเริ่มวายแล้ว เอาเป็นว่าชะนีแคระจัดการแลกเงินเสร็จก็ย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อจะเดินไปชมพระบรมมหาราชวังกันต่อ แต่ระหว่างนั้นท้องฟ้าขมุกขมัว  อยู่ๆฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาซะงั้น ว่าแล้วก็ต้องทำใจกันนิดนึงเพราะช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงเดือนสิงหาคม เข้าหน้าฝนพอดีแต่ถึงฝนจะตกก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเที่ยว หลังจากรอให้ฝนซาได้สักพัก  ชะนีแคระก็ลุยกันต่อเลยกับ  3 พระบรมมหาราชวังแห่งพระราชอาณาจักรกัมพูชา (The Royal Palace) หรือพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ส่วนใหญ่ชาวไทยจะเรียกกันติดปากว่า พระราชวังเขมรินทร์ ซึ่งจริงๆแล้วเขมรินทร์เป็นเพียงชื่อหนึ่งในพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังเท่านั้นเอง  พระบรมมหาราชวังถูกสร้างขึ้นภายในคศ. 1866 โดยพระเจ้านโรดม พรหมบริรักษ์ (พระเจ้านโรดม ที่ 1)ด้วยความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส  หลังจากทรงย้ายเมืองหลวงเก่าจากเมืองอูดง กษัตริย์แห่งกัมพูชาทุกพระองค์ก็เสด็จประทับ ณ ที่พระราชวังแห่งนี้เป็นต้นมา


พระบรมมหาราชวังจตุมุขสิริมงคล


พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย

พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย เป็นท้องพระโรงสำหรับกษัตริย์กัมพูชา และเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ พบปะกับเหล่าข้าราชบริพาร แม่ทัพต่างๆร่วมปรึกษาบริหารราชการแผ่นดิน ปัจจุบันใช้ประกอบงานพระราชพิธีขึ้นครองราชย์  ตลอดจนพระราชพิธีสำคัญต่างๆ และใช้สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วย


พระที่นั่งจันทฉายา 

พระที่นั่งจันทฉายา เป็นศาลาโถงไว้ใช้เป็นสถานที่แสดงนาฏศิลป์เขมรโบราณ ตลอดจนงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองต่างๆ

วัดพระแก้ว

เจดีย์ในวัดพระแก้ว


พระราชาอนุสาวรีย์ของพระเจ้านโรดม พรหมบริรักษ์ 


จะว่าไปแล้วรูปแบบแผนผังของพระราชวังตลอดจนสถาปัตยกรรมของกัมพูชามีรูปแบบคล้ายๆกับสถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นของประเทศไทยมาก  ซึ่งจะแตกต่างในเรื่องของโทนสีที่ทางกัมพูชาเน้นโทนสีเหลือง อาจจะเป็นไปได้ว่าสมัยก่อนกษัตริย์เขมรนั้นเคยได้มาพึ่งใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทยเลยได้รับแรงบันดาลใจมานั่นเอง  ตลอดจนทั้งไทยและกัมพูชาก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านกันเป็นไปได้ที่ทางกัมพูชาจะได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและงานช่างศิลปะต่างๆมาจากไทยนั่นเอง



สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าชมได้  ราคาบัตร  25,000 เรียล หรือ 6.25 ดอลล่าร์ต่อคน เปิดทำการทุกวัน เริ่มขายบัตรรอบเช้าตั้งแต่เวลา 8.00-11.00 น.  และรอบบ่าย 14.00-17.00 น. ปิดทำการตอนพักเที่ยง 2 ชม. ใครจะเข้าชมก็วางแผนเวลากันก่อนให้ดีจะได้ไม่ต้องติดพักเที่ยง ที่สำคัญต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยห้ามใส่เสื้อแขนกุดหรือนุ่งสั้น  แต่ทางพระราชวังก็มีบริการขายเสื้อและกางเกงผ้าตกชิ้นละ 3 ดอลล่าร์ไว้บริการให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย



ประตูและกำแพงวัง


มีลานสนามหญ้าด้านหน้าวังเหมือนกับท้องสนามหลวงบ้านเราเลย


พระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้านโรดม สีหมุณี กษัตริย์กัมพูชาองค์ปัจจุบัน
หลังจากชมพระบรมมหาราชวังเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาเกือบหกโมงเย็นกว่าแล้ว ฝนทำท่าตั้งเค้าจะตกอีกรอบ ชะนีแคระขอกลับไปพักที่โรงแรม อาบน้ำรอเวลาออกมาทานข้าวเย็นดีกว่า หลังจากพักเหนื่อยสักพักได้เวลาทุ่มครึ่งกว่าชะนีแคระก็ได้เวลาออกเที่ยวต่อ ชะนีแคระจะเก็บภาพพนมเปญยามค่ำคืนมาให้แฟนๆได้ชมกัน 4. อนุเสาวรีย์วิมานเอกราช (Independence Monument) เป็นอนุเสาวรีย์ถูกสร้างในคศ. 1958 สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในคศ. 1953 ตั้งอยู่วงเวียนใหญ่ใจกลางกรุงพนมเปญ


วิมานเอกราช

ใกล้ๆกันกับวิมานเอกราชจะมีลานพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระเจ้านโรดม สีหนุด้วย



พระราชานุสาวรีย์พระเจ้านโรดม สีหนุ
ที่น่าแปลกใจชะนีแคระเดินผ่านตามสวนสาธารณะ หรือสนามลานกว้างๆเกือบทุกที่ยามเย็นจนถึงช่วงหัวค่ำ  ส่วนใหญ่ก็จะมีเหล่าบรรดาหนุ่มสาว วัยรุ่นเขมรมานัดกันออกเต้นรำ เต้นแอโรบิคกันเป็นจำนวนมาก  นอกจากนี้ก็ยังมีเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามารอขายของกันเต็มข้างถนนเลย ดูๆก็เพลินดีไปอีกแบบ  แอบถามพนักงานที่โรงแรมว่าทำไมคนพนมเปญเค้ารักสุขภาพกันดีจัง พนักงานบอกว่ากำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหนุ่มสาววัยรุ่นมักจะนัดกันออกกำลังกายกันแบบนี้ตั้งแต่เย็นจนค่ำ


วัยรุ่นเขมรมานัดกันเต้นแอโรบิค ออกกำลังกายกัน

แหล่งสังสรรค์ของหนุ่นสาวชาวพนมเปญ
เดินเล่นได้สักพัก เริ่มหิวแล้วสิหลังจากเดินเล่นแถวๆโรงแรมสักพักได้เกือบสองทุ่มครึ่งกว่าแล้ว ไม่รู้จะกินอะไรดีสรุปสุดท้ายก็ตกลงใจหาอะไรกินง่ายๆที่ร้านอาหารข้างทางแถวหน้าปากซอยโรงแรม เห็นร้านนี้ท่าทางสะอาดคนเขมรเยอะมากมานั่งกินกันเต็มเกือบทุกโต๊ะ เลยคิดว่ามันจะต้องอร่อยแน่เลย เราแวะที่ร้าน Song Tra Ice cream ร้านนี้ขึ้นชื่อด้วยไอศกรีมและของหวาน แต่เค้าก็ขายอาหารพวกแฮมเบอร์เกอร์ อาหารเขมรด้วยนะ  อย่าได้รอช้าชะนีแคระเลือกมาหนึ่งเมนูดูจากรูปที่ติดทั่วร้าน   ต้องลองชิมแซนด์วิชเขมรอันโด่งดัง เรียกว่าบัตเต่ ซึ่งจะเป็นอาหารผสมผสานระหว่างขนมปังบาแก็ตของฝรั่งเศส ใส่ใส้ด้วยหมูยอ และหมูสับหวาน ทาซอสพวกมายองเนสข้างในแนมด้วยต้นหอม มะเขือเทศ พร้อมกับเครื่องเคียงแตงกวาดองมะละกอดอง อร่อยมาก ชะนีแคระกับเพื่อนสั่งกินคนละสองจาน อิ่มอร่อยและสบายกระเป๋า ยังไงมาถึงพนมเปญลองสั่งทานกันนะคะ  รับรองจะติดใจ


แซนด์วิชเขมร บัตเต่
ตอนนี้ท้องอิ่มแล้ว ชะนีแคระขอกลับไปพักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้กัน

วันที่  2

วันนี้ตื่นสายๆราวเก้าโมงเช้าได้ หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรม ก็ได้เวลานัดกับพี่คนขับรถตุ๊กๆชาวเขมรให้มารับพาไปเที่ยวตอนสิบโมงเช้า โดยแกจะมารับที่หน้าโรงแรม ซึ่งโปรแกรมวันนี้เราจะไปพิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ตวลสเลง  ตลาดรัสเซีย และทุ่งสังหารเจิงเอก โดยราคาตกลงกันไว้ที่ 25 ดอลล่าร์ ก็เป็นราคากลางๆประมาณนี้จะอยู่ราวๆ 25-30 ดอลล่าร์ ซึ่งอยุ่ที่เราต่อลองราคาตามความพอใจ ถ้าพี่คนขับคนไหนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี ราคาก็อาจจะแพงขึ้นหน่อยแต่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรถหรือจะเดินทางลำบากเพราะจะมีพี่คนขับรถตุ๊กๆมาจอดถามตลอดเวลาเราก็เลือกต่อรอง คนไหนบอกราคาแพงก็ไม่ไป เมื่อรถและคนขับพร้อมชะนีแคระลุยเที่ยวกับสถานที่แห่งแรกของวันกัน 5.  พิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ตวลสเลง (Toul Sleng  Genocide Museum) เดิมทีตวลสเลงคือโรงเรียนมัธยมศึกษาธรรมดา  แต่ภายหลังจาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อฝ่ายเขมรแดงโดยผู้นำคือนายพอล พต ผู้นิยมระบบสังคมนิยมแบบซ้ายจัด(คอมมิวนิสต์)ได้เรืองอำนาจ เขมรแดงได้เปลี่ยนจากโรงเรียนมัธยมศึกษาให้กลายมาเป็นคุกกักกันนักโทษหรือผู้ต้องสงสัยทางการเมืองฝ่ายตรงข้าม โดยเรียกที่แห่งนี้ว่า  S-21  หรือย่อมาจาก Security office 21 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกักขังและรีดไถคำสารภาพโดยใช้วิธีใดก็แล้วแต่เพื่อให้เหยื่อสารภาพ แล้วพอรีดไถได้คำสารภาพก็จะนำเหล่านักโทษไปสังหารอย่างโหดเหี้ยมและทารุณที่ทุ่งสังหารอีกที


คุกตวลสเลง S-21


ดูภายนอกตวลสเลงก็เหมือนอาคารโรงเรียนธรรมดา แต่จริงๆแล้วที่นี่เปรียบเสมือนนรกบนดินชัดๆ เค้าว่ากันว่ามีนักโทษที่เข้ามาไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแต่เป็นทหาร เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการ  นักการเมือง ครูอาจารย์ นักศึกษา พ่อค้า ประชาชนชาวเขมรธรรมดา ลูกเด็กเล็กแดง แม้แต่คนที่ใส่แว่นตา หรือคนที่มือไม่หยาบกร้าน ซึ่งทางเขมรแดงเชื่อว่าคนเหล่านี้คือชนชั้นมีความรู้มีการศึกษา ไม่ใช่คนชั้นแรงงานไม่ได้เป็นชาวไร่ชาวนาก็จะถูกจับกุมและส่งตัวเข้ามาเป็นนักโทษด้วยข้อหาว่าเป็นสายลับ และคนที่ถูกส่งตัวมาที่ตวลสเลงก็จะถูกกักขังทรมานเพื่อให้สารภาพ ถ้าไม่สารภาพก็จะถูกทรมานอย่างทารุณ ซึ่งมีนักโทษหลายคนที่ทนกับการทรมานอย่างป่าเถื่อนไม่ไหวต้องยอมรับสารภาพให้รู้แล้วรู้รอดไปว่าตนเป็นสายลับ ทั้งที่จริงแล้วก็แค่ประชาชนคนธรรมดานี่หละ บางคนพูดภาษาอังกฤษได้ก็กลายเป็นกบฏไปก็มี จากนั้นนักโทษก็จะถูกนำไปสังหารโหด สุดท้ายทุกคนที่เข้ามาที่นี่ล้วนแล้วแต่เสียชีวิตเกือบหมดทั้งสิ้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตออกมาได้


ตัวอาคารด้านนอก

กฏในการสอบสวนก็จะมีด้วยกัน 10 ข้อที่นักโทษทุกคนที่ตวลสเลงแห่งนี้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


มีป้ายกฏเหล็ก 10 ข้อที่นักโทษทุกคนต้องปฏิบัติตาม


กฏข้อที่ 1   ต้องตอบทุกคำถาม ห้ามเลี่ยง
กฏข้อที่ 2   อย่าพยายามปิดบังความจริง โดยอ้างนั่นอ้างนี่ ห้ามท้าทายฉันอย่างเด็ดขาด
กฏข้อที่ 3   อย่าโง่ที่จะก่อการต้อต้านปฏิวัติ
กฏข้อที่ 4   จงตอบคำถาม ตอบทันที อย่าหยุดคิดเด็ดขาด
กฏข้อที่ 5  ไม่ต้องสาธยายความชั่วของคุณให้มากความ ไม่ต้องมาเล่าเรื่องการปฏิวัติด้วย
กฏข้อที่ 6  เมื่อถูกเฆี่ยน หรือช็อตด้วยไฟฟ้า ห้ามส่งเสียงร้องเด็ดขาด
กฏข้อที่ 7  อยู่นิ่งๆรอฟังคำสั่ง  ถ้าไม่สั่งก็ให้อยู่เงียบเฉยๆ ถ้าฉันสั่งอะไรคุณต้องทำตามทันที
กฏข้อที่ 8  อย่าแก้ตัวหรือจะปกปิดความลับหรือการทรยศของคุณ
กฏข้อที่ 9  ถ้าคุณไม่ทำตามกฏด้านบนนี้จะถูกเฆี่ยนด้วยสายไฟอย่างหนัก
กฏข้อที่10 ถ้าฝ่าฝืนกฏเล็กน้อยก็จะถูกเฆี่ยน 10 ที หรือถูกช็อตไฟ้ฟ้า 5 ครั้ง


ป้ายแสดงห้ามหัวเราะ 
พอเริ่มเดินเข้าชมตึกแรกชะนีแคระก็เห็นป้ายนี้เลยถ่ายรูปมาให้เพื่อนๆได้ดูกัน แต่ก็จริงๆนะยังมีคนที่เข้ามาเยี่ยมชมคุกแห่งนี้แล้วยังยิ้มหัวเราะได้นี่ขอถามใจเธอดูดีไหม ทำได้ยังไง

สภาพห้องเรียนที่ถูกดัดแปลงมาเป็นห้องทรมานกักขังนักโทษ

ดูจากสภาพเตียงยังมีรอยคราบเลือดอยู่เลย น่ากลัวปนหดหู่ ห้องเรียนห้องหนึ่งจะใช้กักขังนักโทษราว 30-50 คน ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีโซ่ตรวน

ที่ทรมานนักโทษ


นี่ก็เป็นเครื่องทรมานนักโทษอีกชิ้นหนึ่ง นักโทษจะถูกนำเชือกมาผูกขาไว้ แล้วแขวนไว้กับขื่อห้อยหัวลง แล้วเขมรแดงก็จะปล่อยนักโทษลงมาให้หัวจมน้ำในโอ่ง ทรมานจนกว่าจะสารภาพหรือจะขาดใจตายไปก่อน


คุกขังแยกเดี่ยวก็มี โดยนำอิฐบล็อกมาก่อเป็นห้องขังแคบๆ


โซ่ตรวนยังอยู่เลย 
ห้องขังเป็นห้องไม้กั้นเป็นห้องเล็ก ๆ มืดๆ นักโทษไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลยทีเดียว

อาคารเรียน ตึกที่ 2 มีล้อมด้วยลวดหนามกันนักโทษกระโดดหนี


ภาพถ่ายนักโทษที่ได้เข้ามาที่นี่



เมื่อนักโทษมาถึงผู้คุมจะให้นักโทษมาถ่ายรูปพร้อมติดหมายเลข แล้วนำมาสอบสวนสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนในภาพนี้ล้วนเสียชีวิตเกือบทุกคน 

การอาบน้ำของนักโทษ

เวลาอาบน้ำของนักโทษ ผู้คุมจะสาดน้ำเข้าไปให้นักโทษ ซึ่งก็นานๆครั้งนักโทษถึงจะได้อาบน้ำที ซึ่งไม่ต้องพูดถึงความสะอาด สุขภาพอนามัย ที่นี่จึงเต็มไปด้วยกลิ่นสาบ คราบไคลและเชื้อโรคมีนักโทษมากมายที่ป่วยตายก็มี ส่วนอาหารการกินไม่ต้องพูดถึง นักโทษจะได้รับอาหารเพียงแค่ข้าวต้มเละๆเพียงวันละ 3 ช้อนเท่านั้น ทีนี่จึงมีแต่ความโหดร้าย อดอยากหิวโหยและความข่มขื่นอย่างแท้จริงที่นักโทษไม่รู้ว่าวันไหนที่ตนจะได้รับอิสรภาพ สำหรับนักโทษของเขมรแดงนั้นอิสรภาพอย่างเดียวคือความตายเท่านั้นเอง

การนอนของนักโทษ
นักโทษก็จะให้นอนเรียงกันแบบนี้ หากใครจะขยับตัวหรือเปลี่ยนท่านอนต้องขออนุญาตต่อผู้คุมก่อนไม่งั้นจะโดนเฆี่ยนตี

เครื่องมือในการทรมานนักโทษ 

ภาพการทรมานนักโทษและเครื่องมือทรมาน
ภาพหัวกระโหลกของผู้เสียชีวิตทีนี่


ทางพิพิธภัณฑ์ได้สร้างสถูปไว้ให้เป็นการไว้อาลัยแด่ดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต

ภาพคุณลุงผู้ทึ่เคยเป็นนักโทษที่ถูกคุมขังที่นี่
คุณลุงเคยเป็นนักโทษของเขมรแดงและถูกคุมขังที่นี่ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 ผู้รอดชีวิต แล้วออกมาเขียนหนังสือเล่าเหตุการณ์ความโหดร้ายของที่นี่ ถ้าท่านผู้อ่านและเพื่อนๆได้มีโอกาสมาที่คุกตวลสเลงแห่งนี้ อย่าลืมมาช่วยอุดหนุนหนังสือของคุณลุงกันด้วยนะ  คุณลุงยินดีแจกลายเซ็นให้ด้วยค่ะ


คุกตวลสเลง

หลังจากออกมาจากคุกตวลสเลงแล้ว ชะนีแคระสารภาพตามตรงว่ารู้สึกหดหู่ สังเวชใจบอกไม่ถูกไม่น่าเชื่อว่าจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นแบบนี้แถมเกิดจากการกระทำของคนในชาติเดียวกันแท้ๆ ที่สำคัญเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง แถมดันเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆเรานี่หละ  เราคนไทยโชคดีแท้แค่ไหนที่ไม่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมจากภัยของคอมมิวนิสต์แบบนี้ได้ก็ด้วยพระบารมีของในหลวงแท้ๆ  เอาละยังไงก็เบรคอารมณ์หดหู่กันสักพัก  พี่คนขับจะพาไปเที่ยวกันต่อที่  6. ตลาดรัสเซีย เป็นตลาดที่เป็นแหล่งรวบรวมขายของเก่า ของที่ระลึกของฝาก  เสื้อผ้า อาหารเครื่องอุปโภคบริโภคมีทุกสิ่งให้เลือกสรรค์ว่ายังงั้น พี่คนขับมาปล่อยชะนีแคระกับผองเพื่อนไว้ที่นี่แล้วนัดหมายกันว่าอีกสองชั่วโมงจะมารับ  ชะนีแคระตั้งใจว่าจะเดินเล่นพร้อมกับหาข้าวเที่ยงกินที่นี่ก็แล้วกัน

ตลาดรัสเซีย

โซนเสื้อผ้า และรองเท้า


โซนของฝากและเครื่องประดับ



โซนอะไหร่อุปกรณ์โลหะต่างๆ

บรรยากาศถนนด้านหน้าตลาด

ร้อนๆอย่างนี้ น้ำมะพร้าวสัก 1 ลูก ราคา 2000 เรียล ตก 15 บาทไทย
หลังจากเดินเล่น หาของกินง่ายๆจากร้านข้างทาง เสร็จก็เดินมาจุดนัดพบหน้าตลาด ก็พบว่าพี่คนขับรถตุ๊กๆมาจอดรถนอนรออยุ่แล้ว ตอนนี้บ่ายสองโมงกว่าแล้ว ต้องรีบไปกันต่อกับสถานที่ต่อไป ซึ่งพี่คนขับบอกว่าจะต้องขับรถออกไปนอกเมืองสัก 40  นาทีได้ ซึ่งถนนหนทางอาจจะไม่ค่อยดี เป็นดินแดง แถมเป็นหลุมเป็นบ่อ และฝุ่นเยอะมาก พร้อมกับเตือนให้พวกเราระวังกระเป๋าและกล้องถ่ายรูปให้ถือให้ดีเพื่อป้องกันโจรขับรถมากระชากไป


พี่คนขับตุ๊กๆ


ถนนสองข้างทางยังเป็นฝุ่นแดงอยุ่เลย 

เด็กขับจักรยานไล่กวดโบกมือแข่งกันกับนักท่องเที่ยวอย่างสุนกสนาน


ถนนบางช่วงตรงใกล้ๆกับทุ่งสังหารเป็นคอนกรีตแล้วอย่างว่าที่ใดมีแหล่งท่องเที่ยวความเจริญย่อมเข้าถึง

ขับรถห่างออกจากนอกเมืองพนมเปญเท่าไหร่ เราก็ได้เห็นความแตกต่างของความเจริญเท่านั้น ช่วงชานเมืองถนนส่วนใหญ่กำลังสร้างกันอยู่มักจะเต็มไปด้วยดินแดงและมีฝุ่นตลบไปหมด ชะนีแคระแนะนำว่าอย่าลืมนำที่ปิดปากปิดจมูกพกติดมาด้วยนะสำหรับเพื่อนๆหรือท่านผู้อ่านที่แพ้ฝุ่น  ที่สำคัญไม่ควรใส่เสื้อสีขาวมานะไม่งั้นตอนกลับจากเสื้อขาวๆจะกลายเป็นสีหม่นได้ และเราก็มาถึงสถานที่เที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของทริปนี้ที่ชะนีแคระตั้งใจมาพนมเปญเพื่อจะมาเยี่ยมชมที่นี่โดยเฉพาะนั่นก็คือ7. ทุ่งสังหารเจิงเอก (Choeung EK Genocidal Center) เป็นสถานที่มีการนำเหยื่อของเขมรแดงในช่วงที่เขมรแดงกำลังเรืองอำนาจ (พศ. 2518-2522) โดยจะนำนักโทษมาจากคุกตวลสเลงมาสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมที่นี่ เค้าว่ากันว่ามีนักโทษที่ถูกนำมาสังหารมากกว่า 17,000 คน ซึ่งภายหลังได้มีการขุดค้นพบซากโครงกระดูกมากมายเป็นหมื่นๆที่นี่

สถูปทุ่งสังหารเจิงเอก
ทุ่งสังหารเจิงเอก

หลังจากเข้าไปภายในทุ่งสังหารเราแวะเข้าไปดูส่วนอาคารที่จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่แรก ซึ่งภายในอาคารก็จะมีการจัดแสดงรูปภาพ ประวัติเหตุการณ์เรื่องราวอันแสนโหดร้ายของชาวเขมรที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจ นอกจากนี้ยังมีการแสดงเสื้อผ้าข้าวของนักโทษ และผู้คุมเขมรแดงที่นำมาจัดแสดงด้วย  ประวัติของคนดังมีชื่อเสียง ดารา นักร้องที่ต้องมาสังเวยชีวิตที่นี่


อาคารส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์


ภาพการลำเลียงนักโทษจากคุกตวลสเลงมายังทุ่งสังหารเจิงเอก

 จากรูปภาพจะเห็นถึงการนำนักโทษจากคุกตวลสเลงมาที่ทุ่งสังหารเจิงเอกแห่งนี้ เมื่อเหล่าบรรดานักโทษมาถึงผู้คุมก็จะสั่งให้นักโทษจับมือกันแล้วเดินเรียงแถวเข้าไป    ในประวัติเล่าว่าในแต่ละวันจะมีการนำรถบรรทุกขนนักโทษมาไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยวต่อวัน โดยเฉพาะช่วงท้ายๆก่อนที่เขมรแดงจะหมดอำนาจนั้นมีรถบรรทุกวิ่งเข้าออกไม่ต่ำกว่า 50 เที่ยวต่อวันซึ่งคันหนึงนี่ก็จะบรรทุกนักโทษมาไม่ต่ำคันละ 40-50 คน คิดดูว่ามีผู้คนที่ต้องมาสังเวยชีวิตที่นี่มากมายเท่าไหร่ ซึ่งการขนบรรทุกนักโทษนั้นผู้คุมจะนำนักโทษผูกผ้าปิดตา มัดมือ และใส่โซ่ตรวนเพื่อกันนักโทษหนี แล้วผู้คุมก็จะหลอกนักโทษว่าจะพาไปบ้านใหม่ บ้านที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่อดอยาก มีที่หลับนอนสบายหรือไม่ก็บอกจะพาไปเจอครอบครัวที่รออยู่ก่อนหน้านั้น หลอกนักโทษเผื่อไม่ให้นักโทษเกิดตกใจกลัวแล้วกระโดดหนีระหว่างทาง แต่จริงๆแล้วที่นี่ต่างหากที่กลายมาเป็นสุสานฝังกลบพวกเค้าไปชั่วนิรันดร์


ภาพแสดงการสังหารโหดของเขมรแดง


จากภาพนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อนักโทษมาถึง เหล่าผู้คุมเขมรแดงก็ได้ขุดหลุมเตรียมรอไว้แล้ว แล้วก็ให้นักโทษคุกเข่ารออยู่บริเวณปากหลุม จากนั้นผู้คุมจัดการฆ่านักโทษด้วยวิธีการพิสดารแปลกๆสุดแท้แต่ที่เขมรแดงจะคิดได้ บ้างก็ทุบตี ใช้มีดแทง ใช้ใบตาลที่เป็นเดือยหลามแหลมปาดคอนักโทษ สารเคมีบ้าง


อาวุธที่เขมรแดงใช้สังหารนักโทษก็คือก้านของต้นตาล

ดูเดือยแหลมคมของใบตาล
เขมรแดงนิยมใช้ก้านใบตาลมาปาดคอ ปาดกระเดือกของเหล่านักโทษ เพราะต้องสังหารคนเป็นจำนวนมากก็กลัวจะเปลืองกระสุน เขมรแดงเลยต้องคิดหาวิธีมาสังหารนักโทษแปลกๆ บ้างก็ใช้พวกจอบ เสียม ทุบตีคนจนตาย ไม่อยากคิดเลยว่าเหล่านักโทษจะทรมานขนาดไหนก่อนจะขาดใจตาย หลังจากตีนักโทษแล้วถีบร่างนักโทษลงหลุมไปแล้วกลัวนักโทษจะไม่ตายสนิทดีก็เอาพวกสารพิษเคมีร้ายแรงมาโรยใส่ทับ ก่อนจะกลบดินฝังอีกรอบ  ชะนีแคระบอกเลยว่าใจมันหดหู่ น้ำตาคลอเลยทีเดียวเวลาที่หลับตานึกถึงภาพเหตุการณ์ย้อนหลังไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะโหดร้ายต่อกันได้ขนาดนี้

ต้นไม้ที่ใช้สังหารเด็กเขมร
จากรูปภาพคือต้นไม้ แต่มันไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดามันคือต้นไม้สังหารที่เขมรแดงจะพรากลูกจากอกแม่ เด็กเล็กแดงๆมาฆ่าทิ้งด้วยการนำร่างเด็กมาฟาดกับต้นไม้จนเสียชีวิต  ภายหลังที่ชาวเขมรได้ค้นพบสุสานแห่งนี้ ต่างก็พานำสายสิญจน์สีต่างๆมาแขวนไว้กับต้นไม้เพื่อเป็นการไว้อาลัยและให้วิญญาณเด็กๆที่เสียชีวิตที่ต้นไม้แห่งนี้ไปสู่ภพภูมิที่สงบ


บนต้นไม้ต้นนี้จะติดลำโพงขยายเสียงแล้วเปิดเพลงปลุกใจตลอดเวลา
เขมรแดงจะติดตั้งลำโพงขนาดใหญ่พร้อมกับเปิดเพลงปลุกใจเสียงดังตลอดเวลา จริงๆแล้วคือต้องการจะกลบเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเหล่านักโทษที่ถูกสังหารที่นี่ 


ซากเสื้อผ้าของบรรดาผู้ที่เสียชีวิตที่ถูกค้นพบที่นี้ มีเสื้อผ้าเด็กด้วย

ซากเศษโครงกระดูกและฟันของเหล่าบรรดาผูู้เสียชีวิตที่ถูกขุดค้นพบ



ซากชิ้นส่วนเสื้อผ้าและโครงกระดูกของผู้ตายยังกระจายเต็มตามพื้นดิน

หลุมซากศพมากมายที่กระจายไปทั่วท้องนา
ทางรัฐบาลได้ยุติการขุดหลุมนำซากโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตขึ้นมา เพื่อเป็นการไม่ไปรบกวนดวงวิญญาณของเหล่าบรรดาผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เพราะยิ่งขุดก็ยิ่งเจอซากโครงกระดูก ที่นี่สุสานเจิงเอกแห่งนี้เค้าว่ามีหลุมแบบนี้นับร้อยหลุมเลยทีเดียว แต่ละหลุมก็มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 200-400 คน  คิดแล้วก็สยองขึ้นมาทีเดียว

สถูปอนุสรณ์สถาน

ทางการได้สร้างสถูปเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานโดยการนำซากหัวกระโหลกบรรจุอยู่ภายใน เพื่อนเป็นการไว้อาลัยและอุทิศส่วนกุศลให้เหล่าบรรดาผู้ที่เสียชีวิต นอกจากนี้ภายในยังมีการจัดแสดงเหล่าเครื่องมือที่ใช้ในการสังหารนักโทษด้วย

ซากหัวกะโหลกของเหล่าผู้เสียชีวิต

สำหรับคนที่สนใจอยากแวะมาเยี่ยมชมนั้นสามารถเข้ามาชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 07.30-17.30 น. ค่าเข้าบัตรราคา 5 ดอลล่าร์ต่อคน ตอนที่เดินออกมาจากทุ่งสังหารเจิงเอกชะนีแคระและผองเพื่อนต่างคนต่างนิ่งไม่รู้จะพูดอะไรกันตลอดทางเดินออกมาเงียบๆ คงเพราะความรู้สึกที่มันสลดหดหู่บอกไม่ถูกแถมตอนนี้ก็เริ่มจะห้าโมงเย็นโพล้เพล้แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกวังเวงหลอนยิ่งขึ้นไปอีก  หลังจากเสร็จภาระกิจเรียบร้อยพี่คนขับรถตุุ๊กๆก็พาเรากลับมาส่งต่อที่โรงแรมราวๆเกือบ6 โมงเย็นได้ ไม่ไหวค่ะท่านผู้อ่านตอนนี้ชาวคณะอยากจะอาบน้ำอย่างแรงเพราะเราต้องผจญไปกับฝุ่นแดงๆตลอดเส้นทางยังไงก็ขอกลับไปพักกันสักหน่อย อาบน้ำเย็นๆสักนิดที่โรงแรม แล้วเราค่อยออกไปเดินเล่นหาข้าวเย็นทานกันแถวๆริมแม่น้ำคืนนี้


แสงสีริมฝั่งแม่น้ำโตนเลสาบ


ย่านริมฝั่งแม่น้ำนี้เป็นแหล่งร้านอาหาร ผับบาร์
ชะนีแคระออกมาเดินเล่นย่านถนนริมแม่น้ำโตนเลสาบเพื่อจะมาดูชีวิตของชาวพนมเปญยามค่ำคืนกันบ้าง จะว่าไปคนที่นี่ชอบออกมาเดินเล่นสังสรรค์กันที่สวนสาธารณะ โดยเฉพาะบรรดาหนุ่มสาวหลายคู่มาพลอดรักกันทีริมฝั่งแม่น้ำ  บ้างก็ออกมากันเป็นครอบครัว บรรยากาศดีทีเดียว ขณะเดียวกันเราก็จะหาร้านอาหารไปในตัว วันนี้ตั้งใจว่าเราจะมาลองชิมอาหารเขมรแท้ๆดูว่ามันจะอร่อยรสชาติเหมือนอาหารไทยบ้านเราไหม หลังจากเดินผ่านไปหลายร้าน ดูเมนูหน้าร้านแล้วเอาละตกลงใจเลือกร้านนี้  Khmer Saravan ร้านเขมร์สาระวาน ร้านนี้ช่วยสนับสนุนองค์การ NGO อีกด้วย จะเห็นว่าที่ร้านมีการนำข้อความจากเด็กๆมาติดแปะไว้ทั่วร้านเลย
ร้านอาหาร Khmer Saravan
 ชะนีแคระแนะนำเมนูห้ามพลาด ใครมาเขมรต้องลองสั่งทานเมนูประจำชาติ มันคือ Amok แต่ดูจากหน้าตาแล้วมันคือห่อหมกแบบบ้านเรานี่เองแต่รสชาติจะอ่อนเผ็ดกว่า  เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ชะนีแคระกับเพื่อนสั่งกับข้าวมาอีกสองสามอย่างแต่ด้วยความหิวพออาหารมาปุ๊บจ้วงกันหมุบหมับเลยถ่ายรูปไม่ทันจริงๆค่ะ สรุปมื้อมีภาพอาหารมาแค่รูปเดียว เอาเป็นว่ารอดตายไปอีกมื้อละค่ะเพื่อนๆ

Amok  ห่อหมกเขมร
 ชะนีแคระเก็บภาพยามค่ำคืนของลานสนามหญ้าหน้าวังมาฝากกัน ซึ่งในภาพก็จะมีชาวเขมรพาครอบครัว เพื่อนฝูงมานั่งปูเสื่อทานอาหารกัน มีร้านอาหารรถเข็นมาคอยให้บริการขายอาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนมีเสื่อปูบริการเสริมอีกต่างหาก

ชาวพนมเปญออกมาพักผ่อนทานอาหารกันบนลานสนามหญ้าหน้าวัง



สำหรับคืนนี้ชะนีแคระขอลากลับโรงแรมไปพักผ่อนก่อนนะคะเพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเดินทางไปนอกเมืองกันค่ะ


วันที่ 3

สำหรับโปรแกรมวันสุดท้ายนี้เราจะไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุที่เมืองอูดงเมืองหลวงเก่าของกัมพูชากันค่ะ เช้านี้ตื่นเร็วกันพิเศษ เพราะพี่คนขับรถตุ๊กๆมารับแต่เช้าราวๆเก้าโมงเช้าได้ เพราะเราต้องเดินทางออกไปนอกเมืองกัน ซึ่งการเดินทางไปเมืองอูดงนั้นต้องขับรถออกไปนอกเมืองราวๆ 45 กิโลเมตรได้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นทางอาจจะไกลสักหน่อยและถนนไม่ค่อยดีเป็นดินแดงส่วนใหญ่  โดยเราเหมาพี่ตุ๊กๆไปในราคา 35 ดอลลาร์ ไปเมืองอูดงเที่ยวไหว้พระต่างๆ และกลับเข้ามาพนมเปญเก็บตกสถานที่เหลือ


สภาพถนนชานเมืองของกรุงพนมเปญยังเป็นดินแดงๆอยู่เลย

ถนนกำลังปรับปรุง 

บ้านสไตล์เขมรจะเป็นบ้านที่ยกไต้ถุนสูง

ย่านชุนชนตลาดข้างทาง

ชาวบ้านใช้บริการรถตุ๊กๆสาธารณะ มันจะคันใหญ่กว่าตุ๊กๆปกติ
ตลอดเส้นทางชานเมืองของกัมพูชาถนนส่วนใหญ่ยังเป็นดินแดง ดินลูกรังอยู่ ชะนีแคระมีความรู้สึกคล้ายๆกลับได้เห็นบรรยากาศของผู้คนตามชนบทไกลๆในเมืองไทย คือไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานมากก็รู้สึกประทับใจ  ชะนีแคระอยากจะบอกการเดินทางไปในหลายๆประเทศการได้เห็นบ้านเมืองผู้คน การดำรงวิถีชีวิตที่แตกต่างมันมีความสุขนะและมันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวด้วย หลังจากนั่งรถฝ่าดงดินลูกรังมาได้ชั่วโมงกว่าเราก็เดินทางมาถึงเขาอูดงกันแล้ว

เมืองอุดง Udong
8. เมืองอูดง(Udong) เป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรกัมพูชา ตั้งแต่พศ. 2162- 2406  ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงมาเป็นกรุงพนมเปญ  บนยอดเขาอุดงจะมีเจดีย์ที่บรรจุสารีริกธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธาตุของพระอรหันต์ และเจดีย์ของอดีตกษัตริย์กัมพูชาหลายพระองค์ 


ทางขึ้นเขาอุดง เพื่อขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ที่บรรจุสารีริกธาตุ 

แวะทักทายเจ้าถิ่นสักหน่อย
ขึ้นมาถึงด้านบนยอดเขาอูดงแล้ว ถ่ายรูปสวยๆมาฝากท่านผู้อ่านกัน
พระเจดีย์ที่บรรจุสารีริกธาตุ


หลังจากขึ้นมาถึงยอดเขาอุดงแล้ว เราชาวคณะก็เข้าไปทำบุญและไหว้พระเจดีย์กันก่อนเลยเพื่อความเป็นสิริมงคลกัน

พระพทุธรูปนับพันๆองค์ประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์
ภายในพระเจดีย์จะมีการนำพระสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระธาตุของพระอรหันต์ และมีการนำพระพุทธรูปนับพันองค์มาประดิษฐานอยู่ภายใน โดยเค้าบอกว่าพระพูทธรูปนั้นเป็นพระพุทธรูปศักสิทธิ์ทั่วประเทศกัมพูชานำมาประดิษฐานที่นี่ ซึ่งเค้าบอกว่าพระเจดีย์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ดังนั้นเราจะเห็นชาวเขมรมักนุ่งขาวห่มขาวเดินทางมาสักการะบูชาพระเจดีย์บนยอดเขาอูดงกันมากมาย


พระสถูปเจดีย์ของอดีตกษัตริย์กัมพูชา

เค้าว่าเป็นสถูปของพระเจ้านักองค์ด้วง

หลังจากไหว้พระเจดีย์ต่างๆใช้เวลาราวชั่วโมงกว่าเราก็เดินลงมาจากยอดเขา ซึ่งทางลงมันจะอยู่คนละด้านกับทางขึ้น พอเราลงมาถึงตีนเขาก็จะมีตลาดพื้นเมืองเล็กๆอยู่ ซึ่งที่นี่จะเป็นจุดที่พี่คนขับรถตุ๊กๆจะจอดรถรอเราอยู่
ตลาดนัดเล็กๆ

มีของกินของใช้เต็มไปหมด

ชะนีแคระแวะซื้อน้ำสักขวดแก้กระหาย
หลังจากเจอพี่คนขับรถตุ๊กๆก็พาเราไปไหว้พระกันต่อที่ศูนย์วิปัสสานาที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ที่แห่งนี้พระเจ้านโรมดมสีหนุ โปรดให้ทรงสร้างขึ้นก่อนพระองค์เสด็จสวรรคต


ศูนย์วิปัสสานา


ภายในพระอุโบสถ
หลังจากเราใช้เวลาสักพักที่เมืองอุดง ตอนนี้เวลาบ่ายสองกว่าพวกเราก็เดินทางกลับเข้าเมืองพนมเปญกัน เพราะยังมีสถานที่อีกหลายที่ที่เรายังไม่ไปแวะชม


วัดพนม
.
9. วัดพนม( Wat Phnom)เป็นวัดที่ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองพนมเปญ ตามประวัติปรำปราเล่าว่า วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1373 หลังจากน้ำท่วมใหญ่ได้มีเศรษฐีนีชาวเขมรนามว่าเพ็ญ ได้เห็นท่อนไม้ลอยตามน้ำมาซึ่งภายในท่อนไม้นั้นมีพระพุทธรูปซ่อนอยู่ถึงสี่องค์ด้วยกัน ด้วยแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาอันแรงกล้าของนางเพ็ญก็ได้บริจาคทรัพย์ส่วนตนสร้างวัดและประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ไว้ที่นี่ โดยได้นำดินมาถมเป็นเนินสูงประมาณ 27 เมตร และสร้างวัดบนเนินนั้น  ดังนั้นที่มาของคำว่า พนม ภาษาเขมร แปลว่า เขา และคำว่าเปญ ก็เพี้ยนมาจากชื่อของนางเพ็ญนั่นเอง  ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปประชาชนก็พากันหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานที่นี่จนกลายมาเป็นเมืองพนมเปญในที่สุด


ภายในพระอุโบสถ


รูปปั้นยายเพ็ญผู้สร้างวัดพนม
สำหรับผู้สนใจจะแวะเข้ามาสักการะบูชา วัดพนมเปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 7.00-18.30 น. ค่าเข้าคนละ 1 ดอลล่าร์ 

ตลาดกลาง

 หลังจากแวะไหว้พระที่วัดพนมเสร็จแล้ว พี่คนขับรถตุ๊กๆก็พาเราไปเที่ยวสถานที่เที่ยวสุดท้ายของทริปพนมเปญกันนั่นคือ 10. ตลาดกลาง  เป็นตลาดที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ ตัวอาคารสร้างเป็นรูปโดมสีเหลืองขนาดใหญ่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปีคศ .1937 ในสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส  ภายในตลาดก็มีสินค้ามากมายหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้  เสื้อผ้า ร้องเท้า กระเป๋า อาหารสด อาหารแห้ง เครื่องเงิน พลอย ของใช้ เฟอร์นิเจอของเก่า ของที่ระลึกก็ยังมี นับว่าเป็นตลาดที่มีทุกอย่างจริงๆ  ถ้ามีโอกาสก็แวะมาชมมาเที่ยวหาซื้อข้าวของกันนะคะ

ภายในอาคารทรงโดมมีขายของพวกเครื่องเงิน เครื่องประดับ อัญมณี 

อาหารแห้งก็มี

กุ้ง หอย ปู ปลา ก็มา
หลังจากเดินเล่นได้สักพักฟ้าก็มืด ลมก็เริ่มมา ฝนตกอย่างหนักเลยทีเดียวค่ะ พี่คนขับเลยต้องพาเรากลับไปส่งที่โรงแรมเราคงเที่ยวต่อไม่ได้แล้ว เพราะน้ำเริ่มท่วมนองถนนเลยทีเดียวแต่ถึงยังไงชะนีแคระกับพรรคพวกก็ยังโชคดีที่ฝนดันมาตกหนักในวันสุดท้ายแถมตอนเย็นๆอีกต่างหาก พี่คนขับบอกว่าปกติถ้ามาเที่ยวหน้าฝนก็ต้องทำใจแต่ถ้ามาหน้าร้อนที่นี่อากาศจะร้อนมากและฝุ่นเยอะมาก  เอาเป็นว่าคืนนี้พักผ่อนและหาข้าวเย็นทานง่ายๆแถวโรงแรม เตรียมพร้อมเดินทางต่อไปเมืองเสียมเรียบกันแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณกำลังใจและทุกการติดตามค่ะ  วันนี้ลาไปก่อนพบกันใหม่ในตอนหน้าชะนีแคระจะพาไปเที่ยวเมืองเสียมเรียบ พาเที่ยวนครวัด นครธมกันนะคะ