วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เที่ยวนิวยอร์ก (New york) ประเทศสหรัฐอเมริกา แบบชิวๆในวันฟ้าใส

 สวัสดีค่ะแฟนๆที่รักทุกท่าน ชะนีแคระกลับมาอีกแล้ว วันนี้จะพาไปเที่ยวนิวยอร์ก (New york) เมืองมหานครเอกของโลกกัน นิวยอร์กเป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคนรวมทั้งชะนีแคระด้วยฝันว่าสักวันหนึ่งต้องมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง อีกอย่างสำหรับทริปนี้ชะนีแคระก็ตั้งใจพาครอบครัวไปเที่ยวและก็ไปเยี่ยมเพื่อนสนิทด้วยซึ่งเรามีเวลาเที่ยว 7 วันสบายๆรับรองว่าสามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆพาแฟนๆได้เทีี่ยวครบจุใจแน่นอน




นิวยอร์ก (New York) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นิวยอร์กซิตี้ แล้วมีหลายๆคนเรียกนิวยอร์กว่า Big apple ก็ได้เพราะสภาพภูมิประเทศคล้ายผลแอปเปิล  นิวยอร์กนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นมหานครศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน สังคม วัฒนธรรมและการบันเทิงของโลก
สำหรับชาวไทยที่ต้องการจะเดินทางไปเที่ยวที่นิวยอร์กต้องขอวีซ่าอเมริกาก่อน สำหรับวิธีการขอไม่ยุ่งยากลองหาดูรายละเอียดได้ มีหลายเว๊บไซต์ที่เขียนรีวิวขั้นตอนการเตรียมตัว การเตรียมเอกสารไว้พร้อมรวมทั้งแนะนำการสัมภาษณ์ไว้ด้วย เพื่อนๆที่สนใจลองหาข้อมูลได้ ยิ่งเป็นชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสยิ่งง่ายขึ้นไปอีก ถ้ายิ่งมีการ์ดเดอเซจู 10 ปี ยิ่งสบายเลยนะ สามารถขอได้ที่  Ambrassade et consulats des Etats- unisโดยเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://travel.state.gov/content/visas/en.html และลงทะเบียนสร้างแบบฟอร์ม DS-160 ลงรูปและกรอกข้อมูลส่วนตัว ให้เรียบร้อย    ชะนีแคระแปะลิงก์ไว้ให้แล้วนะคะ https://ceac.state.gov/genniv/    รับรองว่าไม่ยากแค่กรอกข้อมูลตามความเป็นจริงกับเตรียมเอกสารให้พร้อมคุณๆก็จะได้วีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีแน่นอนค่ะ

การเดินทาง

สำหรับชะนีีแคระเดินทางช่วงปลายเดือนพฤษภาคม อากาศกำลังสบายๆ เราเดินทางไปกลับกับสายการบินแอร์ฟรานซ์ บินตรงจากปารีสมุ่งสู่สนามบินนานาชาติ John F. Kennedy ใช้เวลาเดินทางราวๆ 6 ชม. กว่าก็มาถึงแล้วนะ ซึ่งตอนที่ชะนีแคระจองตั๋วไปนั้นตกคนละ  497.5 ยูโร ตกเป็นเงินไทยประมาณ19,900 บาท

เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ

สำหรับการเดินทางภายในนิวยอร์ก ส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้บริการรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Subway กัน ตั๋วค่าเดินทางนับเป็นเที่ยวละ  2.75 ดอลล่าร์ สามารถใช้กับรถไฟใต้ดินก็ได้หรือรถเมล์ก็ได้  ชะนีแคระแนะนำว่าถ้าใครมาเที่ยวในนิวยอร์กไม่กี่วัน ยิ่งมาช่วงอากาศดีๆสบายๆเน้นเดินเท้าเป็็นหลักก็ใช้วิธีซื้อบัตร Metrocard แล้วเติมเงินครั้งแรกประมาณสัก 20 ดอลล่าร์บวกกับค่าบัตรอีก 1 ดอลล่าร์ ถ้าเราใช้พวกรถไฟใต้ดิน รถเมล์ มันก็จะตัดเงินในบัตรไปเรื่อยๆซึ่งตกเที่ยวละ 2.50 ดอลล่าร์ หมดก็ค่อยๆเติมเงินเอา แต่ว่าใครที่คิดว่าขี้เกียจเดินแล้วจะต้องอยู่ในนิวยอร์ค 7 วันก็สามารถซื้อตั๋วแบบ 7 days unlimited   แบบไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ราคา 33 ดอลล่าร์  (32 $+1 $ ค่าบัตร) รับรองว่าคุ้มแน่นอน

 โรงแรมและที่พัก



Off soho suite hotel

ชะนีแคระพักที่โรงแรม Off soho suite hotel ในแมนฮัตตัน ย่าน  Lower east side ในทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมดด้วยกัน 3 คนก็เลยจองเป็นห้องพัก 1 ห้องนอน แล้วเป็นห้องรับแขกมีโซฟาที่สามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ แล้วก็มีห้องน้ำ และห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ไว้ทำอาหารทานได้ ซึ่งตกคืนละ   258 ยูโร ตกเป็นเงินไทยราวๆ 10,300 บาทต่อคืน เฉลี่ยคนละ 3,400 บาทต่อคืน

Lobby โรงแรม


ห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง (ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เน็ต)

ห้องรับแขกที่มีโซฟาปรับเป็็นเตียงนอนได้

ห้องครัวพร้อมอุปกรณ์


ห้องน้ำ (รูปจากอินเตอร์เน็ต)
ชะนีแคระคิดว่าที่พักโรงแรมนี้ก็สะอาด ไม่แพง และก็เดินทางสะดวกมี Subway ใกล้ๆและไม่ไกลจากย่าน Chinatown , Little italy และย่าน Soho สามารถเดินถึงได้ ที่สำคัญมี Wifi ฟรีค่ะ ถ้าสนใจก็ลองเข้าจองกันได้ เหมือนเช่นเคยชะนีแคระไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด

สิ่งที่ควรรู้ในนิวยอร์ก
กฏการให้ทิป
 การให้ทิปในอเมริกาถือเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งนะ ฟังดูแล้วเหมือนเราจะคิดว่าการบริการนั้นอยู่ที่ความพอใจ ถ้าเราไม่ถูกใจทำไมฉันจะต้องจ่ายทิปให้ด้วย แต่ว่าที่อเมริกาการใช้บริการนี่คุณต้องให้ทิปนะ เพราะพนักงานเค้าได้เงินเดือนน้อย อยู่ได้ด้วยทิป ดังนั้นชะนีแคระจะมาบอกว่าเราควรให้ทิปอย่างไรถึงจะไม่ถูกพนักงานมองด้วยหางตาบ้าง  ก่นด่าตามมาทีหลัง หรือโดนพนักงานมาทวงว่าเราลืมให้ทิปสร้างความอับอายให้อีก ดังนั้นชะนีแคระสรุปมาให้คร่าวๆดังนี้
 - การใช้บริการแท็กซี่ คุณควรจะต้องให้ทิป 10-15 % เช่น ถ้าค่าโดยสาร 60 ดอลล่าร์ คุณก็ควรจ่ายค่าทิปเพิ่มไปด้วย 66 -70 ดอลล่าร์ เป็นต้น
-  การทานอาหารในร้านอาหาร บางทีต้องดูในใบเสร็จว่ามันรวมค่าบริการมาแล้วหรือยัง ถ้ายังต้องบวกค่าทิป15-20 % เช่นค่าอาหาร 100 ดอลล่าร์ คุณก็ต้องจ่าย 115 -120 ดอลล่าร์
- โรงแรมที่พัก ถ้ามีแม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง คุณต้องวางค่าทิปให้แม่บ้าน 2-4 ดอลล่าร์ต่อคืนที่คุณพัก แล้วคุณจะพบว่าห้องคุณจะสะอาดใหม่ มันแตกต่างจากการที่คุณไม่ให้ทิปยังไง
- มีพนักงานยกกระเป๋าให้  คุณควรให้ทิป 2 ดอลล่าร์ ต่อกระเป๋า ถ้าเข็นเป็นรถเข็นเลยก็ 5 ดอลล่าร์
-ถ้าไปนั่งดิ่ม แล้วมีบาร์เทนเดอร์ ชงเครื่องดื่ม มาให้คุณต้องจ่ายทริป 10-15%


วันที่ 1 


ภายในรถไฟใต้ดิน Subway

เราเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติ John F. Kennedy ก็เกือบบ่ายสองโมงเย็นกว่าแล้วกว่าจะผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาก็ใช้เวลานานมากเพราะช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ในใจก็ระทึกไปด้วยว่าเค้าจะให้เข้าประเทศหรือเปล่าเอาเป็นว่าทั้งกรุ๊ปผ่านมาได้ด้วยดี เราก็เดินทางเข้าตัวสู่เมืองนิวยอร์กด้วย Air train แล้วก็ไปต่อ Subway ใช้เวลาเกือบ 3 ชม.กว่าจะถึงที่พักเพราะวันที่มาถึงเป็นวันอาทิตย์รถไฟวิ่งน้อย  เสียเวลาคอยนานมากและก็เหนื่อยมาก  บอกเลยว่าพูดถึงเรื่องการเดินทางชะนีแคระแนะนำว่า ถ้ามากันหลายๆคน มีกระเป๋าสัมภาระกัน เรียกใช้บริการแท็กซี่จะคุ้มกว่านะ เพราะเรียกแท็กซี่จากสนามบินเข้าตัวเมืองมันไม่แพงอย่างที่คิด ถ้าแชร์หลายๆคน ค่าเดินทางมันจะถูก ราคาแท็กซี่จากสนามบินเข้าตัวเมืองนิวยอร์กประมาณ60 กว่าดอลล่าร์ บวกทิปอีก  10-15% ก็ตก 70 กว่าดอลล่าร์เองแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบาย


ถนนแถวๆที่พัก

สรุปกว่าทั้งกรุ๊ปจะมาถึงที่พักโรงแรม กว่าจะเช็คอิน รอเพื่อนสาวมาหาที่พักก็ทุ่มกว่า คืนนี้เราทุกคนเหนื่อยมากตัดสินใจออกมาทานอาหารเย็นแถวๆที่พัก เพื่อนสาวเจ้าบ้านนางเลยพามาทานอาหารสไตล์ฟิวชั่นสำหรับมื้อแรกในนิวยอร์ก



อันนี้เรียกอะไรไม่รู้เพื่อนสาวสั่งให้แต่อร่อยดี


ข้าวผัดอะไรสักอย่าง

แฮมเบอร์เกอร์เนื้อ เสริฟพร้อมมันฝรั่งทอด และสลัดผัก


คืนนี้อิ่มไปอีกมื้อ หลังจากท้องอิ่มแล้วเราก็ได้ล่ำลาแยกทางกับเพื่อนสาวเจ้าบ้าน ชะนีแคระกับเดอะแก็งค์ก็กลับที่พักและหลับเป็นตายยอมรับจริงๆว่าเหนื่อยมาก คืนนี้ขอนอนหลับเอาแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ดีกว่า

วันที่ 2

วันนี้ชะนีแคระกับครอบครัวตื่นกันแต่เช้า อาจจะเพราะเมื่อคืนเรานอนหลับกันเต็มที่ประกอบกับตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะวันนี้จะเป็นวันแรกที่เราจะเริ่มเที่ยวในนิวยอร์กกัน วันนี้การเที่ยวของเราจะเน้นเดินเท้าไปเรื่อยๆตามถนน Fifth Avenue  เป็นหลัก
ตามตัวตึกในย่านแถว Soho 

 ตัวอาคารตึกต่างๆในย่าน Soho จะมีบันไดหนีไฟอยู่ด้านนอกตัวอาคารนับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวที่นิวยอร์กที่นักท่องเที่ยวจะต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึก

ตัวถนน Fifth Avenue ถนนแห่งการชอปปิงที่มีแบรนด์เนมสุดหรูมากมาย



Union Square

เดินผ่าน Union Square ย่านชอปปิงหรูใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์รวมแฟชั่น ห้างสรรพสินค้า ร้านหรูบูติคต่างๆมากมาย  วันนี้โชคดีมีตลาดนัดด้วย ชะนีแคระไม่พลาดแวะถ่ายรูปมาให้ชมกันนะคะ


ตลาดนัดย่าน Union Square
ผลไม้สดๆ
ตึก Emprie State อยู่ด้านหลัง

ตึก Flatiron
อีกหนึ่งแลนมาร์คสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาหยุดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันกับเจ้าตึกทรงเตารีดนั่นเอง


ตึก Flatiron เจ้าตึกเตารีด


 เดินเล่นกันต่อไปเรื่อยๆจนถึง ห้างสรรพสินค้า Macy's ห้างเก่าแก่ใจกลางแมนฮัตตัน ภายในห้างดาวแดงก็มีสินค้าแบรนด์เนมมากมายอารมณ์คล้ายๆกับห้างเซ็นทรัลบ้านเรานี่หละค่ะ


ห้างสรรพสินค้า Macy's


หลังจากชะนีแคระกับครอบครัวแวะชอปปิงกันเล็กน้อยที่ห้าง Macy's เราก็เดินย้อนกลับมาแถวสวนสาธารณะ Madison square อีกครั้ง


Madison square Park

สวนสาธารณะ Madison Square


เดี๋ยวเราแวะทานอาหารกลางวันกันแถวๆนี้ ชะนีแคระแนะนำร้านนี้เลย Eisenberg's Sandwich แซนด์วิชสไตล์อเมริกัน ร้านนี้ค่อนข้างเก่าแก่เปิดมานานตั้งแต่ปีคศ. 1929 ดารามาแวะทานกันเพียบเลยดูจากรูปที่ติดไปทั่วร้าน


ร้าน Eisenberg's Sandwich

Hot Pastrami ของเรามาแล้ว

มื้อนี้ไม่แพงมากแซนด์วิชรวมน้ำดื่มตกคนละ 12  ดอลล่าร์ กว่าๆเอง ท้องอิ่มเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ


นิวยอร์กก็มี 7- Eleven นะ

Time square (ไทม์สแควร์) ย่านธุรกิจดังของมหานครนิวยอร์ก เป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกหนึ่งอย่างของการมาเที่ยวที่นิวยอร์ก ที่นี่ถือเป็นตัวแทนที่บอกว่า  New york city .......the city that never sleeps !!! นิวยอร์ก เมืองที่ไม่เคยหลับไหล เมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งความบันเทิง ที่ไทม์สแควร์มีโรงละครบรอดเวย์ (Broadway) มากมาย ร้านค้าร้านอาหาร  มีป้ายโฆษณายักษ์ใหญ่ประดับด้วยไฟนีออนรายล้อมไปหมด และที่นี่ยังถึือเป็นสถานที่จัดงานนับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่โด่งดัังไปทั่วโลกอีกด้วย


ไทม์สแควร์ มีแต่ป้ายไฟยักษ์โฆษณาด้วยไฟนีออนเต็มไปหมด
สีสันแห่งมหานครนิวยอร์ก

รถแท็กซี่สีเหลือง สัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างของนิวยอร์ก

สถานที่จัดงานนับถอยหลังปีใหม่ที่โด่งดังไปทั่วโลก

สำหรับการเดินทางมาที่ไทม์สแควร์นั้นสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย N/Q/R, S, 1/2/3,7 ลงที่สถานี Time sq-42nd st.   เราก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆก็มาแวะที่ The Grand central Terminal ศูนย์กลางการเดินทางเชื่อมต่อด้วยรถไฟต่างๆและเชื่อมกับรถไฟใต้ดินอีกด้วย  ที่นี่ก็เปรียบเสมือนหัวลำโพงบ้านเรานี่ละค่ะ ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในฉากสำคัญๆของซีรี่ย์ดังๆ ภาพยนต์ฮอลลีวูดมากมายหลายเรื่อง

The Grand central Terminal

ศูนย์กลางสถานีรถไฟ

ไม่ไกลจาก The Grand central Terminal ก็เจอเจ้าตึกทรงสวยนี่เลยค่ะ  Chrysler Building (ตึกไครสเลอร์) เป็นหนึ่งในอาคารก่อสร้างที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของนิวยอร์ก  ตึกไครสเสอร์เคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกมาก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับตึกเอ็มไพร์สเตต


ตึกไครสเลอร์ (Chrysler Building)


เรายังคงเดินต่อเนีื่องเรื่อยๆบนถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ถนนสาย 5 th Avenue ถนนสายแห่งการชอปปิง เรามาแวะที่  St. Patrick's Cathedral (มหาวิหารเซนต์แพททริค)มหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยคศ. ที่ 19 ด้วยสไตล์สถาปัตยกรรมนีโอโกธิคที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา


ภายในมหาวิหาร

มีการประดับประดาไปด้วยกระจกสีมากมาย
มหาวิหารเซนต์แพทริค
มหาวิหารเซนต์แพทริคเปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30 -20.45 น. เดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย  B/D/F/M ลงที่สถานี 47 Th -50 Th St. Rockefeller


Le Rockefeller center

ใกล้ๆกันนั้นแค่ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิหารเซนต์แพทริคก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งตึก Rockefeller center เป็นศูนย์รวมเหล่าอาคารพาณิชย์ แหล่งธุรกิจและรวมความบันเทิง ซึ่งถูกสร้างขึ้นในคศที่. 19 แล้ว เราสามารถขึ้นไปชมจุดชมวิวดูเมืองนิวยอร์คได้ถึง 360 องศาได้ที่ตึก Top of the rock ด้วยซึ่งเดี๋ยวชะนีแคระจะพาขึ้นไปชมวิวเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันในวันหลังๆแล้วกัน วันนี้ก็แค่เดินเล่นเก็บภาพมาให้ชมคร่าวๆกันก่อนนะคะ


ตัวอาคารถึง Top of the rock


ทางเข้าตัวตึก

ลานน้ำพุหน้าตึกTop of the rock ซึ่งถ้าเป็นฤดูหนาวจะทำเป็นลานเสก็ตน้ำแข็ง
เปิดทำการทุกวัน สามารถเดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย  B/D/F/M ลงที่สถานี 47 Th -50 Th St. Rockefeller Center

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นกว่าแล้ว หลังจากทั้งกรุ๊ปปรึกษากันแล้วว่าเราจะไปไหนกันต่อดี เราก็ลงประชามติว่าเราจะขึ้นไปชมวิวเมืองนิวยอร์กตอนพระอาทิตย์ตกดินที่ตึกเอ็มไพร์สเสตตกัน  Emprie State Building (ตึกเอ็มไพร์สเตต) เป็นตึกระฟ้าที่มีชื่อเสียงของโลกและเคยเป็นตึกที่เคยสุงที่สุดในโลกมาก่อน โดยมีความสูงทั้งหมด 102 ชั้น  ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1929 และแล้วเสร็จภายในปีคศ. 1931 เราสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพของเมืองนิวยอร์กได้ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกถ้าแวะมาเมืองนิวยอร์กต้องไม่พลาดมาแวะชมวิวที่ตึกนี้กัน นอกจากนี้ตึกเอ็มไพร์สเตตยังเป็นฉากหนึ่งในภาพยนต์ดังเรื่อง King kong ด้วย

แบบจำลองตัวตึกเอ็มไพร์สเตต

เดี่ยวเราจะขึ้นลิฟต์ไปชมวิวที่ชั้น 86 นะตอนนี้ชั้น 77 แล้ว


ตัวตึกเอ็มไพร์สเตตเคยเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง King Kong

วิวเมืองนิวยอร์กมุมนี้มองเห็นตึก Flatiron , One world trade center และ เทพีเสรีภาพอยู่ลิบๆ


เสาอากาศ ฉากสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง King kong
มุมนี้มองเห็นตึกไครสเลอร์ด้วย

มหานครนิวยอร์กยามพระอาทิตย์ตกดิน

สำหรับผู้ที่สนใจที่จะซื้อบัตรขึ้นไปชมวิวบนตึกเอ็มไพร์สเตต ราคาบัตรมีดังนี้ ถ้าชมแค่ชั้น 86 ราคา บัตรผู้ใหญ่ 36 $ บัตรผู้สูงอายุ 34 $ และบัตรเด็ก 30$  ส่วนจะเข้าชมชั้นที่ 102  (ซึ่งสามารถเข้าชมชั้น 86 ได้ด้วย) ราคา บัตรผู้ใหญ่ 56 $ บัตรผู้สูงอายุ 54 $ และบัตรเด็ก 50$  ตึกเอ็มไพร์สเสตตเปิดให้ขึ้นชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -02.00 น. เราสามารถเดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย B/D/F/M , N/Q/R ลงที่สถานี 34 Th- St. Herald Sq.

รถไฟใต้ดิน ที่เรียกว่า Subway


ตอนนี้ได้เวลาเกือบทุ่มครึ่งกว่าแล้ว  ตอนนี้ชาวคณะเหนื่อยมากเพราะเดินเท้ามาตั้งแต่เช้าดังนั้นก็ขอขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปหาข้าวเย็นทานแถวๆโรงแรมกันดีกว่า คืนนี้เรามาเดินเล่นแถวๆ Little Italy ซึ่งไม่ไกลจากโรงแรมเดินแค่ 10 นาทีก็ถึง
Little Italy

ในย่านนี้ก็จะมีร้านอาหารอิตาเลียนมากมายหลายร้าน เราเลือกมา 1 ร้าน ดูจากเห็นมีคนเยอะๆก็คิดว่าคงจะอร่อย

มีร้านอาหารอิตาเลียนให้เลือกมากมาย
เป็นครัวเปิด


Pizza หน้าแฮมกับพริกหยวก
สปาเก็ตตี้ไก่ซอสเห็ดพริกไทยดำ

 รสชาติอาหารก็ใช้ได้ สรุปมื้อนี้เสียค่าเสียหายตกคนละ 20 $ กว่าๆ รวมอาหารและเครื่องดื่ม หลังจากอิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรมไปพักผ่อน คืนนี้ชะนีแคระเมื่อยขามากคงหลับเป็นตายแน่นอน

วันที่ 3

Metropolitan Museum of Art

เช้าวันนี้ฝนตกค่ะ โปรแกรมที่เราเตรียมมาก็ต้องถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของฟ้าฝนดังนั้นการค่าเวลาที่ดีสุดในช่วงฝนตกก็คงไม่มีอะไรดีเท่ากับการแวะชมพิพิธภัณฑ์นั่นเอง ดังนั้นเช้านี้เราจะเดินทางไปเที่ยว Metropolitan Museum of Art (พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน) หรือเรียกอีกชื่อว่า The Met นั่นเอง  พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 1870 และมีการจัดแสดงงานศิลปะตั้งแต่ยุคคลาสิกโบราณ  ศิลปะอียิปต์โบราณ จิตรกรรมและประติมากรรมของจิตกรชั้นครู ยังมีการจัดแสดงงานศิลปะ  เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่งดนตรีจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย
ภายในทางเข้าตัวพิพิธภัณฑ์


โซนจัดแสดงภาพวาดสมัยศิลปะยุคคลาสิก

มีการแสดงปะติมากรรมสไตล์ยุโรป

ภาพวาดของจิตกรชื่อดังก้องโลก Vincent Van gogh

ภาพเขียนสไตล์ Impressionism ของจิตกรชื่อดังชาวฝรั่งเศส Claude Monet


ศิลปะในสมัยเมโสโปเตเมีย

เทวรูปในศาสนาฮินดู

พระพุทธรูปจีน


ศิลปะอียิปต์โบราณ
ภาพวาดสีสมัยอียิปต์โบราณ

รูปปั้นสมัยอียิปต์โบราณ



โลงเก็บมัมมี่พร้อมภาพวาดวิจิตร
มัมมี่

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเช้าชมได้ทุกวัน โดยวันอาทิตย์- วันพฤหัสบดี จะเปิดตั้งแต่เวลา 10.00- 17.30 น. ส่วนวันศุกร์ และเสาร์จะเปิดตั้งแต่ 10.00 -21.00 น. ส่วนค่าเข้าฟรี แต่ช่วยบริจาคแล้วแต่จิตศรัทธา
สามารถเดินทางมาด้วยรถไฟใต้ดินสาย 4/5/6 ลงที่สถานี 86 Th. St.

Chinatown


หลังจากเราใช้เวลาอยู่ใน The Met เกือบ 3 ชั่วโมงกว่าๆแล้วชาวคณะก็ตัดสินใจจะไปเดินเล่นแถวๆย่าน Soho กับ Chinatown เดี๋ยวเราจะไปทานข้าวเที่ยงกันเปลี่ยนรสชาติกันบ้าง


มีร้านค้า ร้านอาหารจีนเต็มไปหมด
ล็อบสเตอร์สดๆ

ตัวอาคารตึกมีบันไดตัวหนอนหนีไฟเป็นเสนห์อีกแบบ


ชาวจีนนั่งเล่นหมากรุกจีนกัน
มีแต่ชาวจีนเต็มไปหมดย่านนี้


ด้วยความหิวจัดชะนีแคระลืมถ่ายรููปรีวิวอาหารให้ แต่ทานอาหารแถวๆนี้ราคาไม่แพงแถมน่าจะถูกปากชาวไทยอย่างเรานะคะ  อิ่มกันแล้วก็เที่ยวต่อกันเลย เราก็ยังคงจะเดินเท้าไปเรื่อยๆ ไปย่าน Lower  Manhattan และ Financial District กัน

โบสถ์ทรินิตีบนถนนสายวอลสตรีต

เราเดินเรื่อยๆจนมาถึง ถนน Wall Street  (วอลสตรีต)ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายเก่าแก่ของนิวยอร์ก และเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินของโลก ยังเป็นที่ตั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กอันโด่งดังไปทั่วโลกด้วย


ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ศูนย์กลางการเงินของโลก


ตึกพี่ Trump
บนถนน Wall street  ก็ยังมีสัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างที่หากมาเดินที่ถนนเส้นนี้แล้วนักท่องเที่ยวต้องหยุดแวะถ่ายรูปกันก็คือเจ้า Charing Bull หรือรูปหล่อเจ้ากระทิงดุ เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง  ซึ่งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวนิวยอร์กในช่วงที่ตลาดหุ้น (Dow Jones)ของสหรัฐอมริกาดิ่งเหวอย่างหนักในช่วงปี 1987  และเค้าว่ากันว่าถ้าใครได้มาลูบเจ้าตัวกระทิงตัวนี้ โดยเฉพาะลูบไข่ของมันแล้วจะมีแต่ความโชคดีและความร่ำรวย


Charing bull กระทิงดุแห่งวอลสตรีต


ลูบไข่เจ้ากระทิงดุจะได้รวยและโชคดี
หลังจากรอคิวถ่ายรูปกับเจ้ากระทิงดุนี่แล้วเราก็เดินเล่นต่อไปที่ Battery Park (สวนสาธารณะแบตเตอรี) สวนสาธารณะนี้ตั้งอยู่ตอนปลายของเกาะแมนฮัตตัน  เราสามารถนั่งชมวิวอ่าวนิวยอร์กและดูพระอาทิตย์ตกดินได้  นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดตั้งต้นนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเกาะ  Ellis  และเกาะ Liberty ที่ตั้งของรูปปั้นเทพีเสรีภาพอีกด้วย

Battery Park

เจ้ากระรอกน้อยที่สวนแบตเตอรี
มีน้ำพุเริงระบำด้วย

นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวนิวยอร์ก

มองเห็นเทพีเสรีภาพอยู่ลิบๆ

เกาะ Ellis ที่ตั้งของด่านตรวจคนเข้าเมืองในอดีต


 เรานั่งเล่นชมพระอาทิตย์ตกดินลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางไปหาของกินก่อนกลับเข้าโรงแรม  คืนนี้เราลองมาทานอาหารสไตล์ชาวนิวยอร์กแบบไม่ใช่นักท่องเที่ยวกันบ้าง แนะนำร้านนี้ค่ะ B Bar &Grill cafe



B Bar & Grill Cafe

บรรยากาศสบายๆ

ส่วนใหญ่เป็นชาวนิวยอร์กมาทานอาหารกัน ที่ดูเป็นนักท่องเที่ยวก็กลุ่มชะนีแคระหละค่ะ

สเต็กเนื้อเสริฟพร้อมเฟรนช์ฟรายส์

                                                               Fajitas อาหารเม็กซิกัน

อาหารอร่อย บรรยากาศดีเหมาะมาทานอาหารและนั่งดื่มพูดคุยกัน คืนนี้หมดค่าเสียหายตกคนละ 30 $ รวมค่าอาหาร และเครื่องดื่มนะคะ หลังจากทานอาหารเสร็จก็กลับโรงแรมไปพักเอาแรงเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 4
เช้านี้อากาศดีมาก ทั้งคณะเลยเลือกที่จะข้ามเฟอร์รี่เพื่อไปที่ Statue of Liberty & Ellis island เราจะข้ามไปเกาะ Liberty  เพื่อที่จะไปเยี่ยมเทพีเสรีภาพ และเกาะ Ellis ที่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับคนที่จะเข้ามาสหรัฐอเมริกาในสมัยอดีตกัน วันนี้เราจึงย้อนกลับไปที่สวน Battery park เพื่อไปซื้อตั๋วเรือข้ามฝากกัน

Battery Park
ที่ขายตั๋วเฟอร์รี่

สำหรับราคาตั๋วตกคนละ 18 $  แบ่งเป็นค่าข้ามฟากเฟอร์รี่ 14$  และค่า Audio Guide อีก 4$ ซึ่งเวลาที่เปิดขายตั๋วข้ามเฟอร์รี่จะเปิดตั้งแต่เวลา 09.30-17.30 น. สามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย 1 มาลงที่สถานี South Ferry หรือสาย  4/5 ลงที่สถานี Bowling green


ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็มารอขึ้นเรือเฟอรี่



การขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่นี่ก็มีการตรวจสิ่งของสัมภาระเหมือนกับการตรวจที่สนามบินเลย เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และเรือจะออกทุกๆ 20 นาที

เรือเฟอร์รี่ออกจากแมนฮัตตันแล้ว

เห็นเทพีเสรีภาพอยู้ข้างหน้า

เกาะ Ellis ด่านตรวจคนเข้าเมืองในอดีต
เทพีเสรีภาพ ตั้งอยู่บนอ่าวนิวยอร์กบนเกาะ Liberty เทพีเสรีภาพเป็นของขวัญจากฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกันเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปีนั่นเอง โดยรูปปั้นเทพีเสรีภาพนั้นเป็นโลหะสำริด ออกแบบโดย กุฟสตาฟ ไอเฟล คนที่สร้างหอไอเฟลนั่นเองค่ะ


เทพีเสรีภาพมือขวาจะถือคบเพลิง มือซ้ายจะถึือคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา
เทพีเสรีภาพมีสีเขียวอ่อน


จริงๆแล้วเทพีเสรีภาพของจริงจะเป็นสีทองแดงเพราะทำมาจากสำริด แต่ที่เห็นเป็นสีเขียวในปัจจุบันนี้เป็นเพราะเกิดการออกซิเดชั่นหรือที่เรียกว่าทองแดงขึ้นสนิมนั่นเองค่ะ


เห็นเกาะแมนฮัตตันอยู่ด้านหลัง


เรารอเรือเฟอร์รี่ข้ามไปส่งที่ Ellis Island(เกาะเอลลิส) กันต่อ เกาะเอลลิส เป็นเกาะที่มีความสำคัญของหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา คือที่นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์อพยพและด่านตรวจคนเข้าเมืองในช่วงปีคศ. 1892-1943 ภายหลังจากปีคศ. 1943  เกาะเอลลิสก็ได้ถูกปิดและศูนย์ผู้อพยพและด่านตรวจคนเข้าเมืองก็ถูกย้ายไปที่นิวยอร์กแทน และเปลี่ยนเกาะเอลลิสไปเป็นคุกกักขังนักโทษของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  จนถึงปีคศ. 1964 เกาะเอลลิสก็ถูกปิดและปล่อยทิ้งร้าง  จนกระทั่งปีคศ.1990 เกาะเอลลิสก็ได้ถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ดั่งในปัจจุบัน


เกาะ Ellis 
เกาะ Ellis 



แสดงสัมภาระของผู้อพยพในอดีีต

ห้องโถงที่ผู้อพยพต้องต่อคิวรอเรียกชื่อและตรวจเอกสาร
 
เดินทางกลับสู่แมนฮัตตัน

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่า ชาวคณะหิวข้าวกันมากเลยรีบขึ้นเรือเฟอร์รี่กลับเข้าฝั่งแมนฮัตตันแวะทานข้าวเที่ยงกันแบบง่ายๆเพื่อเติมพลังไปเที่ยวกันต่อ เป้าหมายต่อไปเราจะเดินทางไปที่ Central Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองนิวยอร์กกัน


Central park


 ที่นี่เป็นปอดสีเขียวให้กับชาวนิวยอร์กได้มาพักผ่อนทำกิจกรรม ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน ปิกนิกกัน ยิ่งตอนนี้อากาศดีทีเดียวคะ ฟ้าใสแดดเปรี้ยงแบบนี้ที่สวนสาธาณะแห่งนี้คึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

ถ้าหน้าหนาวบ่อน้ำแห่งนี้จะกลายเป็นลานน้ำแข็งให้คนมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกัน
หนุ่มสาว และครอบครัวออกมาพายเรือกัน




ลานน้ำพุ Bethesda อันเป็นสัญลักษณ์ของ Central Park

พอเห็นตรงน้ำพุแล้วนึกถึงฉากหนังในภาพยนตร์ไทยเรื่องกุมภาพันธ์ รวมทั้งยังเป็นฉากสำคัญๆของภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายๆเรื่องอีกด้วย เวลานึกถึงภาพยตร์ฮอลลีวูดชะนีแคระมักจะนึกถึงหนังเรื่อง Home alone 2 ทุกทีฉากที่เด็กน้อยตัวเอกของเรื่องหนีคนร้ายเข้ามาหลบใน Central Park

เจ้ากระรอกน้อยแวะมาทักทาย


ฝูงนกเป็ดน้ำ

สวนสาธารณะแห่งนี้เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00 -01.00 น.สำหรับการเดินทางสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี N/Q/R ลงที่สถานี 5th -59 Th St.  หลังจากเราเดินเล่นและนั่งพักผ่อนสักพักในสวน Central Park ชะนีแคระดูนาฬิกาอีกทีตอนนี้ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว  เย็นนี้เราตั้งใจกันว่าจะกลับไปอาคาร Rockefeller center อีกครั้งเพื่อจะขึ้นไปชมวิวเมืองนิวยอร์ก 360 องศาที่ตึก Top of the Rock กัน และจะเก็บภาพเมืองนิวยอร์กในตอนกลางคืนมาให้แฟนๆได้ชมกันค่ะ

ซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวด้านบนกันที่เคาเตอร์เซอวิสชั้นล่าง
สำหรับท่านที่สนใจอยากจะซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวนั้น สามารถจองผ่านเว็บไซต์ https://www.topoftherocknyc.com/ แปะลิงก์ไว้ให้แล้วนะคะ หรือจะไปซื้อบัตรที่หน้าเคาร์เตอร์แบบชะนีแคระก็ได้ ส่วนราคานั้นมีให้เลือกหลายแบบ แต่ถ้าแบบคลาสสิกก็ขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 70 นะสามารถชมวิว 360 องศาได้ ราคาบัตรผู้ใหญ่ 34 $ ผู้สูงอายุ 32 $ และบัตรเด็ก 28 $

ตึกเอ็มไพร์สเตตตอนก่อนพระอาทิตย์ตก


 ชะนีแคระเลือกซื้อบัตรขึ้นมาบนตึกเวลา 06.15 PM.เราจะได้เห็นวิวนิวยอร์กตอนพระอาทิตย์ตกดิน และรอเห็นแสงสียามค่ำคืนกันนะ

เห็นตึก One world trade center  ด้านหลัง


มุมนี้เห็น Central Park



พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว
 ตอนนี้ชะนีแคระรอไปร่วมชั่วโมงกว่าแล้วพระอาทิตย์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตก เริ่มเมื่อยแล้วหนาวแล้วค่ะ แต่ยังไงได้เสียเงินแล้วยังไงก็ต้องรอเพราะอยากได้ภาพสวยๆ

ตึกเอ็มไพร์สเตตกับตึก One world center


ตึกเอ็มไพร์สเตตกับตึก One world center



Night light in NYC

แสงสียามค่ำคืน

ตอนนี้ได้เวลาสองทุ่มกว่าแล้วค่ะ หลังจากยืนรอถ่ายรูปเป็นเวลาหลายชั่วโมงเริ่มหิวกันแล้วเอาเป็นว่าเราจะย้อนกลับไปกินข้าวแถวๆไทม์สแควร์กัน และก็จะได้ถ่ายรูปบรรยากาศยามค่ำคืนมาให้แฟนๆได้ชมกันอีกด้วย ชะนีแคระแนะนำที่ร้านนี้เลยค่ะ ร้าน Virgils BBQ &BAR เป็นอาหารสไตล์อเมริกันเท็กซัส

ร้าน Virgils BBQ & BAR

                            หมูอบ เสริฟพร้อมมันบดราดซอสน้ำเกรวี่ กับ สลัดโคลสลอว์


แฮมเบอร์เกอร์เนื้อ เสริฟพร้อมเฟรนช์ฟรายส์


สำหรับมื้อนี้ตกไปคนละ 30 กว่าดอลล่าร์  อาหารอร่อยบริการดีค่ะ  ยังไงถ้ามีโอกาสแวะลองมาทานกันนะคะ ก่อนจะกลับโรงแรมชะนีแคระเก็บภาพบรรยากาศยามค่ำคืนแถวไทม์สแควร์มาฝากกันค่ะ

ย่านนี้รถติดมากเหมือนกรุงเทพฯ บ้านเราเลย
ป้ายไฟนีออนสว่างไปทั่ว
นักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ยามราตรี

วันที่ 5

สำหรับสถานที่แรกของวันเริ่มต้นด้วยเราจะไปเดินเล่นสบายๆย่าน Greenwich village เดิมเป็นหมู่บ้านของศิลปินโบฮีเมียน แต่ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นย่านชิคๆ เป็นที่ๆวัยรุ่นชอบมาพบปะสังสรรค์ใช้ชีวิต slow life กันนะ
ลานน้ำพุที่ Washington Square Park ตามรอยซีรีย์ดังเรื่อง Friend

ร้านค้าย่าน Greenwich Village
ย่าน Greenwich village จะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟน่ารักเต็มไปหมด



รถโรงเรียนสไตล์อเมริกัน


สำหรับการเดินทาง สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E หรือ 1,2,3 และลงแถว 14 th St. หลังจากเดินเล่นแถวนี้ได้สักพักเดี๋ยวเราก็จะไปเที่ยวกันต่อที่ The high Line สวนสาธารณะลอยฟ้าของชาวนิวยอร์กกัน เดิมทีสวนสาธารณะแห่งนี้สร้างจากรางรถไฟสายเก่าที่ยกเลิกการใช้งานแล้วถูกทิ้งร้าง แล้วนำมาปรับอนุรักษ์ให้เป็นพื้นที่สีเขียวให้กับชาวเมืองกันอีกครั้ง

The High Line สวนสาธารณะลอยฟ้า


พื้นที่สีเขียวของชาวนิวยอร์ก

มองผ่านๆนึกว่าหุ่น ที่แท้ก็คนนี่นา

สำหรับคนที่สนใจนะคะ สวนสาธารณะแห่งนี้เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-19.00 น. สามารถเดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E ลงที่สถานี 14 th St.-8 th Ave.ไปต่อกันค่ะ เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวที่ตลาด Chelsea และย่าน Meatpacking District  ตลาดเชลซีก็เป็นตลาดอินเตอร์ติดแอร์ มีร้านค้าของน่ารักมากมายสไตล์ฮิปสเตอร์เก๋ๆ และมีร้านอาหารให้เลือกสรรมากมาย

Chelsea Market


มีทั้งร้านค้า  ร้านอาหาร 

ร้านไวน์

ร้านอาหารทะเล

ร้านค้าต่างๆ

ตลาดเชลซีต้องถูกใจชาวฮิปสเตอร์แน่นอน
ตลาดเชลซีเปิดทำการทุกวัน วันจันทร์ - วันเสาร์เปิดตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. ส่วนวันอาทิตย์เปิดทำการตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. สำหรับการเดินทางสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E ลงที่สถานี 14 th St. ตอนนี้ได้เวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้วชะนีแคระกับครอบครัวก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับเข้ามาย่าน Midtown กันตั้งใจกลับมากินแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดัง SHAKE SHACK

Shake Shack
แฮมเบอร์เกอร์สำหรับ 3 ที่

แฮมเบอร์เกอร์ไก่ กับเฟรนช์ฟรายส์ชีส



มานิวยอร์กต้องลองกินแฮมเบอร์เกอร์ร้านนี้นะ SHAKE SHACK มีอยู่หลายสาขาก็เลือกเอาที่ใกล้สะดวกก็แล้วกันนะ ชะนีแคระบอกเลยอร่อยและไม่แพงประมาณ 12 $ รวมอาหารและเครื่องดื่มต่อคน
เมื่อท้องอิ่มกันแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อเลยสำหรับเย็นนี้เราจะไปเที่ยวที่ The National 9/11 Memorial & Museum  หลังจากเหตุการณ์ 9/11  ที่ตึกแฝด world trade center ถูกโจมตีจากการก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายน คศ. 2001  โดยคนร้ายซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงได้ทำการจี้เครื่องบินทั้งหมด 4  ลำ แต่ 2 ลำที่พุ่งชนตึกแฝดในช่วงเช้าของวันที่ 11 กันยายน เวลา 9 โมงเช้าโดยประมาณ ทำให้ตึกทั้งสองเกิดเหตุไฟไหม้และไม่กี่ชั่วโมงตึกแฝดก็ได้ถล่มลงมา  ในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผูู้เสียชีวิตราว 3,000 คน จากวันนั้นที่นี่ก็ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของชาวนิวยอร์กจนถึงทุกวันนี้

ตึก One World trade center ตึกใหม่ที่สร้างขึ้นมาแทนที่ตึกแฝด Twin Tower
บริเวณเดิมของตึกแฝดก็ได้สร้างสระน้ำขนาดใหญ่ 2 บ่อแทนที่จากฐานเดิมของทั้งสองตึกและในแต่ละสระก็จะมีน้ำตกขนาดใหญ่ที่เป็นผลงานการออกแบบของ Michael Arad โดยบริเวณขอบสระก็จะมีการจารึกรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การก่อการร้ายในครั้งนั้นโดยได้ตั้งชื่อให้สถานที่นี้เรียกว่า Ground Zero


สระน้ำขนาดใหญ่ทีมีน้ำตกไหลตลอด


รายนามของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11
เป็นต้นไม้ต้นเดียวที่รอดตายจากเหตุการณ์9/11 ราวปาฏิหารย์

บริเวณโดยรอบก็ปลูกต้นไม้
ไหนๆมาทั้งทีก็ขอแวะเยี่ยมชมส่วนที่เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถาน 9/11 กัน แนะนำอาจจะต้องรอคิวนานนิดนึง ใครไม่อยากรอนานก็ซื้อตั๋วออนไลน์มาได้เลย   

ซากตึกและเสาของตึกแฝด

ภาพถ่ายตึก Twin tower ที่ถูกถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์ก่อการร้าย

ภาพที่ถูกถ่ายได้หลังจากที่ตึกแฝดทั้งสองได้ถล่มลงมาแล้ว

ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำงานในตึก และตำรวจดับเพลิง

เสาอากาศบนตัวตึก World trade center ที่หล่นลงมา

ซากรถดับเพลิงที่เข้าไปช่วยผู้ติดในอาคารแต่ก็ถูกตัวตึกถล่มใส่

บันไดที่ผู้ติดอยู่ในตึกบางส่วนใช้เป็นทางหนีลงมาก่อนที่ตึกจะถล่ม
หลังจากเดินดูด้านในก็รู้สึกหดหู่ เพราะในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเรื่องราว คลิปวีดีโอ ภาพเหตุการณ์บางส่วน คลิปเสียงของผู้เสียชีวิตที่โทรศัพท์เข้ามาขอความช่วยเหลือ บ้างก็โทรหาครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย  หรือภาพผู้เสียชีวิตชะนีแคระดูไปก็เศร้าใจไป ถ้าใครมีโอกาสได้มาเที่ยวนิวยอร์กที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด   ถ้าท่านใดสนใจเข้าชม บัตรผู้ใหญ่ราคา 24 $ ผู้สูงอายุ 18 $ ทางพิพิธภัณฑ์เปิดทำการทุกวัน วันอาทิตย์ -วันพฤหัสบดี เปิดทำการ 09.00 -20.00 น. (แต่ปิดขายบัตรตั้งแต่ 18.00 น.)ส่วนวันศุกร์- เสาร์ เปิดทำการ 9.00-21.00 น.(ปิดทำการขายบัตรที่ 19.00 น.) การเดินทางนั้นสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E ลงที่สถานี Charmbers St. หรือสาย 2/3 ลงที่สถานี Park PI



หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ทุ่มกว่าแล้ว เอาเป็นว่าคืนนี้เรากินอาหารเย็นง่ายๆแถวๆโรงแรมแล้วกัน

เช้าวันที่ 6

วันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษเราจะไปกินอาหารเช้ากันที่ร้านข้างๆโรงแรม พอดีเมื่อคืนเดินผ่านเห็นโปรโมชั่นหน้าร้าน เมนูอาหารเช้าคนละ 8 $  รวมกาแฟ ขนมปัง และน้ำส้มคั้น วันนี้ชาวคณะเลยมาลองกันซะหน่อย


ไข่ดาว เสริฟพร้อมมันฝรั่งอบ ในเมนูมีกาแฟ ขนมปังอีกด้วย

เมื่อท้องอิ่มก็ออกเดินทางกันต่อ เช้านี้พวกเรามุ่งหน้าไปแลนมาร์คอีกอย่างของนิวยอร์กนั่นก็คือ Brooklyn Bridge (สะพานบรูคลิน) เป็นสะพานแขวนที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นในปีคศ. 1870  ใช้ทอดข้ามแม่น้ำอีสต์ ที่นี่จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญของมหานครนิวยอร์กในอดีตและเป็นเสนห์สำหรับการท่องเที่ยวในปัจจุบันอีกด้วยเพราะที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีอีกแห่งหนึ่งของนิวยอร์กด้วยนะ


Brooklyn Bridge

 วันนี้เพื่อนสาวเจ้าถิ่นนางจะทำหน้าที่พาชาวคณะไปเที่ยวกัน โดยเรานัดกันว่านางจะมารอที่สะพานบรูคลิน

บนตัวสะพานบรูคลินสะพานแขวนเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา

บนสะพานแขวนมีทางสำหรับจักรยานด้วย

นักท่องเที่ยวเยอะมาก


พวงกุญแจคู่รักที่มาแขวนตามราวสะพาน แต่ที่นี่เด็ดกว่าแขวนหูฟังด้วย
 ปกติไปเที่ยวที่ไหนก็มักจะเจอเจ้ากุญแจคู่รักแขวนตามราวสะพานดังๆต่างๆไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่ที่สะพานบรูคลินมีสิ่งที่เด็ดดวงกว่านั้นก็คือมีการแขวนเจ้าหูฟังไว้ด้วย คือไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใครทราบช่วยบอกชะนีแคระว่าเค้าแขวนไว้ทำไม ถามเพื่อนสาวนางก็บอกไม่รู้ค่ะ

วิวแมนฮัตตัน
เพื่อนสาวพาชาวคณะไปเดินเล่นกันต่อบริเวณ Brooklyn Bridge Park เพื่อจะไปถ่ายภาพวิวสวยของฝั่งแมนฮัตตันกันตรงบริเวณท่าเรือ Dumbo

มุมนี้เหมือนโปสเตอร์หนังฮอลลีวูดเรื่องดัง
ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวีียนมาถ่ายรูปตลอด


วิวฝั่งแมนฮัตตัน

สะพานบรูคลิน

นักท่องเที่ยวมาแวะถ่ายรูปกัน
สำหรับการเดินทางไปนั้นเราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C ลงที่สถานี Hight St. และสาย 2/3 ลงที่สถานี Clark St.  ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว เราเดินทางกลับเข้าแมนฮัตตันกันอีกครั้งวันนี้เพื่อนสาวจะพามาทานข้าวเที่ยงกันเราจะมาทานอาหารไทยกันบ้างเปลี่ยนรสชาติแนะนำร้านนี้เลยค่ะ Esanation 
รับรองว่าส้มตำนัวมากจริงๆ ชะนีแคระสั่งมาสองถาดเลยค่ะ


เมนูตำปูปลาร้า

ตำป่า พร้อมกับปีกไก่ทอด ลูกชิ้นปิ้งก็มาค่ะ


ผัดซีอิ้วกุ้ง

เมื่อท้องอิ่มเราก็ไปเที่ยวกันต่อเลย สำหรับบ่ายนี้เราจะไปเสพงานศิลป์กันที่ Museum of Modern Art (พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่)หรือเรียกย่อๆว่า Moma  ที่นี่มีการจัดรวบรวมผลงานศิลปะร่วมสมัยมากมาย ทั้งงานด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบ ภาพวาด รูปถ่าย งานปั้น ซึ่งมีผลงานของศิลปินชื่อดังก้องโลกมากมาย


ภาพชื่อว่า The Starry Night ภาพวาดอันโด่งดังของ Vincent van Gogh

คนที่บ้านตั้งใจมาที่ Moma เพื่อมาดูภาพวาดชื่อดัง The starry Night ผลงานจิตรกรชื่อดังของVincent van Gogh 


ภาพวาดศิลปะสมัยใหม่
ศิลปะร่วมสมัย

ใครก็ได้บอกทีว่ามันสื่อถึงอะไร 

หรือเรายังไม่ใช่ศิลปินพอจึงไม่เข้าใจว่ามันเป็นศิลปะได้ยังไง

แบบงานสถาปัตยกรรมร่วมสมัย

มีไอเดีย
เราใช้เวลาอยู่ที่ Moma เกือบสองชั่วโมงกว่า ก็รู้สึกงง เพลียๆออกมา หรือบางทีเราก็ไม่สามารถเข้าใจงานศิลปะบางอย่างได้ มันคงล้ำสมัยเกินไปสำหรับชะนีแคระนั่นเอง สำหรับท่านที่สนใจอยากจะชมผลงานศิลปะร่วมสมัยก็สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ บัตรผู้ใหญ่ราคา 25 $ ผู้สูงอายุ 18 $ เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าฟรี เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 10.30-17.30 น. และเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันศุกร์ เวลา 16.00-20.00 น. สำหรับการเดินทางนั้นสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย E/M ลงที่สถานี 5th Ave.-53 rd St.



South  Street Seaport

สถานที่ปิดท้ายสำหรับวันนี้เราจะไปเดินเล่นที่ South  Street Seaport เป็นย่านท่าเรือ ตลาดปลา สะพานปลาเก่าแก่ดั้งเดิมของนิวยอร์กตั้งแต่คศ. 18-19  ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็นแหล่งศูนย์การค้าที่พบปะสังสรรค์ของผู้คนทั่วไป มีร้านอาหาร คาเฟ่มากมาย 

นักท่องเที่ยวเยอะมาก



มีห้างที่ข้างในมีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย


นักท่องเที่ยวต้องหยุดแวะถ่ายรูปกับเจ้าเรือลำนี้


มองเห็นสะพานบรูคลินจากฝั่ง South Street Seaport ด้วย

สำหรับท่านที่สนใจสามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย A/C ,J/Z, 2/3, 4/5  ลงที่สถานี Fulton St. หลังจากเดินเล่นกันสักพัก เพื่อนสาวเจ้าถิ่นจะพาเราไปเดินเล่นและหาข้าวเย็นทานแถวฝั่งเมือง New Jersey แถว Hoboken เพราะคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายก่อนบินกลับปารีสในค่ำวันพรุ่งนี้ เพื่อนสาวก็อยากจะพาไปเลี้ยงส่งท้ายพิเศษกันก่อนจบทริปนี้ คืนนี้เราจะไปทานอาหารอิตาเลียนแท้ๆกัน และเราจะได้ชมบรรยากาศยามค่ำคืนของแมนฮัตตันจากฝั่งเมืองนิวเจอร์ซีย์ด้วย


Blue eyes


ปีกไก่อบย่างซอส

ปลาย่าง เสริฟพร้อมแครอทหลากสี กับมันบด

 ร้านนี้ต้องสั่งพิซซ่าทานกันนะเพราะเจ้าของและพ่อครัวเป็นชาวอิตาเลียนแท้ๆมาจากเมืองนาโปลี รับรองมาจากต้นตำรับแน่นอน ชะนีแคระไม่ได้ถ่ายหน้าตาพิซซ่ามาให้ดูกันหิวจัดเลย จ้วงตักกินก่อน แต่แนะนำให้มาลองกัน  เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยแล้วเรายังได้เห็นบรรยากาศสวยๆยามค่ำคืน สามารถมองเห็นฝั่งแมนฮัตตันในอีกมุมหนึ่ง


ตึกเอ็มไพร์สเตต วันนี้เป็นสีฟ้า เหลือง แดง

บรรยากาศยามค่ำคืนของแมนฮันตัน
สำหรับการเดินทางมาที่เมืองนิวเจอร์ซีย์ไม่ยากแค่นั่งรถไฟ Path Train ขึ้นทีี่สถานี World trade center มาลงที่สถานี Hoboken ได้เลย แต่ต้องระวังเรื่องเวลานิดนึงถ้าเป็นช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ หรือช่วงดึกรถไฟจะวิ่งน้อยนะ ก็อย่ากลับดึกมากนะคะ ก่อนเดินทางก็เช็คเที่ยวรถก่อน รู้สึกเที่ยวรถสุดท้ายจะไม่เกินห้าทุ่ม ไม่งั้นตกรถไฟต้องนั่งแท็กซี่กลับนี่กระเป๋าฉีกได้นะคะ

วันที่ 7

วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนิวยอร์ก  หลังจากจัดการเก็บข้าวของ เช็คเอ้าท์และฝากกระเป๋ากับทางโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว เราจะกลับมาเอากระเป๋ากันตอนหกโมงเย็น รอบไฟล์ของเราค่อนข้างดึกเกือบเที่ยงคืน วันนี้เราเลยมีเวลาทั้งวันสำหรับเก็บตกสถานที่ๆเรายังไม่ได้ไป และก็เน้นชอปปิ้งซื้อของฝากเป็นหลักด้วย


โบสถ์คนดำในย่าน Herlem (ฮาเร็ม)


เช้านี้เราจะไปเดินเล่นย่าน Herlem (ฮาเร็ม) จะอยู่ตอนเหนือของแมนฮันตัน ย่านที่เค้าว่าอันตรายเพราะเป็นย่านคนผิวสีอาศัยกันเยอะ แต่ชะนีแคระตั้งใจจะไปโบสถ์ของคนผิวสีเพื่อไปดูนักบวชร้องเพลงประสานเสียงที่เรียกว่า  Gospel อย่างในฉากภาพยนตร์เรื่อง Sister Act ภาคไทยก็หนังเรื่องนางสาวชีเฉาก๊วย ที่พวกนักบวชมาร้องเพลงประสานเสียงกัน ชะนีแคระคิดว่ามันน่าสนใจดี แนะนำว่าควรไปวันอาทิตย์ ก่อน 11 โมงเช้าค่ะ เราสามารถเข้าไปดูได้ภายในโบสถ์ได้เลย มีสองโบสถ์ด้วยกันนะคะที่ชะนีแคระแนะนำที่แรกคือ The Corinthian Baptist Church และก็อีกที่คือ The Elmendorf Reformed Church


บาทหลวงเทศน์พร้อมร้องเพลงประสานเสียง

แต่เนื่องจากเรามากันค่อนข้างสายก็เลยเลือกเข้าโบสถ์แค่ที่เดียว ชะนีแคระก็เลยเลือกโบสถ์นี้ค่ะ  The Elmendorf Reformed Church หลังจากที่เข้าไปในโบสถ์แล้วก็รู้สึกว่าคนผิวสีเค้าค่อนข้างศรัทธาในคริสต์ศาสนามาก เค้าจะพากันมาเป็นครอบครัว ยิ่งบางช่วงที่บาทหลวงร้องเพลง คนในโบสถ์ก็ลุกขึ้นมาร้องด้วย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกดี เค้ามีส่งซองจดหมายให้ร่วมใส่เงินทำบุญด้วย ชะนีแคระแนะนำว่าต้องลองมาดูคิดว่ามันน่าสนใจทีเดียว  สำหรับคนที่จะมาเที่ยวในย่านฮาเร็มควรมาเดินเล่นในช่วงกลางวันบางคนไม่ค่อยคุ้นเคยอาจจะกลัวนิดนึง แต่สำหรับชะนีแคระกลับคิดว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัว หรือดูอันตรายอย่างที่คิดเพียงแต่เราต้องระวังตัวอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามในโลกใบนี้ 


ย่านไทม์สแควร์
ย่านใจกลางเมืองแมนฮัตตัน

หลังจากเดินเล่นย่านฮาเร็มสักพักเราก็กลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้ง เรายังคงเดินเล่นเรื่อยๆไปบนถนน 5Th Avenue แวะทานข้าวเที่ยงและชอปปิ้งไปเรื่อยๆ จนวนกลับมาเดินเล่นแถวไทม์สแควร์อีกครั้งเราแวะร้าน M&M World ซื้อของเล่นฝากหลานๆกันหน่อย


M&M World

เลือกกันไม่ถูกเลยมีแต่ของน่าซื้อ

นักท่องเที่ยวเต็มร้านเลย


ผ้าห่มลาย M&M

หลังจากแวะเข้าร้านนั้นร้านนี้ได้เวลาสี่โมงเย็นกว่าๆแล้ว เราก็จะเดินเรื่อยๆเก็บตกสถานที่ๆอยู่ในทางผ่านก่อนกลับโรงแรม  เราแวะถ่ายรูปที่ Bryant Park เป็นสวนสาธารณะเล็กๆตั้งอยู่ระหว่างถนน 5 และ 6 ย่าน Midtown

Bryant Park
 วันนี้อากาศดีแดดเปรี้ยงชาวนิวยอร์กมาแวะนอนอาบแดด จับกลุ่มคุยกัน บ้างก็มานั่งปิกนิกเป็นครอบครัวดูแล้วก็สบายๆดีนะ เราแวะนั่งพักดื่มน้ำคลายร้อนสักนิดที่นี่


ฝรั่งมานอนอาบแดด จับกลุ่มพูดคุยกัน


 ใกล้ๆกับสวนสาธารณะ  Bryant เราก็เดินแวะมาถ่ายรูปที่ The new york public library (หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก)กับหอสมุดอันโด่งดัง ที่นี่เป็นหอสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกามีเก็บรวบรวมหนังสือ และวรสารมากมายกว่า 53ล้านเล่ม และที่นี่ยังเป็นฉากในภาพยนตร์ดังเรื่อง The day after tomorrow โดยเฉพาะฉากที่พระเอกกับนางเอกหนีคลื่นน้ำเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในหอสมุดที่นี่   แต่น่าเสียดายตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้วห้องสมุดใกล้จะปิดเราก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปข้างในแวะถ่ายรูปด้านนอกเฉยๆ


หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก

The New york public Library

สำหรับคนที่สนใจอยากจะแวะมาเยี่ยมชมสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สาย B/D/F/M ลงที่สถานี 42 nd St. -Bryant park   ตอนนี้ห้าโมงกว่าแล้วค่ะได้เวลาต้องรีบเดินกลับโรงแรมเสียที 


Mergensternis


หลังจากถึงโรงแรมแวะเอาสัมภาระเรียบร้อยก่อนจะเรียกแท็กซี่แวะทานไอศกรีมปิดท้ายโปรแกรม ชะนีแคระแนะนำร้านนี้ Mergenternis อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมสังเกตว่าคนจะเยอะมากต่อคิวล้นออกมาข้างนอกร้านเลย บางทีกลับเข้าโรงแรมเกือบเที่ยงคืนก็ยังมีคนรอต่อคิวกันนอกร้านกันอยู่ ชะนีแคระอยากจะลองมาหลายวันแต่เนื่องจากเราออกเที่ยวแต่เช้าและกลับดึกเลยไม่ได้ลองสักทีวันนี้วันสุดท้ายแล้วต้องลองกันสักหน่อยดูสิว่ามันเด็ดดวงยังไง
เค้าเคลมว่าเป็นไอศกรีมไม่อ้วนนะคะ

สั่งมาลองชิมดูอร่อยมากเลย

สัั่งมาลองชิมกันคนละถ้วยก่อนกลับ สามารถเลือกเติม topping ได้หลากหลาย แต่ของชะนีแคระสั่งแบบไอศกรีมเพรียวๆ สรุปอร่อยค่ะประทับใจมีโอกาสแวะมาย่านนี้ลองชิมดูนะคะของเค้าดีจริงๆ
Street Art

 ตอนนี้ได้เวลากลับบ้านที่ปารีสแล้วค่ะ ตลอดทั้งทริป 7 วันที่นิวยอร์กชะนีแคระรู้สึกชอบและประทับใจมาก สมกับที่เป็นมหานครใหญ่เมืองศิวิไลซ์ของโลกจริงๆ เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า ถึงแม้จะมีผู้คนพลุ่กพล่านมากหน้าหลายตา แต่มันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองนิวยอร์กเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างชาติหลากหลายภาษา ซึ่งทำให้เราไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แถมอาหารการกินก็หากินง่ายไม่ลำบากแล้วยิ่งถ้าสาวๆหรือใครที่รักการชอปปิ้ง ชะนีแคระรับรองว่านิวยอร์กจะเป็นสวรรค์ของเหล่าขาชอปเลยที่เดียวค่ะ สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะคะ  ลากันไปก่อนพบกันใหม่ตอนหน้าชะนีแคระจะพาไปเที่ยวพม่า เมืองมัณฑะเลย์กันค่ะ