วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

พาเที่ยวเมืองเสียมเรียบ (Siem Reap ) ประเทศกัมพูชา


สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านชะนีแคระกลับมาตามสัญญา หลังจากพาไปเที่ยวที่กรุงพนมเปญกันแล้ว วันนี้จะพาเพื่อนๆเดินทางเที่ยวกันต่อไปที่เมืองเสียมเรียบกัน สำหรับใครที่สนใจหรือยังไม่ได้อ่านตอนพาเที่ยวกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา ชะนีแคระแปะลิงก์ไว้ให้แล้วนะคะ  http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2016/11/phnom-penh.html
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยค่ะ

          เมืองเสียมเรียบ (Siem reap) เป็นจังหวัดหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา จังหวัดเสียมเรียบเป็นที่ตั้งของนครวัด นครธม และหมู่ปราสาทหินต่างๆจากอาณาจักรขอมโบราณอันเลื่องชื่อ ซึ่งเสียมเรียบเป็นจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศก็ว่าได้ เค้าว่าปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดเสียมเรียบนับกว่าสองล้านคนต่อปี  คำว่าเสียมเรียบ เป็นคำภาษาท้องถิ่น แปลว่าสยามราบเรียบ (แพ้) แต่ชาวไทยนิยมเรียกว่า เสียมราฐ ซึ่งแปลว่าดินแดนของสยามเนื่องจากเสียมเรียบเคยเป็นเมืองขึ้นเก่าของประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
พระนครวัด

             สำหรับชาวไทยที่สนใจจะเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศกัมพูชาก็ไม่ต้องขอวีซ่าแต่อย่างใด แค่มีหนังสือเดินทางสัญชาติไทยก็สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน และหนังสือเดินทางต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือนก่อนเดินทาง เหมือนเช่นเคยสกุลเงินที่นี่ใช้เงินเรียลแต่ชาวเขมรนิยมใช้เงินดอลล่าร์ ยังไงก็แลกเงินดอลล่าร์ไว้ก่อน แล้วค่อยมาแลกเงินสกุลเรียลเอาไว้ใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆไว้ซื้อของกินเล่นข้างทาง

ฤดูกาลท่องเที่ยว
ช่วงเดือนตุลาคม - เดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงอากาศที่น่าท่องเที่ยวที่สุดอากาศไม่ร้อน กำลังเย็นสบายเป็นช่วง high season ของที่นี่เพราะฉะนั้นช่วงนี้ราคาตั๋วเดินทาง ที่พัก ราคาอาหารจะแพงและนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก

ช่วงเดือนมีนาคม- เดือนพฤษภาคม จะเป็นช่วงหน้าร้อน ซึ่งอากาศจะร้อนมาก ร้อนระอุเลยทีเดียว ชะนีแคระแนะนำหลีกเลี่ยงช่วงนี้จะดีกว่า

ช่วงเดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน จะเป็นช่วงฤดูฝน อากาศไม่ร้อน แต่บางทีฝนตก ซึ่งนับเป็นช่วง  low season ค่าตั๋ว ค่าที่พัก และร้านอาหารราคาจะถูกลง

สำหรับชะนีแคระเดินทางช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งแน่นอนต้องเสี่ยงกับฝนตก และก็อากาศครึ้มตลอดเวลา แต่ข้อดีก็คือราคาถูก ไม่ร้อนอบอ้าว และนักท่องเที่ยวก็จะน้อยลงด้วย

การเดินทาง
กรุงเทพ -เสียมเรียบ
1. โดยทางเครื่องบิน  ก็มีหลายสายการบินที่บินตรงถึงกรุงเสียมเรียบเลยใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชม. เท่านั้น ชะนีแคระแปะลิงก์ไว้ให้แล้วนะ http://www.airasia.com/th/th/home.page

2. โดยทางรถทัวร์ มีบริการของบขส. วิ่งตรงจากหมอชิต2 - เสียมเรียบ ผ่านด่านที่ปอยเปตใช้เวลาประมาณ 7  ชม. ราคาตกขาไปประมาณ 750 บาทต่อคน และขากลับอาจจะแพงกว่านิดหน่อย แต่แนะนำให้จองล่วงหน้าเพราะที่นั่งเต็มเกือบทุกที่เนื่องจากชาวต่างชาติเดินทางเยอะมาก ชะนีแคระแปะลิงค์ไว้ให้แล้วhttp://home.transport.co.th/index.php/th/home1.html

3. รถทัวร์ของคาสิโนวิ่งไปลงที่อรัญประเทศ (โรงเกลือ)แล้วผ่านด่านตม.ที่ปอยเปต จากกรุงเทพถึงด่านอรัญประเทศใช้เวลา 4-5 ชม. ซึ่งราคาไปกลับคนละ 200 บาท แต่ถ้าแวะเข้าคาสิโนก็จะได้คืนคนละ 100 บาท  แล้วหารถบัสหรือรถตู้จากด่านปอยเปตวิ่งตรงถึงเสียมเรียม ใช้เวลาราว 3 ชม.ได้ ราคารถตู้จากด่านปอยเปต ไปเสียมเรียบ ตกประมาณ 10 ดอลล่าร์ หรือจะใช้บริการรถแท็กซี่ราวๆ 1,500-2,000 บาทถ้ามากันหลายๆคนก็หารกันจะคุ้มมาก ส่วนใหญ่ฝรั่งเค้าจะแชร์กัน ถ้าใครสนใจวิธีนี้ชะนีแคระก็แปะลิงก์ตารางรถทัวร์คาสิโนและเบอร์โทรของคนขับไว้ให้ ก็เข้าไปดูรายละเอียดและสอบถามเส้นทางกันได้นะคะ https://www.casinotouring.com/?q=granddiamondcity-casino-tourbus

พนมเปญ - เสียมเรียบ
1. รถทัวร์  สำหรับชะนีแคระเดินทางตรงจากกรุงพนมเปญไปเมืองเสียบเรียบ โดยรถทัวร์ก็จะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6-7 ชม.  ส่วนสำหรับบริษัทรถทัวร์ที่ให้บริการมีหลายบริษัทด้วยกันแล้วแต่ราคาเริ่มต้น 6-15 ดอลล่าร์  แต่ชะนีแคระใช้บริการรถทัวร์ VIP ของบริษัท PP Sorya เพราะเจ้าของโรงแรมที่พนมเปญแนะนำบอกว่าบริษัทนี้รถบัสสะดวกสบาย บริการดี ซึ่งราคาตกคนละ 15 ดอลล่าร์ หรือใครอยากจะลองเดินหาซื้อตั๋วเองตามจุดร้านค้าที่เปิดบริการขายตั๋วก็ได้ ลองเดินดูสอบถามราคากันได้อาจจะได้ราคาที่ถูกกว่า แต่สำหรับชะนีแคระไม่อยากยุ่งยากก็จองตรงกับทางโรงแรมเลยโดยให้รถทัวร์มารับที่หน้าโรงแรมในวันที่จะออกเดินทาง

2. รถยนต์หรือเหมารถแท็กซี่ป้ายดำขับตรงจากพนมเปญถึงเสียบเรียบก็จะใช้เวลาราวๆ 3-4 ชม.ได้ ราคาน่าจะ 1,400 -1,600 บาท ถ้าใครมาหลายๆคนหารกันก็คุ้มนะคะ

3.โดยทางเครื่องบินซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้นเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา และมีกำลังทรัพย์ แนะนำสายการบิน Combodia Angkor Air ชะนีแคระแปะลิงค์ไว้ให้แล้วอีกเช่นเคยคะ https://www.cambodiaangkorair.com/en

โรงแรมและที่พัก



Golden butterfly villa

ตลอดทั้งทริปที่เสียมเรียบ ชะนีแคระพักที่โรงแรม Gloden butterfly villa อยู่ใกล้ๆกับตลาด Night Market สามารถเดินไปได้เลย ราคาตกคืนประมาณ 30-40 ดอลล่าร์ มีไวไฟฟรี  รวมอาหารเช้า บริการฟรีรับจากสนามบิน หรือท่ารถทัวร์มาที่โรงแรม  แถมนวดสปาเขมรฟรีอีก 60 นาทีต่อคน ที่สำคัญมีบริการให้บริการจักรยานไว้ไปขี่เล่นชมเมืองได้ด้วยนะ ชะนีแปะลิงค์ไว้ให้แล้วถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปเช็ควัน เวลา และราคากันได้ https://www.goldenbutterflyvilla.com/


ห้องนอนเตียงคู่

ห้องอาหารด้านล่าง
หมายเหตุ ชะนีแคระขอยืมรูปโรงแรมมาจากในอินเตอร์เน็ต เพราะตอนไปลืมถ่ายไว้

โปรแกรมการเดินทาง

ตามแผนการเดินทางเราจะอยู่ที่เสียมเรียมทั้งหมด 5 วัน 4 คืน โปรแกรมคร่าวๆมีดังนี้

วันแรก เราจะเดินทางออกจากพนมเปญมาถึงเสียมเรียบราวๆ บ่ายสามได้ คงจะเดินเล่นเที่ยวแถวๆที่พัก และแวะเที่ยวที่ตลาดกลางคืน หรือ Night Market

วันที่สอง เที่ยวปราสาทขอมโบราณที่อยู่ไกลตัวเมือง ได้แก่ปราสาทแปรรูป ปราสาทบันทายศรี กบาลสะเปียน  ปราสาทแม่บุญตะวันออก ปราสาทตาสม ปราสาทนาคพัน และปราสาทพระขรรค์

วันที่สาม  เที่ยวนครวัด นครธม แวะชมปราสาทบายน ปราสาทบาปวน ปราสาทพิมานอากาศ ลานช้าง ลานพระยาขี้เรื้อน ปราสาทตาพรหม และปราสาทบาเค็ง

วันที่สี่  เที่ยววัด Thmei  พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกอร์  แวะไหว้องค์เจ๊ก องค์จอม เที่ยวตลาดซาจ๊ะ

วันที่ห้า     เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและเดินทางกลับไทย

หลังจากทราบโปรแกรมคร่าวๆ เราก็เริ่มออกเดินทางเลย


เช้าวันที่  1 วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าหลังจากทานอาหารเช้า  และเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเรียบร้อย บริษัทรถทัวร์ PP Sorya ก็ส่งรถตู้มารับที่หน้าโรงแรมเวลาประมาณ 07. 30 น. เพื่อนำนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารจากโรงแรมต่างๆไปรวมตัวรอที่ท่ารถทัวร์ซึ่งรถจะออกเวลา 8.00 น. หลังจากเช็คตั๋วที่นั่ง จำนวนผู้โดยสารทั้งคันและสัมภาระเรียบร้อยเราก็พร้อมออกเดินทางมุ่งตรงสู่เสียมเรียบกันเลย


พนักงานบัสโฮสเตส

หนุ่มน้อยหน้ามนชาวเขมรของเรา น้องพนักงานบัสโฮสเตส คอยกล่าวต้อนรับผู้โดยสารแนะนำเส้นทางพร้อมกับบริการแจกน้ำดื่ม และผ้าเย็นให้กับผู้โดยสารด้วย


บางช่วงถนนยังเป็นดินลูกรัง


บ้านเรือนชาวเขมรตามต่างจังหวัด


 เราต้องนั่งยาวไปเกือบ 7 ชม. ซึ่งเส้นทางบางช่วงของถนนจากพนมเปญไปเสียมเรียบ บางช่วงก็จะเป็นถนนคอนกรีต บางช่วงก็ลาดยางมะตอย บางช่วงก็เป็นถนนดินลูกรัง แต่ถนนค่อนข้างใหญ่ 4 เลนได้  ชะนีแคระนั่งมองดูบ้านเรือนตามต่างจังหวัดของชาวเขมรตลอดสองฝั่งข้างทางก็ได้บรรยากาศเหมือนกับตามต่างจังหวัดเมืองไทยเมื่อสิบยี่สิบก่อนก็เพลินตาดีนะ  ในที่สุดรถวิ่งได้ 3ชม.กว่าก็แวะหยุดพักที่จุดจอดกลางทางเพื่อให้ผู้โดยสารได้ทานอาหารกลางวัน และเข้าห้องน้ำกัน

จุดแวะพักที่ร้านอาหารของทางบริษัทรถทัวร์มีนั่งร้านวิวสวยๆให้ผู้โดยสารได้พักหย่อนใจ

เรามีเวลาพักคนละประมาณ 30 นาที ชะนีแคระสำรวจภายในร้านอาหาร ปรากฏมีเมนูเปิบพิสดาร ใครจะลองมาชิมเจ้าแมงมุมยักษ์หรือที่คนเขมรเรียกว่าตัวบึ้ง  คนเขมรเค้าชอบนำมาทอดหรือย่างทานกัน รสชาติจะออกมันๆ คล้ายๆกุ้งเค้าว่างั้น ถ้าใครสนใจก็ลองชิมกันได้นะคะ สำหรับชะนีแคระยอมค่ะ ขอไม่ลองดีกว่า ขอทานพวกข้าวผัดอะไรธรรมดาดีกว่าค่ะ

เปิบเมนูพิสดารแมงมุมยักษ์ Tarantula
ครบ 30 นาทีเสร็จแล้วน้องบัสโฮสเตสมาตามผู้โดยสารขึ้นรถแล้วค่ะ จากนั้นชะนีแคระก็นั่งยาว หลับบ้างไปหลายตื่นเราก็เดินทางมาถึงที่ท่ารถทัวร์เมืองเสียมเรียบ ชะนีแคระแนะนำถ้าใครได้จองโรงแรมมาแล้วล่วงหน้า ลองติดต่อทางโรงแรมให้ส่งรถมารับที่ท่ารถเลยดีกว่า เพราะถ้าเราไปเรียกรถตุ๊กๆเองบ่อยครั้งที่คนขับตุ๊กๆเค้าจะพาเราไปโรงแรมอื่นที่เค้าได้ค่าคอมมิชชั่น อันนี้อ่านมาจากหนังสือท่องเที่ยวเค้าเตือนมาพร้อมกับเจ้าของโรงแรมที่พนมเปญก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน  ดังนั้นตอนชะนีแคระซื้อตั๋วรถทัวร์เสร็จก็รีบส่งอีเมล์ติดต่อทางโรงแรมที่เสียมเรียบนัดวันและเวลา พร้อมกับบอกชื่อบริษัทรถทัวร์ ให้เรียบร้อย  หลังจากเรามาถึงที่ท่ารถทัวร์แล้วก็มีกลุ่มตุ๊กๆกรูเข้ามาถามว่ามีรถหรือยัง ไปไหนเอย ชะนีแคระกับเพื่อนก็รีบบอกว่ามีรถมารับแล้วค่ะ  หลังจากยืนรอรถได้ 15 นาทียังไม่มีวี่แววคนขับจะมา ผู้โดยสารคนอื่นก็ทยอยกันขึ้นรถตุ๊กๆไปเกือบหมดแล้ว  ชะนีแคระคิดในใจว่าโรงแรมจะลืมรึป่าวนะ ใจตุ้มๆต่อมๆ สักพักก็มีพี่คนขับรถตุ๊กๆพร้อมป้ายกระดาษ A4 มีชื่อชะนีแคระอยู่มาตามหา ก็ถือว่ารอดไป


ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักสักที หลังจากเช็คอินท์เรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมาอยู่ๆฝนก็ตกหนัก เดินทางมาในหน้าฝนต้องทำใจนะคะ ฝนตกอย่างนี้คงออกไปนอกโรงแรมไม่ได้ เอาเป็นว่าหากิจกรรมทำในขณะรอฝนตกแล้วกัน นั่งดูหนังเรื่อง The Killing Fields ค่าเวลาไปก่อน ซึ่งทางโรงแรมมีบริการไว้ให้ในห้องพักด้วย ดูแล้วจะได้เข้าใจช่วงยุคสงครามกลางเมืองของเขมรมากขึ้น  เรารอให้ฝนหยุดตกแล้วค่อยออกไปสำรวจตลาดกลางคืนกันค่ะ

ตลาดกลางคืน (Night market)

 ตลาดกลางคืน (Night Market) และ Pub street เป็นตลาดเดินเล่นกลางคืน เป็นย่านร้านอาหาร ผับบาร์ ของกิน ร้านขายสินค้าของที่ระลึก ร้านนวด ถ้าใครมาเที่ยวที่เสียบเรียบแนะนำว่าห้ามพลาดมาเดินเล่นกันนะ  คืนนี้ชะนีแคระกับเพื่อนตั้งใจจะมาหาอะไรทานแถวตลาดกลางคืนนี้หละ หลังจากฝนหยุดตกนักท่องเที่ยวก็ต่างทยอยกันออกมา ได้เวลาสองทุ่มครึ่งคนกำลังคึกคักเลยทีเดียว


มีร้านขายของที่ระลึก ของกิน


ย่าน pub street ร้านอาหาร ร้านแนวนั่งดื่มมากมาย


เมนูเปิบพิศดาร ตัวบึ้งหรือแมงมุมทอดก็มีนะ



น่าอร่อยไหมค่ะ
 สำหรับคืนนี้จะลองทานอาหารพื้นเมืองของเขมรกันนะคะ แนะนำร้านนี้ค่ะชื่อร้าน Kmer Kitchen Restaurant  เป็นร้านดังของที่นี่มีนักท่องเที่ยวเยอะมากขนาดต่อคิวรอกันทีเดียว



ร้าน Kmer Kitchen Restaurant
เราลองสั่งเมนูปลาทอด ,  Amok  และก็เมนูไข่ตุ๋นมันบด มาลองทาน

อาหารมาแล้ว 



ไข่ตุ๋นมันบด อาหารพื้นเมืองเขมร

Amok 

อาหารรสชาติดีทีเดียว หรือรอคิวนานจนหิวจัดก็ไม่รู้ ยังไงแนะนำให้ลองมาทานกันนะคะ สำหรับคืนนี้ท้องอิ่มแล้วขอลากลับไปพักผ่อนกันก่อนค่ะ

เช้าวันที่ 2 

สำหรับวันนี้เราจะไปเที่ยวกลุ่มปราสาทขอมโบราณกัน หลายๆท่านไม่อยากปวดหัวเรื่องติดต่อหาคนขับรถตุ๊กๆ หรือไม่แน่ใจเรื่องภาษาและเรื่องของราคากลัวจะโดนโขกราคา ชะนีแคระแนะนำให้ซื้อโปรแกรมเที่ยวกับทางโรงแรม ซึ่งที่โรงแรม Golden butterfly villa เค้าก็มีหลายโปรแกรมให้เลือก ก็สะดวกและราคาก็ไม่แพงโดยทางโรงแรมจะนัดคนขับรถตุ๊กๆให้มารับตามวันและเวลาที่เรากำหนด สำหรับการจ่ายเงินก็จ่ายเงินให้กับพี่คนขับตุ๊กๆได้เลยโดยจ่ายตอนที่เที่ยวเสร็จแล้วและคนขับมาส่งเรากลับที่โรงแรม  ซึ่งราคาก็จะตกอยู่ที่ 15- 25 ดอลล่าร์ต่อวัน ซึ่งขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่เราเลือก หากเราไปเที่ยวในวัดหรือปราสาทใกล้ๆตัวเมือง ก็จะตกราวๆ 15-18 ดอลล่าร์หรือตัวปราสาทไกลตัวเมืองไปหน่อยก็ราคาขยับไปนิดนึงแต่ราวๆนี้ ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษได้และมั่นใจอยากจะลองเรียกรถตุ๊กๆเองก็ได้แต่ราคาอย่างที่บอกให้อยู่ในราวๆ 15-25 ดอลล่าร์ต่อวันก็แล้วกัน    วันนี้ชะนีแคระเลือกโปรแกรมไปเที่ยวปราสาทขอมรอบนอกที่ไกลออกไปก่อน โดยนัดพี่คนขับรถตุ๊กๆให้มารับตอน 8.30 น. พี่คนขับจะพาเราไปซื้อตั๋ว pass เข้าชมตัวนครวัด และโบราณสถานปราสาทขอมกัน โดยจะต้องไปซื้อเจ้า pass ได้ที่ official entrance booth  โดยเจ้า Angkor pass จะมีรายละเอียดดังนี้ (ราคาใหม่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป )
one day pass    ราคา 37 ดอลล่าร์
three day pass  ราคา 62 ดอลล่าร์  ใช้ได้ 3 วันไม่จำเป็นต้องเป็น 3 วันติดกันแต่ต้องใช้ภายใน 1 สัปดาห์
one week pass  ราคา 72 ดอลล่าร์  ใช้ได้ 1 อาทิตย์ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวันติดกัน แต่ต้องใช้ในภายใน 1 เดือน
นักท่องเที่ยวเยอะมาก

ชะนีแคระแนะนำว่าให้ไปเช้านิดนึงเพราะไม่งั้นพอสายๆต้องไปต่อแถวนานมากเพราะนักท่องเที่ยวจะเยอะ และเจ้า pass นี้ต้องมีการถ่ายรูปติดบัตรด้วยนะ สาวๆก็จัดแต่งหน้าให้เต็มที่นะคะ ที่สำคัญนักท่องเที่ยวจะต้องพกเจ้า pass นี้ติดตัวตลอดเวลา ห้ามฉีกขาด ห้ามหายเลยทีเดียวเพราะเวลาเข้าชมวัด หรือปราสาทต่างๆจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจเช็คตลอดเวลา มิฉะนั้นอาจจะต้องเสียเวลาและเสียเงินกลับไปทำบัตรมาใหม่


หน้าตาเจ้า Angkor pass


สำหรับชะนีแคระเลือกซื้อ pass สำหรับ 3 วัน คิดว่าน่าจะดีที่สุด เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาพอสมควรและมีความชอบเกี่ยวกับพวกโบราณสถาน ศิลปะและวัฒนธรรม แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อย และไม่ค่อยชอบพวกศิลปะโบราณสถานมากก็ pass 1 วันก็กำลังดี เก็บเที่ยวแต่วัดและปราสาทสำคัญๆก็พอ บางคนวางแผนดีๆมาซื้อบัตร Angkor pass สำหรับวันรุ่งขึ้นโดยมาซื้อก่อนเวลา 17.00 น. แล้วสามารถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่พนมบาเค็ง (Phnom Bakheng) ได้ฟรี หลังจากทำบัตรเสร็จเรียบร้อย พี่คนขับรถตุ๊กๆก็พาเราขับออกนอกเมืองไปไกล 30 กิโลเมตร ราวๆ 30 นาทีได้ เราก็มาชมปราสาทแห่งแรกกัน


ปราสาทแปรรูป (Pre Rup)


ปราสาทแปรรูป (Pre Rup) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ในพศ. 1504 โดยปราสาทแปรรูปเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรศูนย์กลางของจักรวาลตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู โดยตัวปราสาทสร้างจากศิลาแลงโดยนำมาใช้เป็นฐานของปราสาท และหินทรายนำมาแกะสลักลวดลาย นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าปราสาทแปรรูปนี้น่าจะเคยใช้เป็นที่เผาศพขุนนางที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ จึงเรียกปราสาทนี้ว่าแปรรูป ที่หมายถึงแปรสภาพจากศพกลายเป็นเถ้านั่นเอง เราสามารถมาชมพระอาทิตย์ตกดินได้ที่ปราสาทแห่งนี้
ทางขึ้นลงสู่พระปรางค์ประธานชันมาก

ถ่ายให้เห็นว่าปราสาทนี้สร้างสูงมากแค่ไหน ตอนเดินขึ้นมามีเหนื่อยหอบ

รูปสลักหินคชสีห์เฝ้าประตูพระปรางค์โดดเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขาม

ตัวพระปรางค์และตัวปราสาทโดยรอบ

หลังจากแวะถ่ายรูปที่ปราสาทแปรรูปได้สักพัก เราก็ต้องรีบทำเวลาไปเที่ยวต่อที่ปราสาทต่อไป

ปราสาทบันทายศรี (Banteay Srei)


ปราสาทบันทายศรี (Banteay Srei) เป็นปราสาทขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูที่หายาก เป็นปราสาทหินที่มีความสมบูรณ์และสวยงามที่สุดในกัมพูชา มีการแกะสลักด้วยลวดลายที่ละเอียดวิจิตรบรรจง   ปราสาทบันทายศรีถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 และเสร็จสิ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พศ. 1510-1550) โดยตระกูลพราหมณ์เป็นผู้สร้างเทวสถานแห่งนี้เพื่อบูชาต่อองค์พระอิศวร  และด้วยเพราะการแกะสลักมีความอ่อนช้อยสวยงามเป็นพิเศษจึงสันนิษฐานว่าตระกูลพราหมณ์ที่สร้างน่าจะเป็นผู้หญิงดังนั้นปราสาทบันทายศรีจึงถูกเรียกขานว่าอัญมณีแห่งศิลปะขอมโบราณ



นักท่องเที่ยวเยอะมาก


ภายในปราสาทมีพระปรางค์ 3 หลัง

ตัวปราสาทเป็นหินทรายสีชมพู


หน้าบันมีการแกะสลักเป็นรูปช้างอาบน้ำให้นางลักษมี ลวดลายวิจิตรบรรจง

ความวิจิตรบรรจงและอ่อนช้อยของงานแกะสลัก

ปากซุ้มประตูมีรูปปั้นนายทวารบาลรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์คอยเฝ้าประตู

หน้าบันที่เล่าเรื่องของสุครีพถุกพาลีไล่ออกจากเมือง
สถานที่ต่อไปเราจะต้องขับรถออกไปไกลจากปราสาทบันทายศรีอีกประมาณ 12 กิโลเพื่อไปชมรูปปั้นแกะสลักศิวลึงค์นับพันองค์ในลำธารบนยอดเขากันที่ กบาลสะเปียน (Kbal  Spean)  กบาลสะเปียนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The river throusand of  Lingar  ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 จุดประสงค์การสร้างก็เพื่อให้พราหมณ์ทำพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์นำไปประกอบใช้ในพิธีการต่างๆในพระราชวัง และให้ประชาชนนำน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ไปบูชารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  ซึ่งการไปกบาลสะเปียนนั้นเราต้องเดินขึ้นเขาไปเกือบ 2 กม. จากลานจอดรถ ตลอดข้างทางก็จะเป็นป่าเขา ลำธารและมีน้ำตก ถ้าท่านใดชอบแนวธรรมชาติก็ห้ามพลาดเด็ดขาด แต่ต้องมั่นใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเพราะต้องเดินขึ้นเขาแต่ไม่ชันมาก (เสียงสูง) ใช้เวลาเดินไป กลับเกือบ 1 ชม.กว่าๆได้ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพความฟิตของแต่ละท่านกัน ที่สำคัญอย่าลืมพกน้ำดื่มขึ้นไปกันคนละขวดด้วยนะคะ เพราะข้างบนไม่มีร้านขายของ เดินขึ้นเขาค่อนข้างชันเกือบสองกิโลเมตร ไปกลับถ้าหากกระหายน้ำขึ้นมาจะลำบากนะ


ทางเดินขึ้นเขา ไหวไหมถามใจเธอดู

รากต้นไม้ใหญ่มาก

ภาพแกะสลักที่ตัวโขดหิน


ภาพแกะสลักศิวลิงค์นับพัน

รูปสลักต่างๆ

ภาพแกะสลักบนหินทราย


ศิวลึงค์และโยนีใต้ลำธาร
น้ำที่ผ่านศิวลึงค์และฐานโยนีถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ พรามหณ์จะทำพิธีบูชาเพื่อนำน้ำไปใช้ในงานพระราชพิธีต่างๆตามหลักความเชื่อในศาสนาฮินดู เชื่อว่าปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ


ลานศิวลึงค์นับพัน


ภาพแกะสลัก

รูปปั้นแกะสลักตามเส้นทาง

หลายคนสงสัยศิวลึงค์และโยนี คืออะไร ชะนีแคระจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ศิวลึงค์ก็คือ รูปสลักแสดงถึงสัญลักษ์ของเพศชาย เป็นตัวแทนของพระศิวะ  ส่วนโยนี ก็คือ รูปสลักสี่เหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง ซึ่งเป็นตัวแทนของพระแม่ปารวตีนั่นเอง  ส่วนใหญ่เราจะเห็นศิวลึงค์คู่กับโยนีตลอด ปรัชญาทางฮินดูหมายถึงธรรมชาติ เป็นพลังงานสร้างสรรค์ เป็นต้นกำเนิดของสรรพชีวิต ดังนั้นศิวลึงค์และโยนีจึงเป็นของคู่กันไม่สามารถแยกจากกันได้ เฉกเช่น ผู้ชายกับผู้หญิงฉันใดก็ฉันนั้น


มีลำธารน้ำตกขนาดเล็ก

ธารน้ำไหลกลายเป็นน้ำตกกบาลสะเปียน

หลังจากเดินกลับลงมาจากเขาก็แวะทานอาหารกลางวันจากร้านค้าแถวๆลานจอดรถ แต่ต้องขอบอกราคาอาหารที่นี่แทบจะสองเท่าตัวกับราคาในร้านอาหารที่ตัวเมือง ข้าวผัดธรรมดาตกจานละ 6 ดอลล่าร์เลยทีเดียว สรุปมื้อนี้เป็นมื้ออาหารที่แพงที่สุดในเสียมเรียบเลย แต่อย่างว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องบ่ายสองโมงเย็นแล้วกินเสร็จแล้วต้องทำเวลากันต่อเพื่อเดินทางไปเที่ยวปราสาทต่อไป 


ปราสาทแม่บุญตะวันออก (East Mebon)

พี่คนขับก็พาเรากลับย้อนจากทางเดิมเพื่อไปเที่ยวที่ปราสาทแม่บุญตะวันออก( East Mebon)  ปราสาทแม่บุญมีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายๆกับปราสาทแปรรูป สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในปีพุทธศตวรรษที่ 15  สร้างโดยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เพื่อบูชาต่อองค์พระศิวะตามหลักไศวนิกายในศาสนาฮินดู ตัวปราสาทมีพระปรางค์ 5 หลัง ทุกหลังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  


ตัวปราสาทมีความสูง 3 ชั้น
ตรงบันไดทางขึ้นพระประธานมีประติมากรรมรูปคชสีห์คอยเฝ้าอยู่
เดี่ยวเราไปเที่ยวปราสาทต่อไปกันดีกว่า นั่นคือปราสาทตาสม(Ta Som) 



ปราสาทตาสม (Ta som)

ปราสาทตาสมเป็นปราสาทขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยเดียวกันกับปราสาทบายนในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  สร้างเสร็จในช่วงสมัยปีพุทธศตวรรษที่ 17 เพราะรูปแบบศิลปะเป็นแบบยุคต้นๆของศิลปะบายน เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนานิกานมหายาน


มีพระพักต์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรอยู่บนยอดของพระปรางค์ประธาน

มีรูปสลักนางอัปสราเฝ้าซุ้มประตู

ทับหลังที่ยังวางอยูที่พื้นรอการประกอบ
รากไม้ใหญ่ขึ้นทับตัวปราสาทเหมือนกับประสาทตาพรหม


เหลือบดูนาฬิกาบอกเวลาสี่โมงเย็นกว่าแล้วต้องรีบทำเวลาเพราะเหลืออีกหลายปราสาทที่ยังไม่ได้ไป ปราสาทต่อไปคือ ปราสาคนาคพัน ( Preah Neak Poan)



ปราสาทนาคพัน ( Preah Neak Poan)

ปราสาทนาคพัน สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปีพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยปราสาทจะสร้างอยู่กลางสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่  โดยมีบ่อน้ำขนาดเล็กตั้งโดยรอบทั้ง  4 ทิศ ตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธเกี่ยวกับสระน้ำอโนดาตซึ่งเป็นสระน้ำบนสวรรค์ที่มีน้ำใสสะอาดและเต็มเปี่ยมตลอดเวลา


ทางเข้าตัวปราสาทจะเป็นทุ่งหญ้าทีมีน้ำขัง

ภาพวิวสองข้างทางระหว่างทางเดินเข้าไปในตัวปราสาท
ตัวปราสาทนาคพันอยู่กลางสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่

  ตัวปราสาทมีขนาดเล็กตั้งอยู่บนฐานกลมที่มีลักษณะซ้อนลดหลั่นเป็นชั้นๆ  ชั้นสุดท้ายเป็นรูปพญานาค 7 เศียร 2 ตัวโอบล้อมปราสาทส่วนหัวหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนหางวนอ้อมมาบรรจบกันในทางทิศตะวันตก มีพระพุทธรูปพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวรประดิษฐานอยู่ที่ตัวปราสาททั้ง 4 ทิศ


รูปแกะสลักเป็นรูปม้าอยู่ทางทิศตะวันออก
โดยทิศตะวันตกจะมีการแกะสลักเป็นรูปหน้ามนุษย์ ทิศเหนือเป็นรูปหัวช้าง ทิศตะวันออกแกะสลักเป็นรูปม้า และทิศใต้เป็นรูปหัวสิงห์


ปราสาทนาคพัน
ดูเวลาตอนนี้ห้าโมงเย็นกว่าแล้วเราคงจะแวะเที่ยวปราสาทสุดท้ายของวันกัน ปราสาทพระขรรค์ ( Preah Khan)



ปราสาทพระขรรค์ (Preah Khan)

ปราสาทพระขรรค์สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในปีพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทหินในยุคท้ายๆของศิลปะบายน เป็นศาสนสถานทางพระพุทธศาสนานิกายมหายาน สร้างอุทิศแด่พระราชบิดาของ(พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2)

ทางเข้าปราสาทพระขรรค์
พญาครุฑเหยียบนาคผู้คอยเฝ้าอยู่ที่กำแพงปราสาท

เจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่คาดว่าเป็นที่เก็บอัฐิของพระราชบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ตัวอาคารเดี่ยว รูปร่างคล้ายอาคารทรงโรมัน


ตัวปราสาทมีความทรุดโทรมไปมาก มีหินพังทลายลงมาในหลายส่วน

ทับหลังที่ปราสาทพระขรรค์

ที่ปราสาทพระขรรค์ได้มีการจารึกกล่าวถึงการสร้างธรรมศาลา (ที่พักคนเดินทาง) และอโรคยศาล(โรงพยาบาล) ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้โปรดให้สร้างขึ้นมากกว่า 121 แห่งทั่วพระนคร


ต้นสะปงที่รากชอนไชปราสาทพระขรรค์


ต้นสะปงอายุนับร้อยๆปี ดูความใหญ่โตของรากไม้
ภาพพระอาทิตย์กำลังตก ท้องฟ้ากำลังสิ้นแสงที่ปราสาทพระขรรค์
ได้เวลาหกโมงเย็นแล้วหมดเวลาเข้าชมตัวปราสาท ชะนีแคระเจอเจ้าหน้าที่เขมรกำลังเตือนให้นักท่องเที่ยวออกจากตัวปราสาทและคอยตรวจเช็คว่ายังมีนักท่องเที่ยวที่ยังค้างอยู่ในตัวปราสาทอีกหรือไม่ เราเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยเดินออกมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่เลย ชะนีแคระรู้สึกอุ่นใจมีคนเดินมาร่วมทางนับสิบกว่าชีวิต บรรยากาศแบบนี้ชะนีแคระแอบกลัวเหมือนกันยิ่งท้องฟ้าขมุกขมัวโพล้เพล้แบบนี้ถ้าเดินกันแค่คนสองคนคงมีหลอนได้ เอาเป็นว่าเราต้องปิดโปรแกรมการเที่ยวปราสาทขอมในวันนี้ไปก่อน พี่คนขับรถตุ๊กๆรออยู่ที่ลานจอดรถและก็จะพาเรากลับโรงแรมกัน


พี่คนขับตุ๊กๆขับพาเราออกจากนครธมมุ่งตรงกลับโรงแรม


สะพานข้ามคูน้ำที่กล่าวถึงตำนานการกวนเกษียรสมุทรและการสร้างน้ำอมฤต


น่าจะเป็นรูปแกะสลักฝ่ายเทวดา


พี่คนขับตุ๊กๆพาเรากลับมาถึงโรงแรมเกือบเวลาหนึ่งทุ่ม วันนี้ชะนีแคระแทบหมดแรงเอาเป็นว่าคืนนี้ขอทานข้าวเย็นที่โรงแรมเลยละกันเพื่อความสะดวก







 มาถึงเสียมเรียบต้องลองเบียร์ Angkor เดี่ยวเค้าว่ามาไม่ถึง




Amok จัดเป็นกระทงมาเลย


ะนีแคระสั่งกับข้าวมาสองสามอย่างแต่ถ่ายรูปไม่ทัน เพราะเดอะแก็งค์หิวมาก เลยเหลือภาพเจ้า Amok มาให้ดูอย่างเดียว หลังจากท้องอิ่มก็ต้องขอตัวกลับเข้านอนแต่หัววัน เพราะพรุ่งนี้เรามีโปรแกรมตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดกันตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง วันนี้ขอตัวไปพักก่อนค่ะ

เช้าวันที่ 3  
เช้านี้เรานัดให้พี่คนขับรถตุ๊กๆคนเดิมมารับตั้งแต่ตีห้าเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดกัน คงไม่ต้องถามสภาพของทั้งคณะหน้าตาเป็นยังไงกันเช้านี้ เพราะความอยากได้ภาพแสงแรกของวันที่มีฉากหลังเป็นนครวัด ยอมค่ะยังไงก็คิดว่าคุ้ม


นครวัด (Angkor Wat)

"See Angkor Wat and die " ประโยคอมตะของอาโนลด์  ทอยบี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า ได้ยลนครวัดแล้วตายตาหลับประมาณนั้น จากประโยควลีเด็ดนี้นี่หละที่ทำให้ชะนีแคระตั้งใจว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาเยือนที่นครวัดแห่งนี้
นครวัด (Angkor Wat) เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู สร้างขึ้นโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพศ. 1656-1693 เพื่อบูชาแด่องค์เทพวิษณุ  นอกจากนี้พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ยังสร้างนครวัดให้เป็นสถานที่บรรจุพระศพของพระองค์อีกด้วย ดังนั้นนครวัดจึงแตกต่างจากปราสาทขอมอื่นๆคือหันหน้าตัวปราสาทไปทางทิศตะวันตกซึ่งถือว่าเป็นทิศของคนตาย ที่นี่จึงเป็นจุดยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวมักจะมาชมและถ่ายภาพแสงพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากัน




สิ่งที่คิด
ปล. ยืมรูปมาจากอินเตอร์เน็ต


สิ่งที่เป็น



ช้านี้ปรากฏว่าอากาศไม่ดีท้องฟ้าไม่เปิด ภาพที่ได้จึงเป็นอย่างนี้ไม่น่าตื่นแต่ตีสี่ตีห้าเลยเรา เศร้าแปบ






 มีเพื่อนร่วมชะตากรรม นักท่องเที่ยวจำนวนมากมายมาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากัน










เทวสถานในศาสนาฮินดูบันไดขึ้นจะชันมาก ซึ่งเค้าเชื่อกันว่าการขึ้นไปถวายความเคารพต่อองค์ทวยเทพ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากต้องให้มีความยากลำบากต่อการขึ้นไปสักการะบูชา แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะพลังความศรัทธาของมนุษย์ไปได้




ตัวปราสาท 5 หลัง


นครวัดมีขนาดกว้างใหญ่มากถึงขนาดมีพื้นที่มากกว่า 1,200 ไร่ มีสร้างปราสาท 5 หลังอยู่บนฐานสูงตามคติความเชื่อของศูนย์กลางจักรวาล มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบมหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมร



ความยิ่งใหญ่อลังการของนครวัด



มีการแกะสลักเกี่ยวกับตำนานรามยณะ กล่าวถึงการเกษียรสมุทรสร้างน้ำอมฤิทธิ์



 ภาพแกะสลักได้กล่าวเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่การรบของชนชาติขอมในอดีต


นางอัปสรายิ้มเห็นฟันเลย

เหล่านางอัปสรากำลังร่ายรำ

เดี่ยวเราจะเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่นครธม (Angkor Thom)


นครธม (Angkor Thom)

นครธม (Angkor Thom) เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรขอมโบราณ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวพุทธศตวรรษที่ 17 เนื่องจากการรุกรานของพวกจาม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เลยได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเดิมนครวัดมาสร้างเมืองใหม่ที่นครธมแห่งนี้ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของนครวัดนั่นเอง  พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายมหายานดังนั้น ศิลปะการก่อสร้างจึงเน้นไปทางเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรตามลัทธินิกายมหายาน  ซึ่งพระองค์ทรงสร้างปราสาทบายนขึ้นเป็นปราสาทหลวงอยู่ใจกลางพระนครธม


ปราสาทบายน
ปราสาทบายน (Bayon ) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในพศ 1724-1763 สร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลังจากได้ชัยชนะจากการรบกับอาณาจักรจามปา  พระองค์ก็ได้สร้างปราสาทบายนขึ้น  ซึ่งเป็นปราสาทในพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยมีลักษณะพิเศษคือมีการสร้างพระปรางค์เป็นรูปพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้งสี่หน้า บ้างก็ว่ารูปใบหน้านี้ได้จำลองพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มาซึ่งเป็นพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างเมตตา หรือที่เรียกว่ารอยยิ้มบายน โดยแต่เดิมมีจำนวนพระปรางค์ทั้งหมดมี 54 หลัง ซึ่งมีที่มาจากจำนวนจังหวัดที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงปกครองอยู่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 37 หลังเท่านั้นเนื่องจากการพังทลายตามกาลเวลา

รอยยิ้มบายน เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

มีการนำหินมาสร้างต่อเรียงกันเป็นรูปหน้าคนหรือรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ตัวปราสาทอาจมีขนาดไม่ใหญ่โตเท่านครวัด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความแปลกและความขลัง


มีน้องนักเรียนเขมรมาแต่งชุดนางอัปสรา นางรำต่างๆมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย




ศิวลึงค์
มีศิวลิงค์อยู่ด้านในด้วย ถึงแม้จะเป็นปราสาทในพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีความเชื่อในด้านศาสนาฮินดู คาดว่าน่าจะถูกมาสร้างเพิ่มเติมหลังจากรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพราะกษัตริย์องค์หลังๆก็กลับไปนับถือศาสนาฮินดูเหมือนเดิม

ชั้นบนของปราสาทบายน

เวลาเดินเข้าไปในปราสาทบายน จะเหมือนรู้สึกว่ามีใครกำลังจองมองเราอยู่ คงจะด้วยเพราะพระปรางค์รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ผันพระพักต์ออกทั้งสี่หน้าทั้งสี่ทิศ เพื่อคอยสอดส่องบำรุงทุกข์สุขของปวงประชา


ปราสาทบาปวน (Baphuon)

 ไปเที่ยวกันต่อในปราสาทต่อไปนั่นก็คือ ปราสาทบาปวน (Baphuon) เป็นปราสาทขอมที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 พระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะในศาสนาฮินดู โดยตัวปราสาทจะมีรูปทรงคล้ายพีระมิด มีฐานหลดหลั่นเป็นชั้นๆ หันหน้าตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออก


ดูทางขึ้นปราสาทบาปวน



ยอดพระปรางค์ด้านบนเป็นทรงคล้ายพีระมิดคาดว่าใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

 ชะนีแคระขึ้นไปชมวิวด้านบนของปราสาทบาปวน แล้วถ่ายรูปจากมุมสูงมาให้ดูกัน เห็นทางเดินเข้ามาตัวปราสาทอยู่ลิบๆ


ทางเข้าตัวปราสาทบาปวน ถ่ายรูปจากด้านบน

ในสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรขอม ปราสาทบาปวนได้ถูกรื้อบางส่วนเพื่อนำไปสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ (พระนอน) ขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังปราสาท

พระพุทธรูปปางไสยาสน์(พระนอน)

ทางรัฐบาลฝรั่งเศสได้เข้าช่วยเหลือทำการบูรณะซ่อมแซมปราสาทบาปวน แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงในช่วงสงครามกลางเมืองของกัมพูชา ฝ่ายเขมรแดงได้เผาทำลายแบบแปลนแผนผังบูรณะจนราบเรียบ จนกระทั่งปี พศ. 2538 ปราสาทบาปวนได้รับการบูรณะปฏิสังขรสำเร็จจากการช่วยเหลือจากรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งสามารถเนรมิตก้อนหินนับหมื่นชิ้นที่พังทลายให้กลายเป็นปราสาทที่สวยงามและเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันถึงทุกวันนีั้

ปราสาทพิมานอากาศ (Phimeanakas)

ปราสาทต่อไปที่ชะนีแคระจะพาไปเที่ยวชมกันนะคะ ก็คือ ปราสาทพิมานอากาศ (Phimeanakas) ปราสาทนี้สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 15 รัชสมัยพระราเชนทรวรมันที่  2 สร้างขึ้นเพื่อบูชาแด่พระศิวะในศาสนาฮินดู ปราสาทพิมานอากาศเป็นปราสาทเดียวที่สร้างเป็นหินทรายอยู่บนศิลาแรง มีความสูง 3 ชั้น คล้ายพีระมิด สูงราว 12 เมตร  โดยตัวปราสาทได้มีการสร้างต่อเติมเรื่อยมาจนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  มีตำนานปรำปราได้กล่าวขานมานานจากราชทูตจีนที่มาเจริญสัมพันธไมตรีในช่วงนั้นชื่อว่า "จิวต้ากวน" ได้จารึกไว้ว่า ปราสาทพิมานอากาศเป็นที่ประทับของนางนาคผู้มีฤิทธิ์โดยกษัตริย์ขอมโบราณพระองค์หนึ่งต้องเสด็จขึ้นไปประทับเพื่อหลับนอนกับนางนาคที่แปลงกายเป็นอิสตรีทุกคืน แล้วจึงค่อยลงจากปราสาทไปหลับนอนกับพระมเหสีอื่นได้ ไม่งั้นนางนาคจะพิโรธและจะทำให้พระองค์สวรรคต รวมถึงบันดาลทำให้บ้านเมืองต้องวุ่นวาย


ดูทางขึ้นบันไดไปบนปราสาท
ตอนที่ชะนีแคระไปนี้ทางการได้ปิดไม่ให้ประชาชนขึ้นไปบนปราสาท เพราะเนื่องจากตัวปราสาททรุดโทรมไปมากเกรงว่าจะพังทลายลงมา ชะนีแคระเลยได้ถ่ายรูปจากด้านล่างมาให้ชมกันนะคะ แต่ถ้าต้องให้ชะนีแคระปีนบันไดขึ้นไปบนปราสาทก็คงไม่ไหวดูทางขึ้นแล้วน่าหวาดเสียวคงต้องมีลื่นหล่นกันบ้าง


สระน้ำหลวง

 บริเวณใกล้ๆกับปราสาทพิมานอากาศมีบ่อน้ำขนาดใหญ่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างขึ้นเพื่อกันไม่ให้ชั้นดินจากปราสาทพิมานอากาศไหลลงสู่สระน้ำ และคาดว่าอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเขตพระราชวังเดิม


ลานช้าง (Terrace of Elephants)
จากใกล้ๆปราสาทพิมานอากาศก็เดินเรื่อยๆมาจนถึงลานช้าง (Terrace of Elephants)
สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการปรับปรุงบูรณะในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8  โดยสร้างขึ้นใจกลางเมืองนครธม หันหน้าเข้าสู่ลานกว้างหรือที่เรียกว่าท้องสนามหลวง  เป็นทางพระราชดำเนินเพื่อจะเดินไปยังท้องสนามหลวง จุดประสงค์การสร้างก็เพื่อเป็นที่กษัตริย์นั่งทอดพระเนตรการสวนสนามการซ้อมรบ การแสดงรื่นเริงต่างๆ ตลอดเป็นที่ต้อนรับแขกอาคันตุกะ

มีการแกะสลักเป็นรูปหัวช้าง
ลานพระยาขี้เรื้อน(Terrace of  Leper king) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และบูรณะต่อเติมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของเหล่ากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือมีสถานะเป็นทุ่งพระเมรุ บ้างก็ว่าเป็นลานตัดสินนักโทษประหารต่างๆ เพราะเนื่องจากมีรูปแกะสลักมากมายเป็นรูปพระยม เทพแห่งความตายผู้บงการชีวิตหลังความตายว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ ประกอบกับทิศที่สร้างเป็นทิศที่หันไปทางตะวันตกนั่นหมายถึงทิศคนตาย



ลานพระยาขี้เรื้อน(Terrace of  Leper king)
ทำไมถึงเรียกว่าลานพระเจ้าขี้เรื้อน เนื่องจากมีเทวรูปองค์หนึ่งผิวพรรณกระดำกระด่างเหมือนคนเป็นโรคเรื้อน และประกอบกับมีนิทานปรำปราได้เล่าขานไว้ว่ามีกษัตริย์ขอมองค์หนึ่งไม่ยอมหลับนอนกับนางนาคที่ปราสาทพิมานอากาศ แล้วเอาดาบฟันนางนาคทำให้โลหิตไหลกระเซ็นมาต้องพระวรกาย โดยเลือดของนางนาคเป็นพิษร้ายได้กลัดกร่อนร่างกายพระองค์จนกลายเป็นโรคเรื้อน

เทวรูปพระเจ้าขี้เรื้อนองค์จำลอง ของจริงจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงพนมเปญ
รูปแกะสลักพญายมและเหล่าเทวดา

รูปแกะสลักภาพเหล่านางอัปสรา

รูปแกะสลักพญานาค 9 เศียร
หลักจากพักทานอาหารว่าง และน้ำดื่มแถวๆร้านค้าตรงลานพระยาขี้เรื้อนพอคลายร้อน ซึ่งคนขับตุ๊กๆได้รอแถวๆนั้น  ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงกว่าแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราเดินทางกันต่อไปปราสาทตราพรหมอันเลื่องชื่อกัน


ปราสาทตาพรหม

ปราสาทตาพรหม (Ta Prohm) สร้างขึ้นในพศ. 1729 รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างเพื่ออุทิศแด่พระมารดาคือ พระนางชัยราชจุฑามณี เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายมหายานเป็นศิลปะขอมแบบบายน พระองค์ทรงสร้างภายหลังขึ้นครองราชย์ได้ 5 ปี  ปราสาทตาพรหมในยุคนั้นถือว่าเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญมาก  แต่ภายหลังจากสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็เข้าสู่ยุคความขัดแย้งของศาสนา โดยสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ก็ได้ทรงกลับไปนับถือศาสนาฮินดูอีกครั้ง ดั้งนั้นภายหลังจึงมีการทำลายอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นการลบภาพพระพุทธประวัติ พระพุทธรูปล้วนแล้วถูกทำลายจนได้รับความเสียหายอย่างหนักที่วัดนี้  ดังนั้นเราจึงมักไม่ค่อยเห็นศิลปะทางพุทธศาสนาหลงเหลือมากนัก 


ซุ้มประตูปราสาทตาพรหม
ซุ้มระเบียงคต

ยังพอหลงเหลือรูปแกะสลักนางอัปสรา

แต่ลักษณะเด่นพิเศษของปราสาทตาพรหมก็คงจะหนีไม่พ้นต้นสะปงยักษ์อายุนับหลายร้อยปีที่ขึ้นชอนไชปราสาทซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต้องแวะเวียนมาเที่ยวที่ปราสาทแห่งนี้   ใครๆก็มักจะแวะมาถ่ายรูปกับเจ้ารากไม้นี้ 



ความใหญ่โตของรากไม้ที่พันชอนไชปราสาท

ต้นสะปงอายุนับหลายร้อยปี

ปราสาทตาพรหมมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ปราสาททูม ไรเดอร์ก็เพราะเคยใช้เป็นฉากสำคัญในภาพยนต์เรื่อง ทูม ไรเดอร์ 2 โดยนางเอกดังระดับโลกอย่างแองเจอลีน่า โจลีมาถ่ายทำฉากต่อสู้ที่นี่ด้วย ดังขนาดที่มีเจ้าหน้าที่ชาวเขมรคอยชี้จุดแนะนำว่านี้ไง ฉากนี้ไงโจลี่ ถ่ายมุมนี้เลย


มุมนี้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องหยุดแวะถ่ายรูป


นักท่องเที่ยวยืนรอคิวถ่ายรูป

ตอนนี้รัฐบาลกัมพูชาได้มีการบูรณะซ่อมแซม และหาทางอนุรักษ์ปราสาทตาพรหมแห่งนี้อย่างยั่งยืน เพราะถ้าจะให้ตัดต้นไม้ทั้งหมดก็จะเป็นการทำลายความงามทางธรรมชาติและเสน่ห์ของปราสาทตาพรหมไปสิ้น แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ตัวปราสาทก็อาจจะพังทลายลงได้ ดังนั้นการอนุรักษ์จึงต้องทำอย่างเหมาะสมและยังคงรักษาไว้ซึ่งสภาพธรรมชาติดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด


การที่รากไม้ชอนไชปราสาทก็มีส่วนทำให้ปราสาทบางส่วนถล่มพังทลาย
เดี่ยวเราไปเที่ยวสถานที่สุดท้ายของโปรแกรมวันนี้กันนะคะ เราจะไปเที่ยวที่พนมบาเค็งกัน พี่คนขับตุ๊กมารอรับแล้วไปค่ะ  ปราสาทพนมบาเค็ง(Phnom Bakheng)  สร้างขึ้นในพศ. 1432-1453 ในรัชสมัยของพระเจ้ายโสวรมันที่ 1 เพื่ออุทิศแด่พระศิวะในศาสนาฮินดู รูปแบบปราสาทเป็นชั้นๆคล้ายทรงพีระมิดหลดหลั่นกันไป มีทั้งหมด 5 ชั้น มียอดพระปรางค์แต่ละชั้นละ 12 พระปรางค์ เป็นศาสนสถานแห่งแรกของเมืองพระนคร

ปราสาทพนมบาเค็ง
พนม ภาษาเขมร แปลว่า ภูเขา ส่วนบาเค็ง แปลว่า ต้นมะขาม เนื่องจากภูเขาลูกนี้มีต้นมะขามขึ้นอยู่มากในบริเวณนี้


พระปรางค์ประธานที่พนมบาเค็ง


แท่งศิวลึงค์ตัวแทนของศาสนาฮินดู

ที่พนมบาเค็ง ถือว่าเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในเสียมเรียบ เพราะที่นี่เราจะสามารถมองเห็นยอดปราสาทนครวัดที่โผล่ขึ้นมาจากกลางป่าได้


มองเห็นยอดปราสาทนครวัดไกลๆ

ขยายให้เห็นชัดๆ
 การขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ชะนีแคระแนะนำว่าให้ขึ้นเขามาตอนช่วง 16.00 น. เพราะที่พนมบาเค็งมักเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวทุกคนที่เสียมเรียบเพื่อจะมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ ดังนั้นช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่พนมบาเค็งจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาจับจองพื้นที่กัน เพื่อให้ได้มุมดีที่สุดในการถ่ายรูปก็ควรขึ้นมารอแต่เนิ่นๆ และบางครั้งช่วงหน้าฤดูเทศกาลท่องเที่ยวทางเจ้าหน้าที่จะจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่สามารถขึ้นไปบนตัวปราสาทพนมบางเค็งไปชมพระอาทิตย์ตกดินได้วันละไม่เกิน 300 คน

พระโค พาหนะคู่ใจของพระศิวะ

ตอนนี้เวลาบ่ายสามโมงเย็นเท่านั้นที่ชะนีแคระอยู่ที่พนมบาเค็ง หลังจากคุยกับชาวคณะแล้ว ลงความเห็นว่าเราคงไม่อยู่รอดูพระอาทิตย์ตกดินกัน เพราะทุกคนเพลียและเหนื่อยจากการที่ต้องตื่นเช้า และที่สำคัญวันนี้ดูแล้วอากาศขมุกขมัวกลัวว่ารอแล้วอาจจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกผิดหวังเหมือนเมื่อเช้าอีก เอาเป็นว่าบอกพี่คนขับให้พาพวกเรากลับไปส่งที่โรงแรมดีกว่า หลังจากพักผ่อนนอนหลับไปหนึ่งตื่น ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว คืนนี้ชะนีแคระกับเพื่อนก็กลับไปหาอะไรทานแถวตลาดกลางคืนเหมือนเดิม แต่วันนี้เราจะลองกินเมนูปิ้งย่าง แต่ไม่ใช่ปิ้งย่างเกาหลีนะคะ เราจะมาลองเมนูปิ้งย่างเขมรดูบ้าง จัดไปค่ะกับหมูกระทะเขมร ที่แปลกก็คือที่นี่เค้ามีเนื้อจระเข้ เนื้อสัตว์แปลกๆให้ลองกันด้วย แต่ชะนีแคระกับเพื่อนไม่กล้าเอาแค่เนื้อวัว หมู ไก่ กุ้ง และปลาก็พอค่ะ


หมูกระทะเขมร 
ถามว่าอร่อยไหมก็ใช้ได้นะคะ แต่ที่บ้านเราน้ำจิ้มรสจัดกว่า เอาเป็นว่าลองเพื่อความสนุกสนาน สำหรับคืนนี้ท้องอิ่มแล้วขอตัวไปพักผ่อนกันก่อนค่ะ

เช้าวันที่ 4

สำหรับโปรแกรมเที่ยววันนี้ค่อนข้างสบายๆเราจะยืมจักรยานของทางโรงแรมไปขี่เล่นชมเมืองเสียมเรียบกันซึ่งทางโรงแรมก็มีบริการให้ฟรี หลังจากตื่นนอนทานอาหารเช้าแล้ว สัก 10 โมงเช้าได้ชะนีแคระและผองเพื่อนก็พร้อมสำหรับการออกเดินทาง


ดูถนนที่เมืองเสียมเรียบบางส่วนยังเป็นดินแดงอยู่เลย


พร้อมมาก
 การขี่จักรยานที่เมืองเสียมเรียบก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือน่ากลัวอย่างที่คิด เราขี่จักรยานออกไปนอกเมืองกันสักนิดประมาณ 40 นาทีได้เพื่อไปชมวัด Wat Thmei วัดนี้จะอยู่ใก้ลกับทางเข้าพระนครวัด จุดเด่นของวัดนี้คือมีการสร้างสถูปเพื่อรวบรวมหัวกระโหลกของเหล่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสงครามคอมมิวนิสต์ของฝ่ายเขมรแดง



มีการสร้างสถูปเพื่อให้เหล่าดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตสงบสุข

ภาพหัวกะโหลก และโครงกระดูกของผู้เสียชีวิต
 บรรยากาศภายในวัดก็ร่มรื่นดี รอบๆสถูปก็จะมีป้ายบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์สงครามกลางเมือง ประวัติ เหตุการณ์การทำลายฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุของฝ่ายเขมรแดง และการสูญเสียของประชาชนชาวเขมร ชะนีแคระอ่านแล้วก็เศร้าใจแทบจะทุกจังหวัดทุกตารางพื้นที่ในกัมพูชามีประชาชนมากมายที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามครั้งนี้ พักจากเรื่องหดหู่กันบ้างเดี่ยวเราขี่จักรยานกลับไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกอร์กัน เราก็ย้อนกลับเข้าตัวเมืองเสียมเรียบกันอีกครั้ง


พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกอร์ (Angkor National Museum) ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้มีการรวบรวมโบราณวัตถุ รูปปั้นต่างๆที่มีการขุดค้นพบในเมืองนครวัด นครธม นครเขมรโบราณ ในยุคศตวรรษที่ 9-14 ตลอดจนมีการรวบรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มรดก และวัฒนธรรมโดยการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรื่องของอาณาจักรขอมโบราณในแต่ละยุคแต่ละสมัย


ภายในอาคารที่จัดแสดง
การเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกอร์ต้องเสียค่าเข้า ผู้ใหญ่ตกคนละ 12 ดอลล่าร์ และห้ามถ่ายในรูปภายใน ดังนั้นชะนีแคระก็ไม่สามารถนำภาพมาฝากท่านผู้อ่านได้  สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30 -18.00 น.


องค์เจ็ก องค์จอม

 ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกอร์ เราจะไปกราบไหว้ศาลหลักเมืองของเสียมเรียบเพื่อไปไหว้องค์เจ็ก กับองค์จอม ทั้งสองป็นพระพุทธรูป และสิ่งศักด์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเสียมเรียบ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวล้วนมากราบไหว้ขอพรกัน ตามประวัติเล่าว่า องค์เจ็กกับองค์จอมเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก วันหนึ่งหลังจากที่ทั้งสองกลับมาจากทำบุญก็หลับไปและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย บิดาและมารดามีความอาลัยรักต่อบุตรสาวทั้งสองก็เลยได้สร้างพระพุทธรูป 2 องค์ขึ้น องค์ใหญ่เรียกองค์เจ๊ก และองค์เล็กเรียกองค์จอม ตั้งแต่นั้นพระพุทธรูปทั้งสองก็ได้กลายเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวเสียมเรียบเป็นต้นมา


รถเข็นขายแซนด์วิชเขมรเรียกว่า ปาเต่
หลังจากกราบไหว้ขอพรองค์เจ็ก กับองค์จอมเรียบร้อย ชะนีแคระเหลือบไปเห็นรถเข็นขายแซนด์วิชเขมรของโปรดอยู่หน้าศาลหลักเมืองพอดี ปั่นจักรยานมาหิวๆจัดไปคนละ 2 ชิ้น ชิ้นละ 2,000 เรียล อิ่มสบายท้องและสบายกระเป๋า อิ่มแล้วปั่นจักรยานไปเที่ยวกันต่อ เราจะแวะไปเที่ยวที่ตลาดซาจ๊ะ (Psar Chaa ) ที่ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดเก่าแก่ ขายพวกของฝากของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว  ของขายก็มีมากมายหลายสิ่งไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหารสด อาหารแห้ง เครื่องเงิน อัญมณีถ้ามีเวลาอย่าลืมแวะมาเที่ยวหาซื้อของฝากกลับบ้านกัน รับรองของที่นี่ราคาไม่แพงมากแต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคการต่อราคาของแต่ละคนกันนะ  ที่สำคัญที่ตลาดซาจ๊ะพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่มีแบงค์ไทยทอนนะคะไม่ต้องกลัวว่าหากมาหาซื้อของวันสุดท้ายเงินดอลล่าร์ที่แลกมาไม่พอก็ใช้เงินไทยได้เลยค่ะ

ตลาดซาจ๊ะ ตลาดเก่าแก่ของเสียมเรียบ

เอกลักษณ์เด่นอีกอย่างของตลาดซาจ๊ะ ก็คือตึกรามบ้านช่องในตลาดเก่าแห่งนี้เป็นสไตล์โคโลเนียล สร้างตั้งแต่สมัยที่กัมพูชายังเป็นอาณานิคมเก่าของฝรั่งเศส ตัวตึกและอาคารผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกประยุกต์เข้ากับศิลปะท้องถิ่น นับว่าตลาดซาจ๊ะยังคงมีกลิ่นอายของฝรั่งเศสอยู่ทีเดียว

อาคาตึกสร้างสไตล์โคโลเนียลสีสันสดใส

ของฝากและของที่ระลึก

กุนเชียง และปลาแห้งเขมร

พี่ฝรั่งมาขายไอศกรีมด้วย

ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่าแล้ว เราแวะกลับโรงแรมเอาจักรยานมาคืนกับทางโรงแรม แวะเข้ามาอาบน้ำแต่งตัวก่อนออกไปตลาดกลางคืนหาของกินกัน คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่ที่เสียมเรียบ ชะนีแคระขอแนะนำอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อมาเสียมเรียบท่านผู้อ่านควรลองมาแวะนวดเท้ากันหน่อย ที่เสียมเรียบทีนี่มีร้านนวดสปามากมายเปิดบริการเอาใจนักท่องเที่ยวยิ่งนวดเท้าแล้วได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะนักท่องเที่ยวต้องเดินชมปราสาทขอมกันทั้งวันคงจะเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก โดยอย่างวันนี้ชะนีแคระปั่นจักรยานกันทั้งวัน เมื่อยเท้าและปวดน่องเป็นอย่างมากไหนๆวันนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วก่อนกลับบ้านต้องลองสักหน่อย 

นวดเท้า Foot Massage

หลังจากชะนีแคระได้ลองนวดเท้าดูแล้ว รู้สึกว่าการนวดเขมรจะเน้นเบาๆสบายๆ ไม่เน้นท่ายากเท่ากับการนวดแผนไทย ยังไงก็แวะมาลองดูกัน ราคาไม่แพงมากก็ตก 3-4 ดอลล่าร์ต่อชม.สำหรับค่ำคืนนี้หาของกินนั่งดื่มแถวๆตลาดกลางคืนเหมือนเช่นเคย

วันที่ห้า 
สำหรับวันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพราะต้องตื่นมาจัดการเก็บข้าวของแพ็คกระเป๋ากันเพราะเมื่อคืนกลับดึก และเตรียมเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก่อนกลับกรุงเทพฯ  ชะนีแคระได้แจ้งให้ทางโรงแรมเรียกรถตุ๊กๆให้ไปส่งที่สนานบินเสียมเรียบก็ราคา 3 ดอลล่าร์

สนามบินนานาชาติเสียมเรียบ

พี่คนขับพามาส่งถึงที่สนามบินราว 15-20 นาทีได้


ทุกเที่ยวบินมีแต่รอยยิ้ม
เตรียมขึ้นเครื่องก่อนกลับบ้านกับสายการบินหางแดง ทุกเที่ยวบินมีแต่รอยยิ้ม

เสียมเรียบ
การเดินทางทริปกัมพูชาครั้งนี้จบลง ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ได้มาผจญภัยที่นี่ชะนีแคระมีความรู้สึกประทับใจในหลายๆอย่างไม่ว่าจะน้ำใจและรอยยิ้มของผู้คนชาวเขมร โบราณสถาน วัฒนธรรมและศิลปะขอมโบราณ ถึงใครหลายๆคนอาจจะคิดว่ากัมพูชาก็ไม่มีอะไรมาก ดูล้าสมัย สกปรกและดูยากจน แต่สำหรับชะนีแคระแล้วการที่ได้เห็นชีวิตผู้คนในอีกมุมมองหนึ่งมันกลับเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศใกล้ๆเพื่อนบ้านเรานี่มันทำให้เรานึกย้อนกลับไปถึงเมืองไทยเมื่อหลายสิบยี่สิบก่อน ชะนีแคระหวังว่ารีวิวทั้งสองตอนทั้งตอนพาเที่ยวที่กรุงพนมเปญ และเสียมเรียบคงจะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวต่อท่านผู้อ่านกันนะคะ  สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกการติดตามสำหรับตอนหน้าชะนีแคระจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวมหานครนิวยอร์ก (New York) มหานครเอกของโลก ประเทศสหรัฐอเมริกากันค่ะ