สวัสดีค่ะแฟนๆที่รักทุกท่าน ชะนีแคระกลับมาอีกแล้ว วันนี้จะพาไปเที่ยวนิวยอร์ก (New york) เมืองมหานครเอกของโลกกัน นิวยอร์กเป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคนรวมทั้งชะนีแคระด้วยฝันว่าสักวันหนึ่งต้องมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง อีกอย่างสำหรับทริปนี้ชะนีแคระก็ตั้งใจพาครอบครัวไปเที่ยวและก็ไปเยี่ยมเพื่อนสนิทด้วยซึ่งเรามีเวลาเที่ยว 7 วันสบายๆรับรองว่าสามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆพาแฟนๆได้เทีี่ยวครบจุใจแน่นอน
นิวยอร์ก (New York) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นิวยอร์กซิตี้ แล้วมีหลายๆคนเรียกนิวยอร์กว่า Big apple ก็ได้เพราะสภาพภูมิประเทศคล้ายผลแอปเปิล นิวยอร์กนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นมหานครศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน สังคม วัฒนธรรมและการบันเทิงของโลก
สำหรับชาวไทยที่ต้องการจะเดินทางไปเที่ยวที่นิวยอร์กต้องขอวีซ่าอเมริกาก่อน สำหรับวิธีการขอไม่ยุ่งยากลองหาดูรายละเอียดได้ มีหลายเว๊บไซต์ที่เขียนรีวิวขั้นตอนการเตรียมตัว การเตรียมเอกสารไว้พร้อมรวมทั้งแนะนำการสัมภาษณ์ไว้ด้วย เพื่อนๆที่สนใจลองหาข้อมูลได้ ยิ่งเป็นชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสยิ่งง่ายขึ้นไปอีก ถ้ายิ่งมีการ์ดเดอเซจู 10 ปี ยิ่งสบายเลยนะ สามารถขอได้ที่ Ambrassade et consulats des Etats- unisโดยเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์
https://travel.state.gov/content/visas/en.html และลงทะเบียนสร้างแบบฟอร์ม DS-160 ลงรูปและกรอกข้อมูลส่วนตัว ให้เรียบร้อย ชะนีแคระแปะลิงก์ไว้ให้แล้วนะคะ
https://ceac.state.gov/genniv/ รับรองว่าไม่ยากแค่กรอกข้อมูลตามความเป็นจริงกับเตรียมเอกสารให้พร้อมคุณๆก็จะได้วีซ่าท่องเที่ยว 10 ปีแน่นอนค่ะ
การเดินทาง
สำหรับชะนีีแคระเดินทางช่วงปลายเดือนพฤษภาคม อากาศกำลังสบายๆ เราเดินทางไปกลับกับสายการบินแอร์ฟรานซ์ บินตรงจากปารีสมุ่งสู่สนามบินนานาชาติ John F. Kennedy ใช้เวลาเดินทางราวๆ 6 ชม. กว่าก็มาถึงแล้วนะ ซึ่งตอนที่ชะนีแคระจองตั๋วไปนั้นตกคนละ 497.5 ยูโร ตกเป็นเงินไทยประมาณ19,900 บาท
|
เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ |
สำหรับการเดินทางภายในนิวยอร์ก ส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้บริการรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า
Subway กัน ตั๋วค่าเดินทางนับเป็นเที่ยวละ 2.75 ดอลล่าร์ สามารถใช้กับรถไฟใต้ดินก็ได้หรือรถเมล์ก็ได้ ชะนีแคระแนะนำว่าถ้าใครมาเที่ยวในนิวยอร์กไม่กี่วัน ยิ่งมาช่วงอากาศดีๆสบายๆเน้นเดินเท้าเป็็นหลักก็ใช้วิธีซื้อบัตร Metrocard แล้วเติมเงินครั้งแรกประมาณสัก 20 ดอลล่าร์บวกกับค่าบัตรอีก 1 ดอลล่าร์ ถ้าเราใช้พวกรถไฟใต้ดิน รถเมล์ มันก็จะตัดเงินในบัตรไปเรื่อยๆซึ่งตกเที่ยวละ 2.50 ดอลล่าร์ หมดก็ค่อยๆเติมเงินเอา แต่ว่าใครที่คิดว่าขี้เกียจเดินแล้วจะต้องอยู่ในนิวยอร์ค 7 วันก็สามารถซื้อตั๋วแบบ 7 days unlimited แบบไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ราคา 33 ดอลล่าร์ (32 $+1 $ ค่าบัตร) รับรองว่าคุ้มแน่นอน
โรงแรมและที่พัก
|
Off soho suite hotel |
ชะนีแคระพักที่โรงแรม
Off soho suite hotel ในแมนฮัตตัน ย่าน Lower east side ในทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมดด้วยกัน 3 คนก็เลยจองเป็นห้องพัก 1 ห้องนอน แล้วเป็นห้องรับแขกมีโซฟาที่สามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ แล้วก็มีห้องน้ำ และห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ไว้ทำอาหารทานได้ ซึ่งตกคืนละ 258 ยูโร ตกเป็นเงินไทยราวๆ 10,300 บาทต่อคืน เฉลี่ยคนละ 3,400 บาทต่อคืน
|
Lobby โรงแรม |
|
ห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง (ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เน็ต) |
|
ห้องรับแขกที่มีโซฟาปรับเป็็นเตียงนอนได้ |
|
ห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ |
|
ห้องน้ำ (รูปจากอินเตอร์เน็ต) |
ชะนีแคระคิดว่าที่พักโรงแรมนี้ก็สะอาด ไม่แพง และก็เดินทางสะดวกมี Subway ใกล้ๆและไม่ไกลจากย่าน Chinatown , Little italy และย่าน Soho สามารถเดินถึงได้ ที่สำคัญมี Wifi ฟรีค่ะ ถ้าสนใจก็ลองเข้าจองกันได้ เหมือนเช่นเคยชะนีแคระไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด
สิ่งที่ควรรู้ในนิวยอร์ก
กฏการให้ทิป
การให้ทิปในอเมริกาถือเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งนะ ฟังดูแล้วเหมือนเราจะคิดว่าการบริการนั้นอยู่ที่ความพอใจ ถ้าเราไม่ถูกใจทำไมฉันจะต้องจ่ายทิปให้ด้วย แต่ว่าที่อเมริกาการใช้บริการนี่คุณต้องให้ทิปนะ เพราะพนักงานเค้าได้เงินเดือนน้อย อยู่ได้ด้วยทิป ดังนั้นชะนีแคระจะมาบอกว่าเราควรให้ทิปอย่างไรถึงจะไม่ถูกพนักงานมองด้วยหางตาบ้าง ก่นด่าตามมาทีหลัง หรือโดนพนักงานมาทวงว่าเราลืมให้ทิปสร้างความอับอายให้อีก ดังนั้นชะนีแคระสรุปมาให้คร่าวๆดังนี้
- การใช้บริการแท็กซี่ คุณควรจะต้องให้ทิป 10-15 % เช่น ถ้าค่าโดยสาร 60 ดอลล่าร์ คุณก็ควรจ่ายค่าทิปเพิ่มไปด้วย 66 -70 ดอลล่าร์ เป็นต้น
- การทานอาหารในร้านอาหาร บางทีต้องดูในใบเสร็จว่ามันรวมค่าบริการมาแล้วหรือยัง ถ้ายังต้องบวกค่าทิป15-20 % เช่นค่าอาหาร 100 ดอลล่าร์ คุณก็ต้องจ่าย 115 -120 ดอลล่าร์
- โรงแรมที่พัก ถ้ามีแม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง คุณต้องวางค่าทิปให้แม่บ้าน 2-4 ดอลล่าร์ต่อคืนที่คุณพัก แล้วคุณจะพบว่าห้องคุณจะสะอาดใหม่ มันแตกต่างจากการที่คุณไม่ให้ทิปยังไง
- มีพนักงานยกกระเป๋าให้ คุณควรให้ทิป 2 ดอลล่าร์ ต่อกระเป๋า ถ้าเข็นเป็นรถเข็นเลยก็ 5 ดอลล่าร์
-ถ้าไปนั่งดิ่ม แล้วมีบาร์เทนเดอร์ ชงเครื่องดื่ม มาให้คุณต้องจ่ายทริป 10-15%
วันที่ 1
|
ภายในรถไฟใต้ดิน Subway |
เราเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติ John F. Kennedy ก็เกือบบ่ายสองโมงเย็นกว่าแล้วกว่าจะผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาก็ใช้เวลานานมากเพราะช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ในใจก็ระทึกไปด้วยว่าเค้าจะให้เข้าประเทศหรือเปล่าเอาเป็นว่าทั้งกรุ๊ปผ่านมาได้ด้วยดี เราก็เดินทางเข้าตัวสู่เมืองนิวยอร์กด้วย Air train แล้วก็ไปต่อ Subway ใช้เวลาเกือบ 3 ชม.กว่าจะถึงที่พักเพราะวันที่มาถึงเป็นวันอาทิตย์รถไฟวิ่งน้อย เสียเวลาคอยนานมากและก็เหนื่อยมาก บอกเลยว่าพูดถึงเรื่องการเดินทางชะนีแคระแนะนำว่า ถ้ามากันหลายๆคน มีกระเป๋าสัมภาระกัน เรียกใช้บริการแท็กซี่จะคุ้มกว่านะ เพราะเรียกแท็กซี่จากสนามบินเข้าตัวเมืองมันไม่แพงอย่างที่คิด ถ้าแชร์หลายๆคน ค่าเดินทางมันจะถูก ราคาแท็กซี่จากสนามบินเข้าตัวเมืองนิวยอร์กประมาณ60 กว่าดอลล่าร์ บวกทิปอีก 10-15% ก็ตก 70 กว่าดอลล่าร์เองแลกกับความรวดเร็วและความสะดวกสบาย
|
ถนนแถวๆที่พัก |
สรุปกว่าทั้งกรุ๊ปจะมาถึงที่พักโรงแรม กว่าจะเช็คอิน รอเพื่อนสาวมาหาที่พักก็ทุ่มกว่า คืนนี้เราทุกคนเหนื่อยมากตัดสินใจออกมาทานอาหารเย็นแถวๆที่พัก เพื่อนสาวเจ้าบ้านนางเลยพามาทานอาหารสไตล์ฟิวชั่นสำหรับมื้อแรกในนิวยอร์ก
|
อันนี้เรียกอะไรไม่รู้เพื่อนสาวสั่งให้แต่อร่อยดี |
|
ข้าวผัดอะไรสักอย่าง
|
|
แฮมเบอร์เกอร์เนื้อ เสริฟพร้อมมันฝรั่งทอด และสลัดผัก |
คืนนี้อิ่มไปอีกมื้อ หลังจากท้องอิ่มแล้วเราก็ได้ล่ำลาแยกทางกับเพื่อนสาวเจ้าบ้าน ชะนีแคระกับเดอะแก็งค์ก็กลับที่พักและหลับเป็นตายยอมรับจริงๆว่าเหนื่อยมาก คืนนี้ขอนอนหลับเอาแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ดีกว่า
วันที่ 2
วันนี้ชะนีแคระกับครอบครัวตื่นกันแต่เช้า อาจจะเพราะเมื่อคืนเรานอนหลับกันเต็มที่ประกอบกับตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะวันนี้จะเป็นวันแรกที่เราจะเริ่มเที่ยวในนิวยอร์กกัน วันนี้การเที่ยวของเราจะเน้นเดินเท้าไปเรื่อยๆตามถนน
Fifth Avenue เป็นหลัก
|
ตามตัวตึกในย่านแถว Soho |
ตัวอาคารตึกต่างๆในย่าน Soho จะมีบันไดหนีไฟอยู่ด้านนอกตัวอาคารนับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวที่นิวยอร์กที่นักท่องเที่ยวจะต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึก
|
ตัวถนน Fifth Avenue ถนนแห่งการชอปปิงที่มีแบรนด์เนมสุดหรูมากมาย
|
|
Union Square |
เดินผ่าน
Union Square ย่านชอปปิงหรูใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์รวมแฟชั่น ห้างสรรพสินค้า ร้านหรูบูติคต่างๆมากมาย วันนี้โชคดีมีตลาดนัดด้วย ชะนีแคระไม่พลาดแวะถ่ายรูปมาให้ชมกันนะคะ
|
ตลาดนัดย่าน Union Square |
|
ผลไม้สดๆ |
|
ตึก Emprie State อยู่ด้านหลัง |
ตึก Flatiron อีกหนึ่งแลนมาร์คสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาหยุดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันกับเจ้าตึกทรงเตารีดนั่นเอง
|
ตึก Flatiron เจ้าตึกเตารีด |
เดินเล่นกันต่อไปเรื่อยๆจนถึง
ห้างสรรพสินค้า Macy's ห้างเก่าแก่ใจกลางแมนฮัตตัน ภายในห้างดาวแดงก็มีสินค้าแบรนด์เนมมากมายอารมณ์คล้ายๆกับห้างเซ็นทรัลบ้านเรานี่หละค่ะ
|
ห้างสรรพสินค้า Macy's |
หลังจากชะนีแคระกับครอบครัวแวะชอปปิงกันเล็กน้อยที่ห้าง Macy's เราก็เดินย้อนกลับมาแถวสวนสาธารณะ Madison square อีกครั้ง
|
Madison square Park |
|
สวนสาธารณะ Madison Square |
เดี๋ยวเราแวะทานอาหารกลางวันกันแถวๆนี้ ชะนีแคระแนะนำร้านนี้เลย Eisenberg's Sandwich แซนด์วิชสไตล์อเมริกัน ร้านนี้ค่อนข้างเก่าแก่เปิดมานานตั้งแต่ปีคศ. 1929 ดารามาแวะทานกันเพียบเลยดูจากรูปที่ติดไปทั่วร้าน
|
ร้าน Eisenberg's Sandwich |
|
Hot Pastrami ของเรามาแล้ว |
มื้อนี้ไม่แพงมากแซนด์วิชรวมน้ำดื่มตกคนละ 12 ดอลล่าร์ กว่าๆเอง ท้องอิ่มเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ
|
นิวยอร์กก็มี 7- Eleven นะ
|
Time square (ไทม์สแควร์) ย่านธุรกิจดังของมหานครนิวยอร์ก เป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกหนึ่งอย่างของการมาเที่ยวที่นิวยอร์ก ที่นี่ถือเป็นตัวแทนที่บอกว่า New york city .......the city that never sleeps !!! นิวยอร์ก เมืองที่ไม่เคยหลับไหล เมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งความบันเทิง ที่ไทม์สแควร์มีโรงละครบรอดเวย์ (Broadway) มากมาย ร้านค้าร้านอาหาร มีป้ายโฆษณายักษ์ใหญ่ประดับด้วยไฟนีออนรายล้อมไปหมด และที่นี่ยังถึือเป็นสถานที่จัดงานนับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่โด่งดัังไปทั่วโลกอีกด้วย
|
ไทม์สแควร์ มีแต่ป้ายไฟยักษ์โฆษณาด้วยไฟนีออนเต็มไปหมด |
|
สีสันแห่งมหานครนิวยอร์ก |
|
รถแท็กซี่สีเหลือง สัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างของนิวยอร์ก |
|
สถานที่จัดงานนับถอยหลังปีใหม่ที่โด่งดังไปทั่วโลก
|
สำหรับการเดินทางมาที่ไทม์สแควร์นั้นสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย N/Q/R, S, 1/2/3,7 ลงที่สถานี Time sq-42nd st. เราก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆก็มาแวะที่
The Grand central Terminal ศูนย์กลางการเดินทางเชื่อมต่อด้วยรถไฟต่างๆและเชื่อมกับรถไฟใต้ดินอีกด้วย ที่นี่ก็เปรียบเสมือนหัวลำโพงบ้านเรานี่ละค่ะ ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในฉากสำคัญๆของซีรี่ย์ดังๆ ภาพยนต์ฮอลลีวูดมากมายหลายเรื่อง
|
The Grand central Terminal |
|
ศูนย์กลางสถานีรถไฟ |
ไม่ไกลจาก The Grand central Terminal ก็เจอเจ้าตึกทรงสวยนี่เลยค่ะ
Chrysler Building (ตึกไครสเลอร์) เป็นหนึ่งในอาคารก่อสร้างที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของนิวยอร์ก ตึกไครสเสอร์เคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกมาก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับตึกเอ็มไพร์สเตต
|
ตึกไครสเลอร์ (Chrysler Building)
|
เรายังคงเดินต่อเนีื่องเรื่อยๆบนถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ถนนสาย 5 th Avenue ถนนสายแห่งการชอปปิง เรามาแวะที่
St. Patrick's Cathedral (มหาวิหารเซนต์แพททริค)มหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยคศ. ที่ 19 ด้วยสไตล์สถาปัตยกรรมนีโอโกธิคที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
|
ภายในมหาวิหาร |
|
มีการประดับประดาไปด้วยกระจกสีมากมาย |
|
มหาวิหารเซนต์แพทริค |
มหาวิหารเซนต์แพทริคเปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30 -20.45 น. เดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย B/D/F/M ลงที่สถานี 47 Th -50 Th St. Rockefeller
|
Le Rockefeller center |
ใกล้ๆกันนั้นแค่ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิหารเซนต์แพทริคก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งตึก
Rockefeller center เป็นศูนย์รวมเหล่าอาคารพาณิชย์ แหล่งธุรกิจและรวมความบันเทิง ซึ่งถูกสร้างขึ้นในคศที่. 19 แล้ว เราสามารถขึ้นไปชมจุดชมวิวดูเมืองนิวยอร์คได้ถึง 360 องศาได้ที่ตึก Top of the rock ด้วยซึ่งเดี๋ยวชะนีแคระจะพาขึ้นไปชมวิวเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันในวันหลังๆแล้วกัน วันนี้ก็แค่เดินเล่นเก็บภาพมาให้ชมคร่าวๆกันก่อนนะคะ
|
ตัวอาคารถึง Top of the rock |
|
ทางเข้าตัวตึก |
|
ลานน้ำพุหน้าตึกTop of the rock ซึ่งถ้าเป็นฤดูหนาวจะทำเป็นลานเสก็ตน้ำแข็ง |
เปิดทำการทุกวัน สามารถเดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย B/D/F/M ลงที่สถานี 47 Th -50 Th St. Rockefeller Center
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นกว่าแล้ว หลังจากทั้งกรุ๊ปปรึกษากันแล้วว่าเราจะไปไหนกันต่อดี เราก็ลงประชามติว่าเราจะขึ้นไปชมวิวเมืองนิวยอร์กตอนพระอาทิตย์ตกดินที่ตึกเอ็มไพร์สเสตตกัน Emprie State Building (ตึกเอ็มไพร์สเตต) เป็นตึกระฟ้าที่มีชื่อเสียงของโลกและเคยเป็นตึกที่เคยสุงที่สุดในโลกมาก่อน โดยมีความสูงทั้งหมด 102 ชั้น ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1929 และแล้วเสร็จภายในปีคศ. 1931 เราสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพของเมืองนิวยอร์กได้ ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกถ้าแวะมาเมืองนิวยอร์กต้องไม่พลาดมาแวะชมวิวที่ตึกนี้กัน นอกจากนี้ตึกเอ็มไพร์สเตตยังเป็นฉากหนึ่งในภาพยนต์ดังเรื่อง King kong ด้วย
|
แบบจำลองตัวตึกเอ็มไพร์สเตต |
|
เดี่ยวเราจะขึ้นลิฟต์ไปชมวิวที่ชั้น 86 นะตอนนี้ชั้น 77 แล้ว
|
|
ตัวตึกเอ็มไพร์สเตตเคยเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง King Kong
วิวเมืองนิวยอร์กมุมนี้มองเห็นตึก Flatiron , One world trade center และ เทพีเสรีภาพอยู่ลิบๆ
|
|
|
เสาอากาศ ฉากสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง King kong |
|
มุมนี้มองเห็นตึกไครสเลอร์ด้วย |
|
มหานครนิวยอร์กยามพระอาทิตย์ตกดิน |
สำหรับผู้ที่สนใจที่จะซื้อบัตรขึ้นไปชมวิวบนตึกเอ็มไพร์สเตต ราคาบัตรมีดังนี้ ถ้าชมแค่ชั้น 86 ราคา บัตรผู้ใหญ่ 36 $ บัตรผู้สูงอายุ 34 $ และบัตรเด็ก 30$ ส่วนจะเข้าชมชั้นที่ 102 (ซึ่งสามารถเข้าชมชั้น 86 ได้ด้วย) ราคา บัตรผู้ใหญ่ 56 $ บัตรผู้สูงอายุ 54 $ และบัตรเด็ก 50$ ตึกเอ็มไพร์สเสตตเปิดให้ขึ้นชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -02.00 น. เราสามารถเดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย B/D/F/M , N/Q/R ลงที่สถานี 34 Th- St. Herald Sq.
|
รถไฟใต้ดิน ที่เรียกว่า Subway |
ตอนนี้ได้เวลาเกือบทุ่มครึ่งกว่าแล้ว ตอนนี้ชาวคณะเหนื่อยมากเพราะเดินเท้ามาตั้งแต่เช้าดังนั้นก็ขอขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปหาข้าวเย็นทานแถวๆโรงแรมกันดีกว่า คืนนี้เรามาเดินเล่นแถวๆ
Little Italy ซึ่งไม่ไกลจากโรงแรมเดินแค่ 10 นาทีก็ถึง
|
Little Italy |
ในย่านนี้ก็จะมีร้านอาหารอิตาเลียนมากมายหลายร้าน เราเลือกมา 1 ร้าน ดูจากเห็นมีคนเยอะๆก็คิดว่าคงจะอร่อย
|
มีร้านอาหารอิตาเลียนให้เลือกมากมาย |
|
เป็นครัวเปิด |
|
Pizza หน้าแฮมกับพริกหยวก |
|
สปาเก็ตตี้ไก่ซอสเห็ดพริกไทยดำ |
รสชาติอาหารก็ใช้ได้ สรุปมื้อนี้เสียค่าเสียหายตกคนละ 20 $ กว่าๆ รวมอาหารและเครื่องดื่ม หลังจากอิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรมไปพักผ่อน คืนนี้ชะนีแคระเมื่อยขามากคงหลับเป็นตายแน่นอน
วันที่ 3
|
Metropolitan Museum of Art |
เช้าวันนี้ฝนตกค่ะ โปรแกรมที่เราเตรียมมาก็ต้องถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของฟ้าฝนดังนั้นการค่าเวลาที่ดีสุดในช่วงฝนตกก็คงไม่มีอะไรดีเท่ากับการแวะชมพิพิธภัณฑ์นั่นเอง ดังนั้นเช้านี้เราจะเดินทางไปเที่ยว Metropolitan Museum of Art (พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน) หรือเรียกอีกชื่อว่า The Met นั่นเอง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 1870 และมีการจัดแสดงงานศิลปะตั้งแต่ยุคคลาสิกโบราณ ศิลปะอียิปต์โบราณ จิตรกรรมและประติมากรรมของจิตกรชั้นครู ยังมีการจัดแสดงงานศิลปะ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่งดนตรีจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย
|
ภายในทางเข้าตัวพิพิธภัณฑ์ |
|
โซนจัดแสดงภาพวาดสมัยศิลปะยุคคลาสิก |
|
มีการแสดงปะติมากรรมสไตล์ยุโรป |
|
ภาพวาดของจิตกรชื่อดังก้องโลก Vincent Van gogh |
|
ภาพเขียนสไตล์ Impressionism ของจิตกรชื่อดังชาวฝรั่งเศส Claude Monet
|
|
ศิลปะในสมัยเมโสโปเตเมีย |
|
เทวรูปในศาสนาฮินดู |
|
พระพุทธรูปจีน |
|
ศิลปะอียิปต์โบราณ |
|
ภาพวาดสีสมัยอียิปต์โบราณ |
|
รูปปั้นสมัยอียิปต์โบราณ |
|
โลงเก็บมัมมี่พร้อมภาพวาดวิจิตร |
|
มัมมี่ |
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเช้าชมได้ทุกวัน โดยวันอาทิตย์- วันพฤหัสบดี จะเปิดตั้งแต่เวลา 10.00- 17.30 น. ส่วนวันศุกร์ และเสาร์จะเปิดตั้งแต่ 10.00 -21.00 น. ส่วนค่าเข้าฟรี แต่ช่วยบริจาคแล้วแต่จิตศรัทธา
สามารถเดินทางมาด้วยรถไฟใต้ดินสาย 4/5/6 ลงที่สถานี 86 Th. St.
|
Chinatown |
หลังจากเราใช้เวลาอยู่ใน The Met เกือบ 3 ชั่วโมงกว่าๆแล้วชาวคณะก็ตัดสินใจจะไปเดินเล่นแถวๆย่าน
Soho กับ Chinatown เดี๋ยวเราจะไปทานข้าวเที่ยงกันเปลี่ยนรสชาติกันบ้าง
|
มีร้านค้า ร้านอาหารจีนเต็มไปหมด |
|
ล็อบสเตอร์สดๆ |
|
ตัวอาคารตึกมีบันไดตัวหนอนหนีไฟเป็นเสนห์อีกแบบ
|
|
ชาวจีนนั่งเล่นหมากรุกจีนกัน |
|
มีแต่ชาวจีนเต็มไปหมดย่านนี้ |
ด้วยความหิวจัดชะนีแคระลืมถ่ายรููปรีวิวอาหารให้ แต่ทานอาหารแถวๆนี้ราคาไม่แพงแถมน่าจะถูกปากชาวไทยอย่างเรานะคะ อิ่มกันแล้วก็เที่ยวต่อกันเลย เราก็ยังคงจะเดินเท้าไปเรื่อยๆ ไปย่าน
Lower Manhattan และ Financial District กัน
|
โบสถ์ทรินิตีบนถนนสายวอลสตรีต |
เราเดินเรื่อยๆจนมาถึง
ถนน Wall Street (วอลสตรีต)ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายเก่าแก่ของนิวยอร์ก และเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการเงินของโลก ยังเป็นที่ตั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กอันโด่งดังไปทั่วโลกด้วย
|
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ศูนย์กลางการเงินของโลก |
|
ตึกพี่ Trump |
บนถนน Wall street ก็ยังมีสัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างที่หากมาเดินที่ถนนเส้นนี้แล้วนักท่องเที่ยวต้องหยุดแวะถ่ายรูปกันก็คือ
เจ้า Charing Bull หรือรูปหล่อเจ้ากระทิงดุ เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวนิวยอร์กในช่วงที่ตลาดหุ้น (Dow Jones)ของสหรัฐอมริกาดิ่งเหวอย่างหนักในช่วงปี 1987 และเค้าว่ากันว่าถ้าใครได้มาลูบเจ้าตัวกระทิงตัวนี้ โดยเฉพาะลูบไข่ของมันแล้วจะมีแต่ความโชคดีและความร่ำรวย
|
Charing bull กระทิงดุแห่งวอลสตรีต |
|
ลูบไข่เจ้ากระทิงดุจะได้รวยและโชคดี |
หลังจากรอคิวถ่ายรูปกับเจ้ากระทิงดุนี่แล้วเราก็เดินเล่นต่อไปที่ Battery Park (สวนสาธารณะแบตเตอรี) สวนสาธารณะนี้ตั้งอยู่ตอนปลายของเกาะแมนฮัตตัน เราสามารถนั่งชมวิวอ่าวนิวยอร์กและดูพระอาทิตย์ตกดินได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดตั้งต้นนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเกาะ Ellis และเกาะ Liberty ที่ตั้งของรูปปั้นเทพีเสรีภาพอีกด้วย
|
Battery Park |
|
เจ้ากระรอกน้อยที่สวนแบตเตอรี |
|
มีน้ำพุเริงระบำด้วย |
|
นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวนิวยอร์ก |
|
มองเห็นเทพีเสรีภาพอยู่ลิบๆ |
|
เกาะ Ellis ที่ตั้งของด่านตรวจคนเข้าเมืองในอดีต |
เรานั่งเล่นชมพระอาทิตย์ตกดินลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางไปหาของกินก่อนกลับเข้าโรงแรม คืนนี้เราลองมาทานอาหารสไตล์ชาวนิวยอร์กแบบไม่ใช่นักท่องเที่ยวกันบ้าง แนะนำร้านนี้ค่ะ
B Bar &Grill cafe
|
B Bar & Grill Cafe |
|
บรรยากาศสบายๆ |
|
ส่วนใหญ่เป็นชาวนิวยอร์กมาทานอาหารกัน ที่ดูเป็นนักท่องเที่ยวก็กลุ่มชะนีแคระหละค่ะ |
|
สเต็กเนื้อเสริฟพร้อมเฟรนช์ฟรายส์ |
Fajitas อาหารเม็กซิกัน
อาหารอร่อย บรรยากาศดีเหมาะมาทานอาหารและนั่งดื่มพูดคุยกัน คืนนี้หมดค่าเสียหายตกคนละ 30 $ รวมค่าอาหาร และเครื่องดื่มนะคะ หลังจากทานอาหารเสร็จก็กลับโรงแรมไปพักเอาแรงเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 4
เช้านี้อากาศดีมาก ทั้งคณะเลยเลือกที่จะข้ามเฟอร์รี่เพื่อไปที่
Statue of Liberty & Ellis island เราจะข้ามไปเกาะ Liberty เพื่อที่จะไปเยี่ยมเทพีเสรีภาพ และเกาะ Ellis ที่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับคนที่จะเข้ามาสหรัฐอเมริกาในสมัยอดีตกัน วันนี้เราจึงย้อนกลับไปที่สวน Battery park เพื่อไปซื้อตั๋วเรือข้ามฝากกัน
|
Battery Park |
|
ที่ขายตั๋วเฟอร์รี่ |
สำหรับราคาตั๋วตกคนละ 18 $ แบ่งเป็นค่าข้ามฟากเฟอร์รี่ 14$ และค่า Audio Guide อีก 4$ ซึ่งเวลาที่เปิดขายตั๋วข้ามเฟอร์รี่จะเปิดตั้งแต่เวลา 09.30-17.30 น. สามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย 1 มาลงที่สถานี South Ferry หรือสาย 4/5 ลงที่สถานี Bowling green
|
ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็มารอขึ้นเรือเฟอรี่ |
การขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่นี่ก็มีการตรวจสิ่งของสัมภาระเหมือนกับการตรวจที่สนามบินเลย เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และเรือจะออกทุกๆ 20 นาที
|
เรือเฟอร์รี่ออกจากแมนฮัตตันแล้ว |
|
เห็นเทพีเสรีภาพอยู้ข้างหน้า |
|
เกาะ Ellis ด่านตรวจคนเข้าเมืองในอดีต |
เทพีเสรีภาพ ตั้งอยู่บนอ่าวนิวยอร์กบนเกาะ Liberty เทพีเสรีภาพเป็นของขวัญจากฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกันเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปีนั่นเอง โดยรูปปั้นเทพีเสรีภาพนั้นเป็นโลหะสำริด ออกแบบโดย กุฟสตาฟ ไอเฟล คนที่สร้างหอไอเฟลนั่นเองค่ะ
|
เทพีเสรีภาพมือขวาจะถือคบเพลิง มือซ้ายจะถึือคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา |
|
|
เทพีเสรีภาพมีสีเขียวอ่อน |
จริงๆแล้วเทพีเสรีภาพของจริงจะเป็นสีทองแดงเพราะทำมาจากสำริด แต่ที่เห็นเป็นสีเขียวในปัจจุบันนี้เป็นเพราะเกิดการออกซิเดชั่นหรือที่เรียกว่าทองแดงขึ้นสนิมนั่นเองค่ะ
|
เห็นเกาะแมนฮัตตันอยู่ด้านหลัง |
เรารอเรือเฟอร์รี่ข้ามไปส่งที่ Ellis Island(เกาะเอลลิส) กันต่อ เกาะเอลลิส เป็นเกาะที่มีความสำคัญของหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา คือที่นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์อพยพและด่านตรวจคนเข้าเมืองในช่วงปีคศ. 1892-1943 ภายหลังจากปีคศ. 1943 เกาะเอลลิสก็ได้ถูกปิดและศูนย์ผู้อพยพและด่านตรวจคนเข้าเมืองก็ถูกย้ายไปที่นิวยอร์กแทน และเปลี่ยนเกาะเอลลิสไปเป็นคุกกักขังนักโทษของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปีคศ. 1964 เกาะเอลลิสก็ถูกปิดและปล่อยทิ้งร้าง จนกระทั่งปีคศ.1990 เกาะเอลลิสก็ได้ถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ดั่งในปัจจุบัน
|
เกาะ Ellis |
|
เกาะ Ellis |
|
แสดงสัมภาระของผู้อพยพในอดีีต |
|
ห้องโถงที่ผู้อพยพต้องต่อคิวรอเรียกชื่อและตรวจเอกสาร |
|
เดินทางกลับสู่แมนฮัตตัน |
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่า ชาวคณะหิวข้าวกันมากเลยรีบขึ้นเรือเฟอร์รี่กลับเข้าฝั่งแมนฮัตตันแวะทานข้าวเที่ยงกันแบบง่ายๆเพื่อเติมพลังไปเที่ยวกันต่อ เป้าหมายต่อไปเราจะเดินทางไปที่ Central Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองนิวยอร์กกัน
|
Central park |
ที่นี่เป็นปอดสีเขียวให้กับชาวนิวยอร์กได้มาพักผ่อนทำกิจกรรม ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน ปิกนิกกัน ยิ่งตอนนี้อากาศดีทีเดียวคะ ฟ้าใสแดดเปรี้ยงแบบนี้ที่สวนสาธาณะแห่งนี้คึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
|
ถ้าหน้าหนาวบ่อน้ำแห่งนี้จะกลายเป็นลานน้ำแข็งให้คนมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกัน |
|
หนุ่มสาว และครอบครัวออกมาพายเรือกัน
|
|
ลานน้ำพุ Bethesda อันเป็นสัญลักษณ์ของ Central Park |
พอเห็นตรงน้ำพุแล้วนึกถึงฉากหนังในภาพยนตร์ไทยเรื่องกุมภาพันธ์ รวมทั้งยังเป็นฉากสำคัญๆของภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายๆเรื่องอีกด้วย เวลานึกถึงภาพยตร์ฮอลลีวูดชะนีแคระมักจะนึกถึงหนังเรื่อง Home alone 2 ทุกทีฉากที่เด็กน้อยตัวเอกของเรื่องหนีคนร้ายเข้ามาหลบใน Central Park
|
เจ้ากระรอกน้อยแวะมาทักทาย |
|
ฝูงนกเป็ดน้ำ |
สวนสาธารณะแห่งนี้เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00 -01.00 น.สำหรับการเดินทางสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี N/Q/R ลงที่สถานี 5th -59 Th St. หลังจากเราเดินเล่นและนั่งพักผ่อนสักพักในสวน Central Park ชะนีแคระดูนาฬิกาอีกทีตอนนี้ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว เย็นนี้เราตั้งใจกันว่าจะกลับไปอาคาร Rockefeller center อีกครั้งเพื่อจะขึ้นไปชมวิวเมืองนิวยอร์ก 360 องศาที่ตึก Top of the Rock กัน และจะเก็บภาพเมืองนิวยอร์กในตอนกลางคืนมาให้แฟนๆได้ชมกันค่ะ
|
ซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวด้านบนกันที่เคาเตอร์เซอวิสชั้นล่าง |
สำหรับท่านที่สนใจอยากจะซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวนั้น สามารถจองผ่านเว็บไซต์
https://www.topoftherocknyc.com/ แปะลิงก์ไว้ให้แล้วนะคะ หรือจะไปซื้อบัตรที่หน้าเคาร์เตอร์แบบชะนีแคระก็ได้ ส่วนราคานั้นมีให้เลือกหลายแบบ แต่ถ้าแบบคลาสสิกก็ขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 70 นะสามารถชมวิว 360 องศาได้ ราคาบัตรผู้ใหญ่ 34 $ ผู้สูงอายุ 32 $ และบัตรเด็ก 28 $
|
ตึกเอ็มไพร์สเตตตอนก่อนพระอาทิตย์ตก |
ชะนีแคระเลือกซื้อบัตรขึ้นมาบนตึกเวลา 06.15 PM.เราจะได้เห็นวิวนิวยอร์กตอนพระอาทิตย์ตกดิน และรอเห็นแสงสียามค่ำคืนกันนะ
|
เห็นตึก One world trade center ด้านหลัง |
|
มุมนี้เห็น Central Park |
|
พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว |
ตอนนี้ชะนีแคระรอไปร่วมชั่วโมงกว่าแล้วพระอาทิตย์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตก เริ่มเมื่อยแล้วหนาวแล้วค่ะ แต่ยังไงได้เสียเงินแล้วยังไงก็ต้องรอเพราะอยากได้ภาพสวยๆ
|
ตึกเอ็มไพร์สเตตกับตึก One world center
|
|
ตึกเอ็มไพร์สเตตกับตึก One world center
|
|
Night light in NYC |
|
แสงสียามค่ำคืน |
ตอนนี้ได้เวลาสองทุ่มกว่าแล้วค่ะ หลังจากยืนรอถ่ายรูปเป็นเวลาหลายชั่วโมงเริ่มหิวกันแล้วเอาเป็นว่าเราจะย้อนกลับไปกินข้าวแถวๆไทม์สแควร์กัน และก็จะได้ถ่ายรูปบรรยากาศยามค่ำคืนมาให้แฟนๆได้ชมกันอีกด้วย ชะนีแคระแนะนำที่ร้านนี้เลยค่ะ ร้าน
Virgils BBQ &BAR เป็นอาหารสไตล์อเมริกันเท็กซัส
|
ร้าน Virgils BBQ & BAR |
หมูอบ เสริฟพร้อมมันบดราดซอสน้ำเกรวี่ กับ สลัดโคลสลอว์
|
แฮมเบอร์เกอร์เนื้อ เสริฟพร้อมเฟรนช์ฟรายส์
|
สำหรับมื้อนี้ตกไปคนละ 30 กว่าดอลล่าร์ อาหารอร่อยบริการดีค่ะ ยังไงถ้ามีโอกาสแวะลองมาทานกันนะคะ ก่อนจะกลับโรงแรมชะนีแคระเก็บภาพบรรยากาศยามค่ำคืนแถวไทม์สแควร์มาฝากกันค่ะ
|
ย่านนี้รถติดมากเหมือนกรุงเทพฯ บ้านเราเลย |
|
ป้ายไฟนีออนสว่างไปทั่ว |
|
นักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ยามราตรี |
วันที่ 5
สำหรับสถานที่แรกของวันเริ่มต้นด้วยเราจะไปเดินเล่นสบายๆย่าน
Greenwich village เดิมเป็นหมู่บ้านของศิลปินโบฮีเมียน แต่ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นย่านชิคๆ เป็นที่ๆวัยรุ่นชอบมาพบปะสังสรรค์ใช้ชีวิต slow life กันนะ
|
ลานน้ำพุที่ Washington Square Park ตามรอยซีรีย์ดังเรื่อง Friend |
|
ร้านค้าย่าน Greenwich Village |
|
ย่าน Greenwich village จะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟน่ารักเต็มไปหมด
|
|
|
รถโรงเรียนสไตล์อเมริกัน |
สำหรับการเดินทาง สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E หรือ 1,2,3 และลงแถว 14 th St. หลังจากเดินเล่นแถวนี้ได้สักพักเดี๋ยวเราก็จะไปเที่ยวกันต่อที่ The high Line สวนสาธารณะลอยฟ้าของชาวนิวยอร์กกัน เดิมทีสวนสาธารณะแห่งนี้สร้างจากรางรถไฟสายเก่าที่ยกเลิกการใช้งานแล้วถูกทิ้งร้าง แล้วนำมาปรับอนุรักษ์ให้เป็นพื้นที่สีเขียวให้กับชาวเมืองกันอีกครั้ง
|
The High Line สวนสาธารณะลอยฟ้า |
|
พื้นที่สีเขียวของชาวนิวยอร์ก |
|
มองผ่านๆนึกว่าหุ่น ที่แท้ก็คนนี่นา
|
สำหรับคนที่สนใจนะคะ สวนสาธารณะแห่งนี้เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-19.00 น. สามารถเดินทางโดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E ลงที่สถานี 14 th St.-8 th Ave.ไปต่อกันค่ะ เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวที่
ตลาด Chelsea และย่าน Meatpacking District ตลาดเชลซีก็เป็นตลาดอินเตอร์ติดแอร์ มีร้านค้าของน่ารักมากมายสไตล์ฮิปสเตอร์เก๋ๆ และมีร้านอาหารให้เลือกสรรมากมาย
|
Chelsea Market |
|
มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร |
|
ร้านไวน์ |
|
ร้านอาหารทะเล |
|
ร้านค้าต่างๆ |
|
ตลาดเชลซีต้องถูกใจชาวฮิปสเตอร์แน่นอน |
ตลาดเชลซีเปิดทำการทุกวัน วันจันทร์ - วันเสาร์เปิดตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. ส่วนวันอาทิตย์เปิดทำการตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. สำหรับการเดินทางสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E ลงที่สถานี 14 th St. ตอนนี้ได้เวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้วชะนีแคระกับครอบครัวก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับเข้ามาย่าน Midtown กันตั้งใจกลับมากินแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดัง SHAKE SHACK
|
Shake Shack |
|
แฮมเบอร์เกอร์สำหรับ 3 ที่ |
|
แฮมเบอร์เกอร์ไก่ กับเฟรนช์ฟรายส์ชีส
|
มานิวยอร์กต้องลองกินแฮมเบอร์เกอร์ร้านนี้นะ SHAKE SHACK มีอยู่หลายสาขาก็เลือกเอาที่ใกล้สะดวกก็แล้วกันนะ ชะนีแคระบอกเลยอร่อยและไม่แพงประมาณ 12 $ รวมอาหารและเครื่องดื่มต่อคน
เมื่อท้องอิ่มกันแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อเลยสำหรับเย็นนี้เราจะไปเที่ยวที่ The National 9/11 Memorial & Museum หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ที่ตึกแฝด world trade center ถูกโจมตีจากการก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายน คศ. 2001 โดยคนร้ายซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงได้ทำการจี้เครื่องบินทั้งหมด 4 ลำ แต่ 2 ลำที่พุ่งชนตึกแฝดในช่วงเช้าของวันที่ 11 กันยายน เวลา 9 โมงเช้าโดยประมาณ ทำให้ตึกทั้งสองเกิดเหตุไฟไหม้และไม่กี่ชั่วโมงตึกแฝดก็ได้ถล่มลงมา ในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผูู้เสียชีวิตราว 3,000 คน จากวันนั้นที่นี่ก็ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของชาวนิวยอร์กจนถึงทุกวันนี้
|
ซากตึกและเสาของตึกแฝด |
|
ภาพถ่ายตึก Twin tower ที่ถูกถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์ก่อการร้าย |
|
ภาพที่ถูกถ่ายได้หลังจากที่ตึกแฝดทั้งสองได้ถล่มลงมาแล้ว |
|
ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำงานในตึก และตำรวจดับเพลิง |
|
เสาอากาศบนตัวตึก World trade center ที่หล่นลงมา |
|
ซากรถดับเพลิงที่เข้าไปช่วยผู้ติดในอาคารแต่ก็ถูกตัวตึกถล่มใส่ |
|
บันไดที่ผู้ติดอยู่ในตึกบางส่วนใช้เป็นทางหนีลงมาก่อนที่ตึกจะถล่ม |
หลังจากเดินดูด้านในก็รู้สึกหดหู่ เพราะในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเรื่องราว คลิปวีดีโอ ภาพเหตุการณ์บางส่วน คลิปเสียงของผู้เสียชีวิตที่โทรศัพท์เข้ามาขอความช่วยเหลือ บ้างก็โทรหาครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย หรือภาพผู้เสียชีวิตชะนีแคระดูไปก็เศร้าใจไป ถ้าใครมีโอกาสได้มาเที่ยวนิวยอร์กที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด ถ้าท่านใดสนใจเข้าชม บัตรผู้ใหญ่ราคา 24 $ ผู้สูงอายุ 18 $ ทางพิพิธภัณฑ์เปิดทำการทุกวัน วันอาทิตย์ -วันพฤหัสบดี เปิดทำการ 09.00 -20.00 น. (แต่ปิดขายบัตรตั้งแต่ 18.00 น.)ส่วนวันศุกร์- เสาร์ เปิดทำการ 9.00-21.00 น.(ปิดทำการขายบัตรที่ 19.00 น.) การเดินทางนั้นสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C/E ลงที่สถานี Charmbers St. หรือสาย 2/3 ลงที่สถานี Park PI
หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ทุ่มกว่าแล้ว เอาเป็นว่าคืนนี้เรากินอาหารเย็นง่ายๆแถวๆโรงแรมแล้วกัน
เช้าวันที่ 6
วันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษเราจะไปกินอาหารเช้ากันที่ร้านข้างๆโรงแรม พอดีเมื่อคืนเดินผ่านเห็นโปรโมชั่นหน้าร้าน เมนูอาหารเช้าคนละ 8 $ รวมกาแฟ ขนมปัง และน้ำส้มคั้น วันนี้ชาวคณะเลยมาลองกันซะหน่อย
|
ไข่ดาว เสริฟพร้อมมันฝรั่งอบ ในเมนูมีกาแฟ ขนมปังอีกด้วย |
เมื่อท้องอิ่มก็ออกเดินทางกันต่อ เช้านี้พวกเรามุ่งหน้าไปแลนมาร์คอีกอย่างของนิวยอร์กนั่นก็คือ
Brooklyn Bridge (สะพานบรูคลิน) เป็นสะพานแขวนที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นในปีคศ. 1870 ใช้ทอดข้ามแม่น้ำอีสต์ ที่นี่จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญของมหานครนิวยอร์กในอดีตและเป็นเสนห์สำหรับการท่องเที่ยวในปัจจุบันอีกด้วยเพราะที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีอีกแห่งหนึ่งของนิวยอร์กด้วยนะ
|
Brooklyn Bridge |
วันนี้เพื่อนสาวเจ้าถิ่นนางจะทำหน้าที่พาชาวคณะไปเที่ยวกัน โดยเรานัดกันว่านางจะมารอที่สะพานบรูคลิน
|
บนตัวสะพานบรูคลินสะพานแขวนเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา |
|
บนสะพานแขวนมีทางสำหรับจักรยานด้วย |
|
นักท่องเที่ยวเยอะมาก |
|
พวงกุญแจคู่รักที่มาแขวนตามราวสะพาน แต่ที่นี่เด็ดกว่าแขวนหูฟังด้วย |
ปกติไปเที่ยวที่ไหนก็มักจะเจอเจ้ากุญแจคู่รักแขวนตามราวสะพานดังๆต่างๆไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่ที่สะพานบรูคลินมีสิ่งที่เด็ดดวงกว่านั้นก็คือมีการแขวนเจ้าหูฟังไว้ด้วย คือไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใครทราบช่วยบอกชะนีแคระว่าเค้าแขวนไว้ทำไม ถามเพื่อนสาวนางก็บอกไม่รู้ค่ะ
|
วิวแมนฮัตตัน |
เพื่อนสาวพาชาวคณะไปเดินเล่นกันต่อบริเวณ
Brooklyn Bridge Park เพื่อจะไปถ่ายภาพวิวสวยของฝั่งแมนฮัตตันกันตรงบริเวณท่าเรือ
Dumbo
|
มุมนี้เหมือนโปสเตอร์หนังฮอลลีวูดเรื่องดัง |
|
ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวีียนมาถ่ายรูปตลอด |
|
วิวฝั่งแมนฮัตตัน |
|
สะพานบรูคลิน |
|
นักท่องเที่ยวมาแวะถ่ายรูปกัน |
สำหรับการเดินทางไปนั้นเราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย A/C ลงที่สถานี Hight St. และสาย 2/3 ลงที่สถานี Clark St. ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว เราเดินทางกลับเข้าแมนฮัตตันกันอีกครั้งวันนี้เพื่อนสาวจะพามาทานข้าวเที่ยงกันเราจะมาทานอาหารไทยกันบ้างเปลี่ยนรสชาติแนะนำร้านนี้เลยค่ะ Esanation
รับรองว่าส้มตำนัวมากจริงๆ ชะนีแคระสั่งมาสองถาดเลยค่ะ
|
เมนูตำปูปลาร้า |
|
ตำป่า พร้อมกับปีกไก่ทอด ลูกชิ้นปิ้งก็มาค่ะ |
|
ผัดซีอิ้วกุ้ง |
เมื่อท้องอิ่มเราก็ไปเที่ยวกันต่อเลย สำหรับบ่ายนี้เราจะไปเสพงานศิลป์กันที่
Museum of Modern Art (พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่)หรือเรียกย่อๆว่า Moma ที่นี่มีการจัดรวบรวมผลงานศิลปะร่วมสมัยมากมาย ทั้งงานด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบ ภาพวาด รูปถ่าย งานปั้น ซึ่งมีผลงานของศิลปินชื่อดังก้องโลกมากมาย
|
ภาพชื่อว่า The Starry Night ภาพวาดอันโด่งดังของ Vincent van Gogh |
คนที่บ้านตั้งใจมาที่ Moma เพื่อมาดูภาพวาดชื่อดัง The starry Night ผลงานจิตรกรชื่อดังของ
Vincent van Gogh
|
ภาพวาดศิลปะสมัยใหม่ |
|
South Street Seaport |
สถานที่ปิดท้ายสำหรับวันนี้เราจะไปเดินเล่นที่ South Street Seaport เป็นย่านท่าเรือ ตลาดปลา สะพานปลาเก่าแก่ดั้งเดิมของนิวยอร์กตั้งแต่คศ. 18-19 ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็นแหล่งศูนย์การค้าที่พบปะสังสรรค์ของผู้คนทั่วไป มีร้านอาหาร คาเฟ่มากมาย
|
นักท่องเที่ยวเยอะมาก |
|
มีห้างที่ข้างในมีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย |
|
นักท่องเที่ยวต้องหยุดแวะถ่ายรูปกับเจ้าเรือลำนี้ |
|
มองเห็นสะพานบรูคลินจากฝั่ง South Street Seaport ด้วย |
สำหรับท่านที่สนใจสามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย A/C ,J/Z, 2/3, 4/5 ลงที่สถานี Fulton St. หลังจากเดินเล่นกันสักพัก เพื่อนสาวเจ้าถิ่นจะพาเราไปเดินเล่นและหาข้าวเย็นทานแถวฝั่งเมือง New Jersey แถว Hoboken เพราะคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายก่อนบินกลับปารีสในค่ำวันพรุ่งนี้ เพื่อนสาวก็อยากจะพาไปเลี้ยงส่งท้ายพิเศษกันก่อนจบทริปนี้ คืนนี้เราจะไปทานอาหารอิตาเลียนแท้ๆกัน และเราจะได้ชมบรรยากาศยามค่ำคืนของแมนฮัตตันจากฝั่งเมืองนิวเจอร์ซีย์ด้วย
|
Blue eyes |
|
ปีกไก่อบย่างซอส |
|
ปลาย่าง เสริฟพร้อมแครอทหลากสี กับมันบด |
ร้านนี้ต้องสั่งพิซซ่าทานกันนะเพราะเจ้าของและพ่อครัวเป็นชาวอิตาเลียนแท้ๆมาจากเมืองนาโปลี รับรองมาจากต้นตำรับแน่นอน ชะนีแคระไม่ได้ถ่ายหน้าตาพิซซ่ามาให้ดูกันหิวจัดเลย จ้วงตักกินก่อน แต่แนะนำให้มาลองกัน เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยแล้วเรายังได้เห็นบรรยากาศสวยๆยามค่ำคืน สามารถมองเห็นฝั่งแมนฮัตตันในอีกมุมหนึ่ง
|
ตึกเอ็มไพร์สเตต วันนี้เป็นสีฟ้า เหลือง แดง |
|
บรรยากาศยามค่ำคืนของแมนฮันตัน |
สำหรับการเดินทางมาที่เมืองนิวเจอร์ซีย์ไม่ยากแค่นั่งรถไฟ Path Train ขึ้นทีี่สถานี World trade center มาลงที่สถานี Hoboken ได้เลย แต่ต้องระวังเรื่องเวลานิดนึงถ้าเป็นช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ หรือช่วงดึกรถไฟจะวิ่งน้อยนะ ก็อย่ากลับดึกมากนะคะ ก่อนเดินทางก็เช็คเที่ยวรถก่อน รู้สึกเที่ยวรถสุดท้ายจะไม่เกินห้าทุ่ม ไม่งั้นตกรถไฟต้องนั่งแท็กซี่กลับนี่กระเป๋าฉีกได้นะคะ
วันที่ 7
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนิวยอร์ก หลังจากจัดการเก็บข้าวของ เช็คเอ้าท์และฝากกระเป๋ากับทางโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว เราจะกลับมาเอากระเป๋ากันตอนหกโมงเย็น รอบไฟล์ของเราค่อนข้างดึกเกือบเที่ยงคืน วันนี้เราเลยมีเวลาทั้งวันสำหรับเก็บตกสถานที่ๆเรายังไม่ได้ไป และก็เน้นชอปปิ้งซื้อของฝากเป็นหลักด้วย
|
โบสถ์คนดำในย่าน Herlem (ฮาเร็ม) |
เช้านี้เราจะไปเดินเล่นย่าน Herlem (ฮาเร็ม) จะอยู่ตอนเหนือของแมนฮันตัน ย่านที่เค้าว่าอันตรายเพราะเป็นย่านคนผิวสีอาศัยกันเยอะ แต่ชะนีแคระตั้งใจจะไปโบสถ์ของคนผิวสีเพื่อไปดูนักบวชร้องเพลงประสานเสียงที่เรียกว่า Gospel อย่างในฉากภาพยนตร์เรื่อง Sister Act ภาคไทยก็หนังเรื่องนางสาวชีเฉาก๊วย ที่พวกนักบวชมาร้องเพลงประสานเสียงกัน ชะนีแคระคิดว่ามันน่าสนใจดี แนะนำว่าควรไปวันอาทิตย์ ก่อน 11 โมงเช้าค่ะ เราสามารถเข้าไปดูได้ภายในโบสถ์ได้เลย มีสองโบสถ์ด้วยกันนะคะที่ชะนีแคระแนะนำที่แรกคือ The Corinthian Baptist Church และก็อีกที่คือ The Elmendorf Reformed Church
|
บาทหลวงเทศน์พร้อมร้องเพลงประสานเสียง |
แต่เนื่องจากเรามากันค่อนข้างสายก็เลยเลือกเข้าโบสถ์แค่ที่เดียว ชะนีแคระก็เลยเลือกโบสถ์นี้ค่ะ The Elmendorf Reformed Church หลังจากที่เข้าไปในโบสถ์แล้วก็รู้สึกว่าคนผิวสีเค้าค่อนข้างศรัทธาในคริสต์ศาสนามาก เค้าจะพากันมาเป็นครอบครัว ยิ่งบางช่วงที่บาทหลวงร้องเพลง คนในโบสถ์ก็ลุกขึ้นมาร้องด้วย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกดี เค้ามีส่งซองจดหมายให้ร่วมใส่เงินทำบุญด้วย ชะนีแคระแนะนำว่าต้องลองมาดูคิดว่ามันน่าสนใจทีเดียว สำหรับคนที่จะมาเที่ยวในย่านฮาเร็มควรมาเดินเล่นในช่วงกลางวันบางคนไม่ค่อยคุ้นเคยอาจจะกลัวนิดนึง แต่สำหรับชะนีแคระกลับคิดว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัว หรือดูอันตรายอย่างที่คิดเพียงแต่เราต้องระวังตัวอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามในโลกใบนี้
|
ย่านไทม์สแควร์ |
|
ย่านใจกลางเมืองแมนฮัตตัน |
หลังจากเดินเล่นย่านฮาเร็มสักพักเราก็กลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้ง เรายังคงเดินเล่นเรื่อยๆไปบนถนน 5Th Avenue แวะทานข้าวเที่ยงและชอปปิ้งไปเรื่อยๆ จนวนกลับมาเดินเล่นแถวไทม์สแควร์อีกครั้งเราแวะร้าน
M&M World ซื้อของเล่นฝากหลานๆกันหน่อย
|
M&M World |
|
เลือกกันไม่ถูกเลยมีแต่ของน่าซื้อ |
|
นักท่องเที่ยวเต็มร้านเลย |
|
ผ้าห่มลาย M&M |
หลังจากแวะเข้าร้านนั้นร้านนี้ได้เวลาสี่โมงเย็นกว่าๆแล้ว เราก็จะเดินเรื่อยๆเก็บตกสถานที่ๆอยู่ในทางผ่านก่อนกลับโรงแรม เราแวะถ่ายรูปที่
Bryant Park เป็นสวนสาธารณะเล็กๆตั้งอยู่ระหว่างถนน 5 และ 6 ย่าน Midtown
|
Bryant Park |
วันนี้อากาศดีแดดเปรี้ยงชาวนิวยอร์กมาแวะนอนอาบแดด จับกลุ่มคุยกัน บ้างก็มานั่งปิกนิกเป็นครอบครัวดูแล้วก็สบายๆดีนะ เราแวะนั่งพักดื่มน้ำคลายร้อนสักนิดที่นี่
|
ฝรั่งมานอนอาบแดด จับกลุ่มพูดคุยกัน |
ใกล้ๆกับสวนสาธารณะ Bryant เราก็เดินแวะมาถ่ายรูปที่
The new york public library (หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก)กับหอสมุดอันโด่งดัง ที่นี่เป็นหอสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกามีเก็บรวบรวมหนังสือ และวรสารมากมายกว่า 53ล้านเล่ม และที่นี่ยังเป็นฉากในภาพยนตร์ดังเรื่อง
The day after tomorrow โดยเฉพาะฉากที่พระเอกกับนางเอกหนีคลื่นน้ำเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในหอสมุดที่นี่ แต่น่าเสียดายตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้วห้องสมุดใกล้จะปิดเราก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปข้างในแวะถ่ายรูปด้านนอกเฉยๆ
|
หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก |
|
The New york public Library |
สำหรับคนที่สนใจอยากจะแวะมาเยี่ยมชมสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สาย B/D/F/M ลงที่สถานี 42 nd St. -Bryant park ตอนนี้ห้าโมงกว่าแล้วค่ะได้เวลาต้องรีบเดินกลับโรงแรมเสียที
|
Mergensternis |
หลังจากถึงโรงแรมแวะเอาสัมภาระเรียบร้อยก่อนจะเรียกแท็กซี่แวะทานไอศกรีมปิดท้ายโปรแกรม ชะนีแคระแนะนำร้านนี้ Mergenternis อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมสังเกตว่าคนจะเยอะมากต่อคิวล้นออกมาข้างนอกร้านเลย บางทีกลับเข้าโรงแรมเกือบเที่ยงคืนก็ยังมีคนรอต่อคิวกันนอกร้านกันอยู่ ชะนีแคระอยากจะลองมาหลายวันแต่เนื่องจากเราออกเที่ยวแต่เช้าและกลับดึกเลยไม่ได้ลองสักทีวันนี้วันสุดท้ายแล้วต้องลองกันสักหน่อยดูสิว่ามันเด็ดดวงยังไง
|
เค้าเคลมว่าเป็นไอศกรีมไม่อ้วนนะคะ |
|
สั่งมาลองชิมดูอร่อยมากเลย |
สัั่งมาลองชิมกันคนละถ้วยก่อนกลับ สามารถเลือกเติม topping ได้หลากหลาย แต่ของชะนีแคระสั่งแบบไอศกรีมเพรียวๆ สรุปอร่อยค่ะประทับใจมีโอกาสแวะมาย่านนี้ลองชิมดูนะคะของเค้าดีจริงๆ
|
Street Art |
ตอนนี้ได้เวลากลับบ้านที่ปารีสแล้วค่ะ ตลอดทั้งทริป 7 วันที่นิวยอร์กชะนีแคระรู้สึกชอบและประทับใจมาก สมกับที่เป็นมหานครใหญ่เมืองศิวิไลซ์ของโลกจริงๆ เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า ถึงแม้จะมีผู้คนพลุ่กพล่านมากหน้าหลายตา แต่มันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองนิวยอร์กเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างชาติหลากหลายภาษา ซึ่งทำให้เราไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แถมอาหารการกินก็หากินง่ายไม่ลำบากแล้วยิ่งถ้าสาวๆหรือใครที่รักการชอปปิ้ง ชะนีแคระรับรองว่านิวยอร์กจะเป็นสวรรค์ของเหล่าขาชอปเลยที่เดียวค่ะ สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะคะ ลากันไปก่อนพบกันใหม่ตอนหน้าชะนีแคระจะพาไปเที่ยวพม่า เมืองมัณฑะเลย์กันค่ะ