พาเที่ยวรัฐบอลติกตอนที่ 1 เที่ยวกรุงวิลนีอุส (Vilnius) ประเทศลิทัวเนีย (Lithuania)
พาเที่ยวรัฐบอลติกตอนที่ 2 เที่ยวกรุงทราไก (Trakai) เมืองแห่งร้อยทะเลสาป
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/01/2-trakai.html
วันนี้ฤกษ์งามยามดีชะนีแคระจะพาไปเที่ยวกรุงริก้า (Riga) เมืองหลวงของประเทศลัตเวีย (Latvia)กัน ถ้าพูดถึงประเทศลัตเวียอาจจะฟังชื่อไม่ค่อยคุ้นหูชาวไทยนัก ลัตเวียเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งจะมีเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ตอนนี้ลัตเวียเป็นประเทศในกลุ่มของสหภาพยุโรป หากคนไทยที่สนใจจะเดินทางมาท่องเที่ยวก็ต้องขอวีซ่าเชงเก้นให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง และลัตเวียใช้เงินสกุลยูโรค่ะ
กรุงริก้าตั้งอยุ่ติดกับทะเลบอลติก ใกล้กับปากแม่น้ำเดากาวา (Daugava) ด้วยสาเหตุนี้ทำให้กรุงริก้ามีความเจริญมากที่สุดในบรรดาประเทศสามพี่น้องถือว่าเป็นพี่ใหญ่แห่งบอลติก บ้างก็ว่าริก้าเป็นเมืองหลวงของบอลติก หรือปารีสของบอลติก อีกทั้งกรุงริก้ายังได้รับการอนุรักษ์จากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย ในแผนทริปเที่ยวรัฐบอลติกครั้งนี้ เราจะเที่ยวที่กรุงริก้า2 วัน 2 คืน เดียวเราลองมาดูสิว่าที่นี่ริก้ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
การเดินทาง
ชะนีแคระเดินทางจากกรุงวิลนีอุส เดินทางด้วยรถบัส ราวๆเกือบ 4 ชม. ได้ก็จะมาถึงกรุงริก้า การเดินทางด้วยรถบัสข้ามประเทศในย่านกลุ่มประเทศบอลติกนับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาก เพราะราคาไม่แพง สะดวกและก็ปลอดภัยแถมมีหลายบริษัทให้เลือกมากมาย บางเจ้าก็มีโปรโมชั่น แพ็กเกจถูก มีฟรีไวไฟ รับรองว่าการเดินทางสะดวกสบายพอๆกับสายการบิน low cost เลยทีเดียว สำหรับชะนีแคระเลือกเดินทางกับ Ecolines ซึ่งราคาตั๋วเดินทาง 17 ยูโรต่อคน มีฟรีไวไฟด้วย ถ้าใครสนใจยังไงก็ลองเช็คดูราคาในเว็บไซต์ ยิ่งถ้าจองตั๋วล่วงหน้าราคาตั๋วก็จะถูกชะนีแคระแปะลิ้งค์ไว้ให้แล้ว ก็ลองเลือกดูเอาตามอัธยาศัยนะค่ะ
Ecolines https://www.ecolines.net/en/
Luxespress http://www.luxexpress.eu/en
Eurolines http://www.eurolines.fr/en/
เช้าวันที่ 1
วันแรกเราออกเดินทางจากกรุงวิลนีอุส แต่เช้าตรู่เที่ยวแรกของวันเวลา 7.30 น.หลังจากที่พนักงานรถบัสเช็คพาสปอร์ตกับวีซ่า ชะนีแคระมีบัตรต่างด้าวของฝรั่งเศสก็ยื่นตัวนี้ให้กับพนักงาน เพราะเค้าจะต้องเช็คว่าผู้โดยสารมีวีซ่าหรือบัตรผู้อยู่อาศัยในยุโรปหรือไม่เพราะมันต้องขับรถข้ามพรมแดนดังนั้นต้องตรวจเข้มเพื่อไม่ให้มีปัญหากับตม.ประเทศลัตเวีย เราก็เดินทางมาถึงกรุงริก้าราวๆ 11.45 น. หลังจากถึงที่ศูนย์บขส. ริก้า เราก็ออกหาโรงแรมที่จองไว้ เราเลือกโรงแรมไม่ไกลจากศูนย์บขส. สักราว 10 นาทีก็ถึง หลังจากเช็คอินเรียบร้อย หาข้าวเที่ยงรองท้องง่ายๆก็ออกเที่ยวกันเลย โชคดีวันนี้ฟ้าใส แดดดีจริงๆ เราจะไปเที่ยวกันในเขตเมืองเก่าของกรุงริก้าก่อน สถานที่เที่ยวแห่งแรกของวันนี้
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter church) โบสถ์เซนต์ปีเตอร์นับว่ามีความสำคัญกับชาวกรุงริก้าเป็นอย่างมาก ถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1209 ตัวโบสถ์สร้างจากหิน และเป็นโบสถ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ ตัวโบสถ์นี้ได้ถูกไฟไหม้ ฟ้าผ่าและก็เสียหายหลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ถูกบรูณะปฏิสังขรณ์ไว้ให้มีรูปแบบเหมือนเดิม ซึ่งที่โบสถ์นี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวบนยอดหอคอยของโบสถ์ เค้าบอกว่าจุดนี้นับเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเขตเมืองเก่า และวิวริมแม่น้ำเดากาวา (Daugava) ที่ดีจุดหนึ่งของเมือง แต่ถ้าใครอยากชมวิวสวยก็ต้องเสียค่าเข้าและค่าขึ้นลิฟต์ขึ้นไปดู ซึ่งตกคนละ 7 ยูโรแต่ชะนีแคระถือว่าคุ้มสุดๆ ยิ่งถ้าแดดดีๆแบบนี้รับรองว่าคุณต้องได้รูปสวยๆแน่นอนค่ะ
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/01/2-trakai.html
วันนี้ฤกษ์งามยามดีชะนีแคระจะพาไปเที่ยวกรุงริก้า (Riga) เมืองหลวงของประเทศลัตเวีย (Latvia)กัน ถ้าพูดถึงประเทศลัตเวียอาจจะฟังชื่อไม่ค่อยคุ้นหูชาวไทยนัก ลัตเวียเป็นประเทศใหม่ที่เพิ่งจะมีเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ตอนนี้ลัตเวียเป็นประเทศในกลุ่มของสหภาพยุโรป หากคนไทยที่สนใจจะเดินทางมาท่องเที่ยวก็ต้องขอวีซ่าเชงเก้นให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง และลัตเวียใช้เงินสกุลยูโรค่ะ
กรุงริก้าตั้งอยุ่ติดกับทะเลบอลติก ใกล้กับปากแม่น้ำเดากาวา (Daugava) ด้วยสาเหตุนี้ทำให้กรุงริก้ามีความเจริญมากที่สุดในบรรดาประเทศสามพี่น้องถือว่าเป็นพี่ใหญ่แห่งบอลติก บ้างก็ว่าริก้าเป็นเมืองหลวงของบอลติก หรือปารีสของบอลติก อีกทั้งกรุงริก้ายังได้รับการอนุรักษ์จากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย ในแผนทริปเที่ยวรัฐบอลติกครั้งนี้ เราจะเที่ยวที่กรุงริก้า2 วัน 2 คืน เดียวเราลองมาดูสิว่าที่นี่ริก้ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
การเดินทาง
ชะนีแคระเดินทางจากกรุงวิลนีอุส เดินทางด้วยรถบัส ราวๆเกือบ 4 ชม. ได้ก็จะมาถึงกรุงริก้า การเดินทางด้วยรถบัสข้ามประเทศในย่านกลุ่มประเทศบอลติกนับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาก เพราะราคาไม่แพง สะดวกและก็ปลอดภัยแถมมีหลายบริษัทให้เลือกมากมาย บางเจ้าก็มีโปรโมชั่น แพ็กเกจถูก มีฟรีไวไฟ รับรองว่าการเดินทางสะดวกสบายพอๆกับสายการบิน low cost เลยทีเดียว สำหรับชะนีแคระเลือกเดินทางกับ Ecolines ซึ่งราคาตั๋วเดินทาง 17 ยูโรต่อคน มีฟรีไวไฟด้วย ถ้าใครสนใจยังไงก็ลองเช็คดูราคาในเว็บไซต์ ยิ่งถ้าจองตั๋วล่วงหน้าราคาตั๋วก็จะถูกชะนีแคระแปะลิ้งค์ไว้ให้แล้ว ก็ลองเลือกดูเอาตามอัธยาศัยนะค่ะ
Ecolines https://www.ecolines.net/en/
Luxespress http://www.luxexpress.eu/en
Eurolines http://www.eurolines.fr/en/
เช้าวันที่ 1
วันแรกเราออกเดินทางจากกรุงวิลนีอุส แต่เช้าตรู่เที่ยวแรกของวันเวลา 7.30 น.หลังจากที่พนักงานรถบัสเช็คพาสปอร์ตกับวีซ่า ชะนีแคระมีบัตรต่างด้าวของฝรั่งเศสก็ยื่นตัวนี้ให้กับพนักงาน เพราะเค้าจะต้องเช็คว่าผู้โดยสารมีวีซ่าหรือบัตรผู้อยู่อาศัยในยุโรปหรือไม่เพราะมันต้องขับรถข้ามพรมแดนดังนั้นต้องตรวจเข้มเพื่อไม่ให้มีปัญหากับตม.ประเทศลัตเวีย เราก็เดินทางมาถึงกรุงริก้าราวๆ 11.45 น. หลังจากถึงที่ศูนย์บขส. ริก้า เราก็ออกหาโรงแรมที่จองไว้ เราเลือกโรงแรมไม่ไกลจากศูนย์บขส. สักราว 10 นาทีก็ถึง หลังจากเช็คอินเรียบร้อย หาข้าวเที่ยงรองท้องง่ายๆก็ออกเที่ยวกันเลย โชคดีวันนี้ฟ้าใส แดดดีจริงๆ เราจะไปเที่ยวกันในเขตเมืองเก่าของกรุงริก้าก่อน สถานที่เที่ยวแห่งแรกของวันนี้
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter church) โบสถ์เซนต์ปีเตอร์นับว่ามีความสำคัญกับชาวกรุงริก้าเป็นอย่างมาก ถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1209 ตัวโบสถ์สร้างจากหิน และเป็นโบสถ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ ตัวโบสถ์นี้ได้ถูกไฟไหม้ ฟ้าผ่าและก็เสียหายหลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ถูกบรูณะปฏิสังขรณ์ไว้ให้มีรูปแบบเหมือนเดิม ซึ่งที่โบสถ์นี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวบนยอดหอคอยของโบสถ์ เค้าบอกว่าจุดนี้นับเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเขตเมืองเก่า และวิวริมแม่น้ำเดากาวา (Daugava) ที่ดีจุดหนึ่งของเมือง แต่ถ้าใครอยากชมวิวสวยก็ต้องเสียค่าเข้าและค่าขึ้นลิฟต์ขึ้นไปดู ซึ่งตกคนละ 7 ยูโรแต่ชะนีแคระถือว่าคุ้มสุดๆ ยิ่งถ้าแดดดีๆแบบนี้รับรองว่าคุณต้องได้รูปสวยๆแน่นอนค่ะ
ภายในโบสถ์ |
วิวมุมสูงของเขตเมืองเก่า เราสามารถมองเห็นแม่น้ำ Daugava |
แม่น้ำเดากาวา (Daugava) แม่น้ำสายหลักของเมืองที่ไหลลงออกสู่ทะเลบอลติก |
ตึกสัญลักษณ์ของสหภาพโซเวียตที่ยังหลงเหลืออยุ่ในริก้าปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
|
หลังจากลงมาจากยอดหอคอยเราก็เดินเล่นรอบๆโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ก็เจอเจ้าสิ่งนี้เลยค่ะ นักท่องเที่ยวมุงรอต่อคิวถ่ายรูปกันเต็มเลย
มันก็คือรูปปั้นสัตว์สี่สหาย (The musicien of Bremen) มันก็มีตำนานเล่ากันว่าถ้าใครได้ลองลูบจมูกเจ้าลาตัวล่างสุด แล้วลองอธิษฐานขอพรก็จะสมหวัง ชะนีแคระไม่รอช้าทั้งลูบทั้งคลำประหนึ่งขอหวยก็ไม่ปาน ก็ลองดูกันนะค่ะว่าจะจริงไหม
มีบริการรถทัวร์พาเที่ยวรอบกรุงริก้าด้วย |
สถานที่ที่สองของวันนี้ไม่ไกลจากโบสถ์เซนต์ปีเตอร์เราจะไปเที่ยวที่ Ratslaukums square จัตุรัสแห่งนี้เป็นจัตุรัสที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในกรุงริก้า เป็นย่านเขตการปกครองและเขตเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยโบราณสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยยุคกลาง เดิมเป็นตลาดเปิดโล่ง เป็นที่ตั้งของที่ว่าการเมือง (The Town Hall) บ้านนายหัวดำ (The House of Blackheads) และ Schwabe's House แต่ถูกทำลายในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และก็ได้รับการบรูณะใหม่ในปี 1970
ที่เห็นตึกคู่สองตึกด้านหลัง ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงริก้า เค้าว่ากันว่าถ้าไม่ได้ถ่ายรูปเจ้าตึกคู่สองตึกนี้เหมือนมาไม่ถึงกรุงริก้ายังไงยังงั้น ตึกด้านซ้ายในรูปคือ Schwabe's House ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นศูนย์ให้ข้อมูลการท่องเที่ยว ใครอยากได้แผนที่ การแนะนำการท่องเที่ยว รวมถึงมาซื้อแสตมป์โปสการ์ดก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายเจ้าหน้าที่กัน เจ้าหน้าที่ใจดีที่สำคัญรูปหล่ออีกต่างหาก ส่วนตึกด้านขวามือในรูปคือ บ้านนายหัวดำ The House of Blackheads ถูกสร้างขึ้นในปี คศ. 1334 ใช้เป็นที่สโมสรพบปะสังสรรค์กันของเหล่าบรรดาพ่อค้าชายหนุ่มโสด และรวยมาก มีอิธิพลมากในสมัยนั้น ซึ่งบ้านนายหัวดำถูกทำลายเสียหายเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการบรูณะให้เหมือนเดิมทุกประการซึ่งแล้วเสร็จในปีคศ.1999 นี่เอง ปัจจุบันบ้านนายหัวดำถูกเปิดไว้ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญเท่านั้น
ที่มาของชื่อบ้านนายหัวดำ |
ที่ว่าการเมือง (The Town Hall) จะอยุ่ตรงข้ามกับตึกคู่สัญลักษณ์กรุงริก้า |
เราก็เดินเล่นลัดเลาะต่อกันไปเรื่อยๆในเขตย่านเมืองเก่า เราก็จะมาเจอบ้านสามพี่น้อง (Three Brother) เป็นบ้านสามหลังที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงริก้า เป็นบ้านหมายเลข 17 19 และ 21 โดยบ้านทั้งสามหลังจะมีการเขียนจารึกปีที่ถูกสร้างขึ้นด้วย โดยหลังที่เก่าที่สุดถูกสร้างขึ้นในราวคศ.ที่ 15 ที่น่าสังเกตก็คือบ้านจะมีขนาดหน้าต่างเล็กมาก อ่านจากในหนังสือแนะนำท่องเที่ยวเค้าบอกว่าในสมัยก่อนเค้าจะเก็บภาษีจากขนาดของหน้าต่าง ดังนั้นต้องสร้างหน้าต่างให้เล็กที่สุดจะได้จ่ายน้อยสุดว่างั้น โชคดีที่บ้านทั้งสามรอดจากการถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เหลือมาเป็นมรดกให้กับชาวริก้าจนถึงทุกวันนี้
พอเดินไปได้หน่อยก็เจอกำแพงเมืองเก่า มีการจัดแสดงปืนโบราณด้วย
Three Brother |
ใกล้ๆกับบ้านสามพี่น้อง เห็นยอดแหลมนั้นคือมหาวิหารเซนต์จาคอบ (St. Jacobs Cathedral) เป็นโบสถ์สไตล์โกธิค ถูกสร้างในปีคศ.1225 แต่แล้วเสร็จในคศ. 1330 สร้างนานนับเป็นร้อยปีกว่าจะแล้วเสร็จ
โบสถ์เซนต์จาคอบ
ภายในโบสถ์ตกแต่งเรียบง่าย
เราเดินต่อไปเรื่อยๆซอกแซกไปตามซอยก็ผ่านประตูเมือง Swedish Gate วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะเลยค่ะ
ประตูเมือง Swedish Gate |
ป้อมดินปืน (The Power Tower) ซึ่งเดิมทีเรียกว่า Sand Tower มีการระบุในเอกสารบันทึกของลัตเวียตั้งแต่คศ. 13 แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตั้งแต่ปีคศ. 17 ป้อมนี้ถูกเอาไว้เป็นที่เก็บดินปืน และก็มีการถูกทำลายและบรูณะซ่อมแซมหลายครั้ง จนถึงปีคศ. 1999 ถึงปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับสงครามของลัตเวีย
ป้อมดินปืน |
ย่านจัตุรัส Livu square เป็นจัตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับสองของริก้า ปัจจุบันเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ค่าเฟ่ คลับบาร์ จะว่าเรียกว่าเป็นแหล่งบันเทิงหรือแหล่งพบปะสังสรรค์ของชาวริก้าก็ได้ ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน อากาศดีๆอย่างนี้ผู้คนขวักไขว่ทีเดียว
Livu square |
มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย |
ระหว่างเดินๆอยู่ก็เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนยืนมุงถ่ายรูปตึกทรงแปลกๆนี้อยู่ ชะนีแคระคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆทำไมคนถึงรุมถ่ายรูปกันใหญ่ ว่าแววก็รีบหยิบคู่มือมาอ่านทันที บ้านแมว (The Cat house) บ้านนี้มีตำนานเล่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีพ่อค้าคหบดีคนหนึ่งที่สร้างตัวจนร่ำรวยก็มีความปรารถนาอยากที่จะเข้าสมาคมชาวผู้ดี ไฮโซ (The Great Guild) แต่เนื่องจากพ่อค้าคหบดีท่านนี้ไม่ได้มีเชื้อสายผู้ดีหรือตระกูลเก่าแก่ ก็เลยโดนทางสมาคมปฏิเสธ โดยทางสมาคมก็อ้างว่าถ้าหากพ่อค้าได้สร้างบ้านหลังใหญ่ในเขตเมืองเก่าก็ได้ก็จะให้เข้าสมาคม สุดท้ายพ่อค้าก็สามารถสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงริก้า อยู่ติดกับตึกของทางสมาคมได้สำเร็จ แต่ก็ยังถูกทางสมาคมปฏิเสธอีก ดังนั้นพ่อค้าก็เลยเจ็บแค้นและโกรธมากเลยสั่งให้ปั้นรูปแมวสีดำสองตัวอยู่บนหลังคาหันก้นทำท่าอึใส่ไปทางสมาคมที่อยู่ติดกัน ทางสมาคมผู้ดีก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกันก็เลยฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมให้พ่อค้าหันก้นแมวไปทางอื่น แต่สุดท้ายทางศาลก็ไกล่เกลี่ยจนในที่สุดพ่อค้าก็ยอมหันก้นแมวไปทางอื่นโดยหันกลับก้นมาอึใส่บ้านตัวเอง และทางสมาคมก็ยอมให้พ่อค้าเข้ามาเป็นสมาชิกในสมาคมชาวเซเลปด้วย สรุปวินวินกันทั้งสองฝ่ายค่ะ
บ้านแมว |
แมวโก่งตูดกำลังอึ |
ตึกของสมาคมผู้ดีเก่า |
และที่เห็นอยู่ด้านหลังนาฬิกา Laima นั่นก็คืออนุเสาวรีย์แห่งอิสระภาพ (The Freedom Monument) อนุเสาวรีย์อิสระภาพแห่งนี้ถือเป็นแลนมากค์สำคัญและมีส่วนจารึกในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของชาวลัตเวีย นั่นก็คือบริเวณลานรอบๆอนุเสาวรีย์แห่งนี้เป็นที่ๆประชาชนชาวลัตเวียมาชุมนุมเรียกร้องเอกราชต่อต้านสหภาพโซเวียตและเป็นที่ร่วมฉลองชัยหลังได้รับเอกราชภายหลังจากการล่มสลายของโซเวียต หลังจากได้เอกราชแล้วทางรัฐบาลและชาวเมืองก็พร้อมใจกันสร้างอนุเสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำ
เทพีถือดาวสามดวง แสดงถึงอิสระภาพ และจิตวิญญาณของชาวลัตเวีย |
ทหารคอยรักษาการณ์รอบอนุเสาวรีย์ |
วันนี้ชะนีแคระแอนด์เดอะแกงค์โชคดีมากค่ะ ที่ลานรอบอนุเสาวรีย์วันนี้มีแสดงฟรีคอนเสิร์ตวงดุริยางค์อะไรสักอย่างค่ะ เราเลยได้โอกาสเก็บภาพสวยๆมาฝากท่านผู้ชมด้วยนะค่ะ
ที่ข้างๆลานอนุเสาวรีย์อิสระภาพก็จะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งถือว่าเป็นปอดสีเขียวของชาวกรุงริก้า เดี่ยวเราจะลองเข้าไปเดินเล่นกับนั่งพักผ่อนกัน เพราะตอนนี้ชะนีแคระเมื่อยขามากเพราะเดินมาตั้งแต่บ่ายยังไม่ได้หยุดพัก อารมณ์ตอนนี้ อยากขอนั่งพักแล้วดื่มอะไรเย็นๆชมวิวยามเย็นสบายๆ
ภายในสวนสาธารณะนี้ร่มรื่นมากทีเดียว มีหนุ่มสาว คุ่รัก และครอบครัวชาวริก้าแวะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันเต็มไปหมด บ้างก็พายเรือเล่น นั่งทานอาหารกัน ชะนีแคระมองแล้วเพลินตาเพลินใจอย่างมากเลยค่ะ
มีบริการนั่งเรือชมคลองภายในสวนสาธารณะด้วย |
พายเรือกันเป็นคู่ |
เดี่ยวนี้ฮิตไปทุกๆทีต้องมาคล้องกุญแจคู่กัน |
หลังจากนั่งพักไปได้ชั่วโมงกว่า นี่ก็ใกล้เวลาทุ่มกว่าเกือบสองทุ่มแล้ว ฟ้ายังไม่มีวี่แววว่าจะมืดเลย การมาเที่ยวในแถบรัฐบอลติกยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ กว่าพระอาทิตย์จะตกฟ้าจะมืดก็ปาเกือบไปสามสี่ทุ่ม ข้อดีคือทำให้เรามีเวลาเที่ยวได้เกือบทั่ว ตอนนี้หิวแล้วเดี่ยวเราลองเดินไปหาอาหารชาวลัตเวียทานกันดีกว่า ระหว่างเดินย้อนกลับเข้าไปในเขตเมืองเก่า ชะนีแคระเดินผ่านนี้เลยค่ะ โรงโอเปร่า
โรงโอเปร่า |
อ่านจากคู่มือท่องเที่ยวเค้าแนะนำให้มาลองทานอาหารสไตล์ลัตเวียแท้ๆซึ่งมีอยู่หลายร้าน แต่ชาวคณะเลือกร้านที่ชื่อร้านว่า Province ซึ่งอยู่ใกล้กับจัตุรัส Ratslaukums เพราะดูแล้วคนแน่นร้านทีเดียวค่ะ คิดเอาว่าน่าจะอร่อย เค้าว่าถ้าอาหารพื้นเมืองแถบบอลติกนี้ควรลองสั่งพวกขาหมู หรืออาหารเมนูหมูอบอะไรพวกนี้ค่ะ จริงแล้วอยากลองสั่งขาหมูมาชิมนะค่ะแต่เห็นจากโต๊ะข้างๆแล้วคงไม่หมดแน่ ชะนีแคระเลยสั่งหมูอบกะมันบดมาลอง หลังจากลองชิมแววขอบอกอร่อยและราคาไม่แพงมากค่ะ ถ้าหากท่านผู้อ่านมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ริก้า แล้วก็อย่าลืมลองแวะมาทานกันนะค่ะ
เนื้อกะมันอบ
หมูอบกะมันบด |
คืนนี้ที่ริก้าเต็มไปด้วยแสงสีของร้านอาหาร คลับ และบาร์สองข้างทางถนน เหมือนมหานครใหญ่ๆในยุโรป ยิ่งดึกยิ่งคึกคักไปด้วยหนุ่มสาว และนักท่องเที่ยว ส่งท้ายของคืนนี้ด้วยรูปนี้ค่ะ
เช้าวันที่ 2
หลังจากตื่นเช้ามาแล้ว เช้านี้อากาศค่อนข้างขมุกขมัว ท้องฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตกยังไงยังงั้น แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการท่องเที่ยว หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมจนอิ่ม พวกเราก็เตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวในกรุงริก้าต่อ วันนี้ตั้งใจจะเก็บสถานที่ที่ยังไม่ได้ไป เพราะเรามีเวลาเหลือแค่วันนี้เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางต่อแต่เช้ามืด ยังไงวันนี้ต้องพยายามเก็บเกี่ยวสถานที่ๆต่างๆให้ได้มากที่สุด สถานที่แรกของเช้าวันนี้เราจะมาเที่ยวกัน ตลาดกลาง (The Central Market) ที่ตลาดแห่งนี้นับเป็นตลาดกลางที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในยุโรป มีขายข้าวของมากมายทั้งอาหาร เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ดอกไม้ เสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆ สรุปว่ามีขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบที่นี่ ถ้าสนใจก็ลองแวะเค้ามาหาซื้อ ต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้ากันได้เลยค่ะ
แตงโมลูกใหญ่มากๆ |
ขณะเดินเล่นอยู่ที่ตลาดฝนเจ้ากรรมก็ตกเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาทำให้ทีมงานชาวคณะต้องวิ่งไปซื้อร่มกับร้านค้าในตลาด พอหลังจากซื้อเสร็จเดินออกจากร้านไม่เท่าไหร่ ฝนหยุดตกซะงั้น สรุปเสียตังค่าร่มคนละ 3 ยูโร ถือว่าดีกว่าตกหนักๆแล้วเที่ยวต่อกันไม่ได้ สถานที่ต่อไปของวันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยวดูศิลปะสไตล์ Art nouveau หรือเรียกเป็นไทยก็เรียก นวศิลป์ ก็คือเป็นลักษณะศิลปะ สถาปัตยกรรม เป็นศิลปะประยุกต์ ออกแนวใหม่ที่มีการออกแบบร่วมสมัยและสอดคล้องเน้นรุปแบบธรรมชาติ ลวดลายอ่อนช้อย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงคศ.18 -19 โดยเฉพาะที่ริก้าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากในด้านการออกแบบและการอนุรักษ์ศิลปะสไตล์ Art nouveau ตามตึกอาคารที่พักอาศัยแทบทั้งเมืองจนได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ด้วย เดี่ยวเราจะลองมาดูกันว่าศิลปะไสตล์นวศิลป์มันมีหน้าตาเป็นไง เราก็จะไปที่ถนน Alberta และ Elizabetes iela ทั้งสองถนนเราจะได้เห็นศิลปะ เจ้าอาร์ต นูโวตามตึกต่างๆ ซึ่งในย่านนี้เป็นย่านไฮโซ ย่านคนมีเงินแถมเป็นย่านที่ตั้งของสถานทูตต่างๆอีกด้วย
ตึกนี้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องหยุดถ่ายรูป |
ตรงประตูมีรูปหัวคนด้วย |
บนบานประตูมีทำเป็นรูปมังกร |
แปลกตาไปอีกแบบนะค่ะ ที่ริก้าอาคาร บ้านช่องนี้มีตึกสวยๆเต็มไปหมดเลยค่ะ สมกับที่เป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ เราแวะผ่านโบสถ์ Nativity of Christ Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์สไตล์ออร์โธด๊อกซ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงริก้า ชะนีแคระแวะเข้าไปชมภายในและทำบุญด้วยค่ะ ปกติแล้วเวลาไปเที่ยวต่างประเทศจะถือเคล็ดว่าเข้าไปทำบุญตามโบสถ์หรือวัดต่างๆ เอาฤกษ์เอาชัยและขอพรว่าขอให้ได้กลับมาเที่ยวอีก อิอิ แต่เค้าห้ามถ่ายรูปภายในโบสถ์นะค่ะ ทำได้แค่ถ่ายด้านนอกค่ะ
Nativity of Christ Cathedral |
เราเดินกลับย้อนเข้ามาในเขตเมืองเก่าของริก้ากันอีกครั้ง หลังจากหาอาหารกลางวันกินง่ายๆ เราก็พร้อมลุยเที่ยวต่อเลยค่ะ เราไปเดินเล่นย่าน Dome Square ย่านหัวใจสำคัญของกรุงริก้า ถือว่าเป็นจัตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของกรุงริก้า ย่านนี้มี้ร้านอาหาร ค่าเฟ่มากมายให้เลือก และใกล้ๆเราสามารถเข้าไปชมมหาวิหาร Dome Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1211 โดยบาทหลวง บิชอป Albert และโบสถ์นี้ก็ได้ถูกซ่อมแซมบรุณะอีกหลายครั้ง สไตล์ของมหาวิหารจะผสมกันระหว่างโกธิคกับบารอค เราสามารถขึ้นไปดูชมวิวมุมสูงบนยอดโดมได้ด้วย แต่ต้องเสียค่าเข้า ชะนีแคระก็ไม่ได้เข้าไป เพราะเมื่อวานเราได้เก็บรูปวิวมูมสูงของเมืองมาแล้วก็ได้แต่ถ่ายรูปด้านนอกมาให้ชมกันค่ะ
Dome Cathedral |
ย่าน Dome square เต็มไปด้วยร้านอาหาร ค่าเฟ่
เราเดินเล่นกันต่อไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ฟ้ากลับมาใส แดดออกอีกครั้ง
ร้านอาหารเต็มถนนสองข้างทาง |
คุณลุงแต่งกายชุดโบราณเพื่อเรียกแขกนักท่องเที่ยวให้เข้าร้านอาหาร |
เดียวเราลองไปเดินเล่นใกล้ริมแม่น้ำเดากาวากันบ้าง
สะพานข้ามแม่น้ำเดากาวา
ตึกอะไรมีรูปทรงแปลกๆ |
และสถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้เราจะไปเที่ยว Museum of Occupation มันคือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงถึงช่วงสงครามและความเจ็บปวดภายใต้การปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ก่อนที่ลัตเวียจะได้รับเอกราช ซึ่งไม่ต้องเสียค่าเข้า สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่จะมีตู้รับบริจาคอยู่ด้านหน้าค่ะ ถ้าใครสนใจก็แวะเข้าชมนะค่ะ ภายในมีจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของลัตเวียภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ข้าวของเครื่องใช้ของต่างๆของผู้ถูกคุมขังสมัยเป็นนักโทษในช่วงคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจ รับรองว่าน่าสนใจทีเดียวค่ะ
Museum of Occupation |
และบริเวณลานด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์นั้นก็จะมีอนุเสาวรีย์ Latvian Rifleman Monument มันถูกสร้างขึ้นสมัยสหภาพโซเวียตเรืองอำนาจ เค้าว่าเป็นมันเป็นตัวแทนของบอดี้การ์ดของเลนิน
Latvian Rifleman Monument |
วันนี้ค่อนข้างเที่ยวได้ครบเก็บได้หลายอย่างๆที่น่าสนใจในเขตเมืองเก่า และเมืองใหม่ในกรุงริก้าได้ครบก็เกือบเย็นแล้ว วันนี้เราขอสั่งลาทานอาหารของชาวลัตเวียเป็นคืนสุดท้าย ที่หลายๆร้านอาหารในกรุงริก้าจะมีแสดงวงดนตรีสดเกือบแทบทุกร้านเพื่อนเรียกแขก และนักท่องเที่ยวให้เข้าร้าน นับว่ายิ่งเย็น ยิ่งคึกคัก บรรยากาศสนุกสนาน ชะนีแคระเลือกเข้าร้านหนึ่งเพราะว่าอยากนั่งฟังเพลงชิวๆจิบเบียร์เย็นๆ
ร้านนี้คนแน่นเลย |
ขนมปังทอดกระเทียม |
ส่วนอาหารจานหลักเค้าว่ามาเที่ยวแถบทะเลบอลติกขอลองทานอาหารทะเลดูสิ ว่ามันจะสดไหม เมนูนี้เลือกทานหอยแมลงภู่อบซอสมัสตาร์ดค่ะ ปกติเค้าจะอบกับครีม ชะนีแคระไม่เคยลองทานหอยแมลงภู่อบกับมัสตาร์ดเลย ลองดูคะ สรุปก็ไม่เลวนะค่ะ ทานคู่กับขนมปังทาเนยก็แปลกไปอีกค่ะ
หลังจากทานอาหารเย็นกันอิ่ม เราก็เตรียมตัวกลับที่พักกันเพื่อเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางต่อไปในวันพรุ่งนี้ สำหรับประสบการณ์ที่ได้มาเที่ยวในกรุงริก้า 2 วัน 2 คืน นี้ชะนีแคระมีความประทับใจในบ้านเมืองของเค้าไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ที่มีมีความสวยงามไปด้วยสถาปัตยกรรมแนวใหม่ หรือชีวิตชาวเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน เหมือนเมืองใหญ่ๆในยุโรป ริก้าเป็นเมืองที่มีความเจริญมากในรัฐบอลติก ถ้าเทียบกับวิลนีอุสแล้วอารมณ์แทบจะแตกต่างกัน วิลนีอุสจะดูเงียบสงบกว่ามาก ชาวเมืองริก้าดูเป็นมิตรและพูดภาษาอังกฤษได้ดี และยิ่งในสมัยนี้การท่องเที่ยวในประเทศบอลติกไม่ได้ยุ่งยากมาก ค่าใช้จ่ายไม่แพง และมีความปลอดภัยสูง ริก้าก็เป็นทางเลือกหนึ่งของการท่องเที่ยวในยุโรปตะวันออก หากท่านผู้อ่านสนใจก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่ริก้ากันนะค่ะ ที่นี่มีบ้านเมืองที่สวยงาม และมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ หวังว่าบทความนี้คงเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆพี่ๆได้ออกท่องโลกกว้างกันค่ะ ขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ตอนหน้านั้นชะนีแคระจะพาไปเที่ยวประเทศน้องนุชสุดท้องในรัฐบอลติกกันนะคะ เราจะไปเที่ยวเมืองทาลลินน์ (Tallin) ดินแดนแห่งเทพนิยาย ประเทศเอสโทเนีย( Estonia) กันค่ะ
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/05/4-tallinn-estonia.html
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2015/05/4-tallinn-estonia.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น