ข้อมูลทั่วไป
กรุงบรัสเซลส์ เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ Brussels ถ้าเป็นภาษาฝรั่งเศสก็จะเขียน Bruxelles เมืองบรัสเซลส์เป็นเมืองหลวง ของประเทศเบลเยี่ยม ประชาชนที่นี่ส่วนใหญ่ใช้สองภาษาหลักๆก็ภาษาดัตซ์ กับภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ต้องกลัวค่ะ เมืองบรัสเซลส์เค้าเป็นเมืองท่องเที่ยว ผู้คนพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ เบลเยี่ยมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหภาพยุโรป (EU) หากเพื่อนๆสนใจมาเที่ยวกันก็ต้องขอวีซ่าเชงเก้นกันให้เรียบร้อย ซึ่งชะนีแคระจะขอข้ามไปไม่อธิบายแล้วกัน คิดว่าเพื่อนๆคงจะค้นหาขั้นตอน และการเตรียมเอกสารในการขอวีซ่าเชงเก้นได้ในอินเตอร์เนต เพราะเห็นมีหลายคนได้เขียนอธิบายได้ละเอียดดี (ขี้เกียจนั่นเอง) ที่นี่ใช้เงินสกุลยูโรก็เตรียมแลกเงินให้พร้อมก่อนออกเดินทางนะคะ
แผนการเดินทาง
การเดินทางทริปนี้ชะนีแคระตั้งใจจะเดินทางมาเที่ยวที่กรุงบรัสเซลส์นี้เป็นเวลา 2 วันกับอีก 1 คืนตั้งใจจะมาเยี่ยมเพื่อนที่ทำงานอยุ่กรุงบรัสเซลส์(กะว่าจะพักฟรีไม่เสียตังนั่นเอง ดูเป็นคนดีไหมเนีย? ) เราเดินทางกันในต้นเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นหน้าร้อนของยุโรป การเดินทางจากปารีส มาเที่ยวที่กรุงบรัสเซลส์เราสามารถเดินทางได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถไฟทีจีวี รถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศส หรือนั่งเครื่องบินก็ได้ แล้วเดี่ยวนี้มีบริการนั่งรถบัสจากปารีสมาถึงกรุงบรัสเซสล์ด้วยซึ่งราคาค่อนข้างถูกมาก เริ่มต้นแค่สิบกว่ายูโรเท่านั้น ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ ชะนีแคระเอามาแปะให้ https://www.flixbus.com/?gclid=CNi4__idtcYCFQfKtAodG2YJaQ
แต่การเดินทางครั้งนี้ชะนีแคระเลือกที่จะนั่งรถไฟทีจีวีนะ เพราะว่าใช้เวลาแค่ 2 ชม.กว่าๆก็มาถึงกรุงบรัสเซลส์แล้ว ยิ่งถ้าจองล่วงหน้าก็ราคาไม่แพงมาก นี่เอาลิงค์มาแปะให้เหมือนกัน http://uk.voyages-sncf.com/en/ ซึงไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด
วันที่ 1
เราเริ่มออกเดินทางจากปารีสที่สถานีรถไฟสายเหนือ Gare du Nord ตั้งแต่ 9 โมงเช้ากว่า มาถึงที่กรุงบรัสเซลส์ก็เกือบเที่ยง กว่าจะรอเพื่อนมารับพาไปเก็บของและทานข้าวที่อาพาร์ทเม้นท์ กว่าจะเริ่มออกเที่ยวก็เกือบบ่ายสองโมง วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจท้องฟ้าหม่นหมองฝนตกซะงั้น เพื่อนของชะนีแคระนางบอกว่าเอ๊ะเมือวานฟ้ายังสว่างสดใสอยู่เลย แค่พอชะนีแคระมาถึงกรุงบรัสเซลส์ฝนก็ตก อากาศเปลี่ยนซะงั้นคะ(ดูมัน น่ารักจริงๆ) แต่อย่างว่าฝนตกก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเที่ยวของเรา อุตส่าห์มาถึงแล้วจะนั่งในห้องรอฝนหยุดก็ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ ทีสำคัญมันตกไม่หนัก ชะนีแคระคิดเอาเองว่าเดี่ยวมันก็คงจะหยุด เอาละเราเริ่มไปเที่ยวสถานที่แรก จัตุรัสกรองด์ ปราซ (Grand Place) ภาษาฝรั่งเศส แปลว่าจัตุรัสที่กว้างใหญ่นั่นเอง จัตุรัสกรองด์ปราซ เป็นจัตุรัสที่มีความสำคัญ มีขนาดใหญ่และมีความงดงามที่สุดในกรุงบรัสเซลส์ อาคารและตึกต่างๆในจัตุรัสกรองด์ ปราซสร้างเป็นศิลปะสไตล์บาโรคและโกธิค จัตุรัสแห่งนี้เคยถูกทำลายในคศ.1695 จากกองทัพฝรั่งเศสระดมยิงปืนใหญ่ทำลายจัตุรัสแห่งนี้จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ชาวเมืองบรัสเซลส์ก็ร่วมใจกันสร้างบรูณะขึ้นมาใหม่สวยงามเหมือนเดิม ปัจจุบันนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปีคศ. 1998 ภายในจัตุรัสก็จะมีร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรมมากมาย ที่สำคัญตรงกลางลานของจัตุรัสก็จะมีคนมาขายรูปวาด หรือขายดอกไม้ต้นไม้ต่างๆ ว่ากันว่าที่นี่เป็นจุดนัดพบสังสรรค์ของชาวเมืองรวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างเราๆด้วย
จัตุรัสกรองด์ ปราซ (Grand Place)
Town hall ที่ว่าการอำเภอ ในบริเวณลานจัตุรัสกรองด์ ปราซ
ที่จัตุรัสกรองด์ ปราซนี่เค้าจะมีจัดเทศกาลพรมดอกไม้ขึ้นทุกๆ 2ปีครั้งในช่วงประมาณวันที่12-15 สิงหาคม ถ้าท่านผู้อ่านสนใจก็ลองเช็ครายละเอียดหรือวางแผนการเดินทางดี ๆจะได้ไม่พลาดมาดูงานเทศกาลกัน ในบริเวณจัตุรัสกรองด์ ปราซ ใกล้ๆจะเห็น Town Hall ที่ว่าการอำเภอเมือง เป็นอาคารที่สร้างในสไตล์บาโรคผสมผสานกับสไตล์โกธิค ถูกสร้างเสร็จในปีคศ.1420 อดีตใช้เป็นที่ทำว่าการของเมืองบรัสเซลส์
พระราชวัง (King's House)
พระราชวัง (King's house) เป็นอาคารตึกฝั่งตรงข้ามกับ Town Hall อดีตเป็นพระราชวังเก่า แต่ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปีคศ. 1887 ภายในได้มีการจัดรวบรวมประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมือง ประวัติการทำสงคราม รวมถึงจัดแสดงเสื้อผ้าเครื่องประดับในสมัยยุคต่างๆ
รูปปั้นทองเหลือพระเยซู แอบถ่ายติดนายแบบมาด้วย |
ไม่ไกลจากจัตุรัสกรองด์ ปราซ ชะนีแคระก็เห็นนักท่องเที่ยวกำลังมุงอะไรอยู่เข้าไปดูใกล้ๆ มันคือรูปโลหะทองเหลืองรูปปั้นพระเยซู เห็นนักท่องเที่ยวเข้าคิวลูบคลำองค์พระเยซู บ้างก็รุมถ่ายรูป ก็เลยถามเพื่อนว่าทำไมคนเค้าถึงมาลูบคลำ นางเล่าว่าคนที่นี่เชื่อว่าให้มาลูบขอพรองค์พระเยซูแล้วจะทำให้มีสุขภาพดี บ้างก็ว่าจะได้กลับมาเยือนบรัสเซลส์อีก ไม่รอช้าชะนีแคระหรือจะพลาด อิอิว่าแล้วก็ทั้งลูบทั้งคลำ ขอพรนานมาก เผื่อจะได้มีวาสนากลับมาเที่ยวบรัสเซลส์อีก
มาอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญเค้าว่าถ้ามาเมืองบรัสเซลส์ห้ามพลาดมาดูน้ำพุอนุเสาวรีย์รูปปั้นแมนเนเกน พิสหรือเจ้ารูปปั้นหนูน้อยยืนฉี่ (Manneken Pis) เจ้าหนูน้อยนั้นมีประวัติเรื่องเล่ามากมาย บ้างก็ว่าในสมัยที่ฝรั่งเศสทำสงครามกับเบลเยี่ยมนั้นก็ได้จุดชนวนระเบิดหมายจะระเบิดเมืองบรัสเซลส์ให้พินาศเป็นเถ้าถ่าน แต่เจ้าหนูน้อยนี้ก็ผ่านมาเห็นก็เลยยืนฉี่เพื่อดับชนวนไฟเลยทำให้เมืองบรัสเซลส์รอดจากการถูกระเบิดมาได้ ชาวเมืองก็เลยพร้อมใจกันสร้างอนุเสาวรีย์ให้เจ้าหนูน้อยนี้ เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ ปกติแล้วเจ้าหนูน้อยจะมีชุดใส่มากมายหลายร้อยชุดเลย ซึ่งเค้าจะเปลี่ยนให้ใส่ตามเทศกาลต่างๆ เค้าว่ามีชุดไทยด้วยนะ แต่วันนี้ที่เรามาเจ้าหนูน้อยเปลือยไม่ใส่ชุดอะไร ของจริงตัวเล็กนิดเดียวเอง
รูปปั้นเจ้าหนูน้อยแมนเนเกน พิสผู้โด่งดัง |
เราก็เดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบๆเมือง เดินดูข้าวของตามถนนย่านแหล่งช็อปปิ้ง ใครที่มากรุงบรัสเซลส์ห้ามพลาดซื้อพวกช็อกโกแลตกลับไปเป็นของฝากกันค่ะ ที่นี่เค้าขึ้นชื่อเป็นสินค้าโอท็อปเลยว่าได้ หรือจะเรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนรักช็อกโกแลตเลย ตลอดสองฝั่งถนนจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายช็อกโกแลต บางร้านก็ให้ชิมฟรีนะคะ ชะนีแคระหรือจะพลาด มีแต่ช็อกโกแลตน่ากินทั้งนั้นเลย ชั่วโมงนี้ลืมความอ้วนทิ้งไปได้เลยค่ะ
ร้านค้าช็อกโกแลต |
น้ำพุช็อกโกแลต |
ร้านช็อกโกแลต
บรรยากาศสีสันถนนในเมืองบรัสเซลส์
สถานที่ต่อไปที่เราจะพาไปเที่ยวกันก็คือมหาวิหารเซนต์มิเชลและเซนต์กูดูลา (St. Michael et St. Gudula Cathedral) มหาวิหารสำคัญของเมือง ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 10 แล้วก็ถูกไฟไหม้ คศ. 1072 แล้วชาวเมืองได้ทำการบรูณะสร้างต่อเติมขึ้นมาเรื่อยๆด้วยสไตล์ศิลปะแบบโกธิค จนเสร็จสมบรูณ์ในปีคศ. 15 เราสามารถเข้าไปชมภายในมหาวิหารได้ฟรีไม่เสียเงิน
ด้านหลังคือมหาวิหารเซนต์ไมเคิล เซนต์กูดูลา |
ด้านหน้าของมหาวิหาร |
ภายในมหาวิหาร |
แท่นพิธีที่บาทหลวงอ่านคัมภีร์ไบเบิล |
มัวแต่เดินเล่นโอ้เอ้ ดูโน่นดูนี่ก็ปาไปเกือบทุ่มกว่าแล้วค่ะ เย็นนี้เพื่อนของชะนีแคระจะพาไปทานอาหารขึ้นชื่อของชาวบลัสเซลส์กัน ซึ่งใครมาก็จะต้องลองชิมเจ้าเมนูนี้ค่ะมันก็คือ เจ้าเมนูหอยแมงภู่อบ กับเฟร้นช์ฟายด์ ปกติชะนีแคระเคยทานมาหลายครั้งแล้วตอนที่อยู่ฝรั่งเศส แต่ก็ไม่อยากพลาดลองชิมดูว่ารสชาติมันจะต่างกันไหม วันนี้ลองมากินร้านดัง L'EON อ่านว่า เลอง
จากการชิมแล้วรสชาติไม่ต่างจากที่ฝรั่งเศสมากนัก แต่ที่นีหอยใหญ่มาก ที่ฝรั่งเศสอย่างกับลูกหอยซะงั้น เรามาต่อที่เมนูขนมหวาน เค้าว่ามาบรัสเซลส์ต้องลองของหวานที่นี่เค้าขึ้นชื่อค่ะ ขนมวาฟเฟิล มาถึงเบลเยี่ยมทั้งทีจัดไปค่ะ
ก่อนจากกันในค่ำคืนนี้ลากันไปด้วยภาพของจัตุรัสกรองด์ ปราซยามค่ำคืนในบรรยากาศฝนตกพรำๆ
เราเดินมาเรื่อยๆจนถึงย่านจัตุรัส Place de Royale เดิมทีจัตุรัสย่านนี้เป็นตลาดเก่าติดกับพระราชวังเดิมชื่อ Coudenberg ที่ถูกไฟไหม้ไป ในราวคศ. ที่ 17 ก็มีการออกแบบสร้างอาคารใหม่ที่เห็นในปัจจุบัน
หลังจากกลับไปเอาของที่อาพาทเม้นท์เพื่อน แล้วก็เดินทางไปที่สถานนีรถไฟเพื่อเดินทางกลับปารีส วันหยุดสั้นๆนี้เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราต้องเดินทางกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจอยากเดินทางมาเที่ยวที่บรัสเซลส์นั้นก็ไม่ยากเลยคะ เดี่ยวนี้เดินทางสะดวกและก็เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจในยุโรป คุณผู้อ่านที่อยู่ในยุโรปสามารถใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มาแวะเที่ยวได้ ส่วนท่านผู้อ่านที่อยุ่ในเมืองไทยนั้นบรัสเซลส์ และเบลเยี่ยมก็เป็นอีกหนึ่งสีสันอีกทางเลือกหนึ่งของการมาท่องเที่ยวในยุโรป หวังว่ารีวิวของชะนีแคระจะเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแหล่งข้อมูลให้กับทุกท่านนะคะ ก่อนจากกันในวันนี้ขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม สำหรับตอนหน้านั้นชะนีแคระจะทำตัวไฮโซพาแฟนๆไปบุกถิ่นผู้ดีอังกฤษกันค่ะ กับตอนที่ชื่อว่า ชะนีแคระ in UK พาเที่ยวมหานครลอนดอนกันค่ะ
ขนมวาฟเฟิล |
ก่อนจากกันในค่ำคืนนี้ลากันไปด้วยภาพของจัตุรัสกรองด์ ปราซยามค่ำคืนในบรรยากาศฝนตกพรำๆ
จัตุรัสกรองด์ ปราซ ยามค่ำคืน
ฝนตกพรำๆ
เช้าวันที่ 2
สำหรับวันนี้เราตื่นสายเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวานตากฝนทั้งวัน วันนี้ชะนีแคระป่วยค่ะ แต่ถามว่าใจสู้ไหม? ถ้าอาการไม่สาหัสขนาดต้องหามส่งโรงพยาบาลแล้วละก็ ชะนีแคระอึดค่ะยิ่งเรื่องเที่ยวด้วยแล้วละก็ถึงไหนถึงกัน วันนี้เรามีเวลาเที่ยวแค่ถึงบ่ายสีโมงเท่านั้น เพราะเราต้องเดินทางกลับปารีส ตอนนี้ดูนาฬิกาแล้วเกือบ 11 โมงแล้วต้องทำเวลากันหน่อย ถ้าพร้อมแล้วลุยต่อค่ะ ซึ่งโปรแกรมของวันนี้ไม่มีอะไรมากเราจะเน้นดูถนนหนทางชีวิตผู้คนในกรุงบรัสเซลส์ แล้วก็แวะซื้อของฝากก่อนกลับกัน ซึ่งการเที่ยวในวันนี้เราอาศัยการเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่นะคะ นอกจากประหยัดแล้วมันยังทำให้เราได้เห็นชีวิตของชาวเมืองกัน ระหว่างเดินผ่านตามตัวตึกต่างๆก็จะเจอรูปวาดการ์ตูนชื่อดัง Tintin ตินติน หรือภาษาฝรั่งเศสอ่านว่า ตาตา (สำเนียงปารีส) แตงแตง (สำเนียงทางใต้ของฝรั่งเศส) โดยตินติน เป็นการ์ตูนเรื่องราวการผจญภัยสืบสวนสอบสวนแนวตลกขบขัน ที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆทั่วโลก ได้มีการแปลเป็นภาษาต่างชาติมากกว่า 80 ภาษาทั่วโลก และตินตินมีต้นกำเนิดเรื่องราวจากเบลเยี่ยมนั่นเอง โดยนักเขียนการ์ตูนชื่อดังนามว่า จอร์จ เรมี ใช้นามปากกาว่า Hergé อ่านว่า แอร์เช่ ซึ่งเค้าเกิดที่เบลเยี่ยมนั่นเอง
ภาพวาดการ์ตูตินติน |
ภาพวาดตามตัวตึกอาคารบ้านช่องต่างๆ |
เราจะเห็นภาพว่าการ์ตูนตินตินนี้ตามตึกต่างๆ รอบเมืองบรัสเซลส์ เค้าว่ากันเป็นการให้เกียรติแก่นักเขียนชื่อดังแล้ว ยังเป็นกุศโลบายส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัว เค้าว่ากันว่ามีแฟนคลับของผู้คลั้งไคล้การ์ตูนชุดนี้บินมาเยี่ยมชมจำนวนมากมายทุกปี คิดดูว่าจะสร้างรายได้มหาศาลแค่ไหนเนี่ย ว่าแล้วลองแวะเค้าร้านขายหนังสือการ์ตูนจะหาดูหนังสือของตินตินซะหน่อย
เราเดินไกลออกมาจากโซนนักท่องเที่ยวหน่อย มาแวะโซนแถวที่ทำงานเพื่อน นางแวะพาไปดูออฟฟิศนางค่ะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่โซนไหนของเมืองบรัสเซลส์เอาเป็นว่า วันนี้เป็นทริปขำๆเดือนเรื่อยเปือยแบบไม่มีจุดหมายแล้วกัน
บรรยากาศตามถนนหนทาง |
แถวนี้ปลูกต้นไม้เป็นทิวแถวเลย |
เราเดินมาเรื่อยๆจนถึงย่านจัตุรัส Place de Royale เดิมทีจัตุรัสย่านนี้เป็นตลาดเก่าติดกับพระราชวังเดิมชื่อ Coudenberg ที่ถูกไฟไหม้ไป ในราวคศ. ที่ 17 ก็มีการออกแบบสร้างอาคารใหม่ที่เห็นในปัจจุบัน
พระราชวัง Coudenberg |
เราเดินมาอีกนิดก็จะถึง Mont des Arts เป็นสวนหย่อม มีต้นไม้ดอกไม้สวยๆที่นี่เค้าบอกจะเป็นจุดที่ดีจุดหนึ่งในการเห็นวิวสวยๆของกรุงบรัสเซลส์ จากประวัติตรงบริเวณนี้เมื่อก่อนเป็นจุดที่ชาวเมืองอาศัยอย่างหนาแน่น ในสมัยคศ. 19 กษัตริย์ในสมัยนั้นมีแนวความคิดที่จะปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อจะสร้างภูมิทัศน์ที่งดงามระหว่างพระราชวังกับจัตุรัสกรองด์ ปราซ ก็เลยสั่งให้มีการรื้อถอนอาคาร แล้วมีการออกแบบสร้างสวน และน้ำพุขึ้นมาแทน
Mont des Arts |
อนุเสาวรีย์ |
ตอนนี้เกือบบ่ายสองแล้ว เราก็กลับไปเดินเล่นแถวๆย่านน้ำพุเจ้าหนูแมนนาเกน พิสอีกครั้งเพื่อเดินดูของที่ระลึก ของฝากก่อนกลับบ้านกัน
ของที่ระลึกรูปปั้นแมนนาเกน พิส
นอกจากร้านช็อกโกแลตต่างๆ ที่มีให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อมากมายแล้ว พวกรูปปั้นเจ้าหนูแมนนาเกน พิส พวงกุญแจ ที่ติดตู้เย็น ชะนีแคระก็เห็นพวกผ้าถักลูกไม้ต่างๆเป็นม่านหน้าต่าง ผ้าเช็ดหน้า ชุดเสื้อผ้าเด็กเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมให้เลือกซื้อกันด้วย มีหลายร้านมากเลยค่ะ แถมแต่ละร้านก็ตกแต่งสวยงามทีเดียว
ร้านขายผ้าถักลูกไม้ |
ปิดท้ายก่อนกลับแวะซื้อขนมวาฟเฟิลซึ่งร้านขายวาฟเฟิลมีอยุ่หลายร้านมากตลอดทุกถนน ชะนีแคระเลือกเข้าไปสั่งร้านหนึ่งเห็นน่ากินดี เจ้าของร้านเห็นหน้าตาเอเชียหัวดำอย่างนี้ก็เลยถามว่าคุณมาจากไหนเนี่ย คนไทยหรือเปล่า เราก็บอกไปว่าเป็นคนไทย พอเค้ารู้ว่าเป็นคนไทยก็ตะโกนไปเรียกลูกจ้างหลังร้านบอกว่ามีลูกค้าคนไทยมา แม่ครัวของร้านเป็นพี่คนไทย แกแต่งงานแล้วก็มาอาศัยที่กรุงบรัสเซลส์ได้ 4-5 ปีแล้วมาเป็นลูกจ้างที่ร้านนี้ หลังจากคุยสักพัก แกก็ทำวาฟเฟิลให้พร้อมแถมให้เยอะมากจริงๆ ถ้าท่านผู้อ่านสนใจก็ลองแวะมาชิมขนมวาฟเฟิลกันได้นะคะ
ร้านขายขนมวาฟเฟิล |
พี่คนขายคนไทย |
หลังจากกลับไปเอาของที่อาพาทเม้นท์เพื่อน แล้วก็เดินทางไปที่สถานนีรถไฟเพื่อเดินทางกลับปารีส วันหยุดสั้นๆนี้เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราต้องเดินทางกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจอยากเดินทางมาเที่ยวที่บรัสเซลส์นั้นก็ไม่ยากเลยคะ เดี่ยวนี้เดินทางสะดวกและก็เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจในยุโรป คุณผู้อ่านที่อยู่ในยุโรปสามารถใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มาแวะเที่ยวได้ ส่วนท่านผู้อ่านที่อยุ่ในเมืองไทยนั้นบรัสเซลส์ และเบลเยี่ยมก็เป็นอีกหนึ่งสีสันอีกทางเลือกหนึ่งของการมาท่องเที่ยวในยุโรป หวังว่ารีวิวของชะนีแคระจะเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแหล่งข้อมูลให้กับทุกท่านนะคะ ก่อนจากกันในวันนี้ขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม สำหรับตอนหน้านั้นชะนีแคระจะทำตัวไฮโซพาแฟนๆไปบุกถิ่นผู้ดีอังกฤษกันค่ะ กับตอนที่ชื่อว่า ชะนีแคระ in UK พาเที่ยวมหานครลอนดอนกันค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น