สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน หลังจากที่ชะนีแคระพาไปเที่ยวที่เมืองมัณฑะเลย์กันแล้ว สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านก็สามารถตามอ่านในลิงก์ที่แปะไว้นะคะ
https://aiyaaroundtheworld.blogspot.com/2018/10/mandalay.html ตามโปรแกรมเราจะเที่ยวกันต่อที่เมืองพุกามเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ซึ่งในช่วงที่ชะนีแคระเดินทางมาเที่ยวประเทศเมียนมาเป็นช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ.2559 หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมาได้เกือบๆ 1 เดือน ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2559 โดยจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่พุกาม ตอนแรกชะนีแคระกับเพื่อนจะยกเลิกทริปที่จะเดินทางมาพุกามแล้ว เพราะได้ข่าวว่ามีวัด และเจดีย์มากมายที่เสียหายและถล่มลงมาจำนวนมาก ทางการรัฐบาลเมียนมาได้ปิดเจดีย์บางส่วนเพื่อทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ทำให้เราต้องคิดหนักจะยกเลิกดีหรือเปลี่ยนแผนไปเที่ยวเมืองอื่นกันดี แต่เนื่องจากเราได้จองที่พัก ตั๋วเครื่องบินที่ไม่สามารถยกเลิกได้สุดท้ายก็ลงมติกันว่าเอาวะไปก็ไปเที่ยวที่พุกาม เมืองแห่งทุ่งทะเลเจดีย์ 4000 กว่าองค์ ถล่มเสียหายไปร้อยองค์ก็ต้องมีเจดีย์เหลือให้เราชมบ้างละ ที่สำคัญเสียตังไปแล้วเสียดายมากกว่า เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาชะนีแคระจะพาทุกท่านไปเที่ยวกันต่อที่เมืองพุกามกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยไปพร้อมกันเลยค่ะ
เมืองพุกาม(Bagan) อาณาจักรพุกามเป็นอาณาจักรแห่งแรกของชาวเมียนมา และมีประวัติอันยาวนานมาหลายพันปี เดิมทีพุกามเป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่แห้งแล้ง บางแห่งเป็นทะเลทราย อาณาจักรพุกามถูกสถาปนาโดยกษัตริย์องค์แรกคือพระเจ้าอโนรธามังช่อ ผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ถึงขนาดเดินทางไปขอพระไตรปิฏกกับพระเจ้ามนูหะ เจ้าเมืองสะเทิม (มอญ) แต่กลับถูกพระเจ้ามนูหะปฏิเสธ ทำให้พระเจ้าอโนรธามังช่อโกรธมาก จึงกลับมาเตรียมไพร่พล และยกทัพกลับไปตีเมืองมอญจนแตกได้สำเร็จ พระองค์ทรงทำการอันเชิญพระไตรปิฏกกลับมาที่เมืองพุกาม ทั้งกวาดต้อนพระเจ้ามนูหะและพระราชวงศ์ พระ ช่างฝีมือ ทาสและเชลยศึกชาวมอญนับหมื่นมาที่เมืองพุกาม หลังจากนั้นพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทก็มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอาณาจักรพุกาม กษัตริย์องค์ต่อๆมาทุกพระองค์ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า และนิยมสร้างเจดีย์ประจำรัชกาลกันทุกพระองค์ เพื่อเป็นการเสริมบุญบารมีศิริมงคลต่อพระดวงชะตาและราชวงศ์ ตลอดจนเหล่าขุนนาง พ่อค้าวาณิชต่างก็สร้างเจดีย์ประจำตระกูลกัน ดังนั้นจึงทำให้พุกามมีเจดีย์มากมายถึงขนาดว่ากันว่ามีการสร้างเจดีย์มากถึง 4000 กว่าองค์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 2000 กว่าองค์เท่านั้น เพราะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จนถึงยุคเสื่อมสลายของอาณาจักรพุกามเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้านรสีหบดี กษัตริย์องค์สุดท้ายของพุกาม ได้สร้างเจดีย์มิงกาลาเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรพุกาม ว่ากันว่าได้มีการทำนายจากโหรหลวงว่า ถ้าหากสร้างเจดีย์มิงกาลาได้สำเร็จ อาณาจักรพุกามจะล่มสลาย และหลังจากสร้างเจดีย์เสร็จไม่นาน กองทัพมองโกลก็บุกตีเมืองพุกามได้สำเร็จ ทำให้อาณาจักรพุกามที่เคยรุ่งเรืองมาเป็นเวลาหลายพันปีต้องล่มสลายและกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด
การเดินทาง
ชะนีแคระเดินทางโดยนั่งรถบัสโดยสาร vip ของบริษัท OK express จากเมืองมัณฑะเลย์ไปพุกาม โดยให้ทางโรงแรมจองตั๋วให้ราคาตกคนละ 10000 จ๊าด ท่านผู้อ่านสามารถเดินหาใช้บริการจากบริษัททัวร์อื่นได้ อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ แต่ชะนีแคระเน้นความสะดวกก็เลยใช้บริการของทางโรงแรมซึ่งรถบัสโดยสารก็จะมารับเราที่หน้าโรงแรมเลยตอนเวลา 8.30 น. ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงพุกาม
|
บริษัทรถบัสโดยสารซึ่งเป็นแบบ VIP มีผู้โดยสาร 15 คน |
หลังจากรถขับได้มาครึ่งทางสัก 2 ชั่วโมงกว่าๆรถบัสก็หยุดแวะพักที่จุดแวะกลางทางให้ผู้โดยสารได้ทานอาหาร เครื่องดื่มหรือเข้าห้องน้ำตามอัธยาศัย โดยจะหยุดพักรถสักประมาณ 20 นาทีกว่าๆ
|
จุดแวะพักกลางทาง ผู้โดยสารแวะทานอาหาร |
|
เหล่าแม่ค้าหาบของมาขายผู้โดยสาร |
|
มีขายหมาก ของคบเขี้ยวยอดฮิตของชาวเมียนมา ต้องลองชิมดูสักอัน |
ก่อนที่จะถึงตัวเมืองพุกาม 3 กิโลเมตรก็จะมีด่านตรวจ จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาขายบัตรเข้าเมืองบนรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองพุกาม ซึ่งการท่องเที่ยวในเมืองต่างๆของประเทศเมียนมาจะต้องมีการซื้อบัตรเข้าเมืองทั้งนั้น ราคาบัตรตกคนละ 25000 จ๊าด บัตรนี้จะใช้ได้ประมาณ 5 วัน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องพกบัตรติดตัวตลอดเวลาในการท่องเที่ยวที่พุกาม ซึ่งในแต่ละสถานที่ในพุกามก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรนี้ ถ้าหากเจ้าหน้าที่ตรวจขอดูบัตรแล้วเราไม่มีให้ก็ต้องซื้อบัตรใหม่นะคะ เพราะฉะนั้นต้องระวังเก็บรักษาให้ดีห้ามหายเด็ดขาด เมื่อมาถึงเมืองพุกามรถบัสก็มาจอดที่ท่ารถบัสที่เมืองยองอู (Nyaung U) ส่งผู้โดยสาร ชะนีแคระกับเพื่อนก็ลงมารอรถจากทางโรงแรมที่ส่งมารับ
ที่พัก
ที่พักในเมืองพุกามจะแบ่งเป็น 3 โซน โซนแรกนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมพักที่เมืองยองอู(Nyaung U)เพราะมีที่พักให้เลือกมากมาย มีร้านอาหาร บาร์มากมายที่สำคัญราคาไม่แพง ส่วนโซนที่สองเขต New Bagan ก็จะไกลไปนิด และเป็นย่านที่พักอาศัยของชาวเมืองพุกามในปัจจุบัน ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ใหม่ และราคาค่อนข้างแพง และโซนเขต Old Bagan เขตนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโซนเขตทุ่งเจดีย์สะส่วนใหญ่ โรงแรมค่อนข้างมีน้อย และก็ราคาแพง สำหรับชะนีแคระขอแนะนำให้พักที่เมืองยองอู เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปส่วนใหญ่นิยมพักกันและมีโรงแรมให้เลือกมากมายหลายระดับราคา ตลอดทั้งทริปที่พุกามชะนีแคระพักที่โรงแรม OASIS โดยก่อนเดินทางมาถึงชะนีแคระก็แจ้งทางโรงแรมล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ได้จองตั๋วรถบัสแล้วว่าจะเดินทางมากับรถบัสบริษัทอะไร เดินทางวันไหน มาถึงกี่โมง แล้วทางโรงแรมก็ส่งรถม้ามารับเราที่ท่ารถที่เมืองยองอูซึ่งเป็นบริการฟรีจากทางโรงแรม
|
ชะนีแคระได้ลองนั่งรถม้าเก๋ๆ |
สำหรับการเที่ยวในพุกามส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนิยมเช่ารถ E-bike หรือ E-Scooter ขับกันมากกว่า ถ้าเป็นคนลุยๆ ชอบเที่ยวแบบชิวๆ ชะนีแคระแนะนำเช่า E- Scooter ขับง่ายไม่อันตราย บางก็เลือกเช่ารถยนต์พร้อมคนขับพาเที่ยวเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวมาเป็นกลุ่มและมีเวลาไม่มาก และสุดท้ายก็คือเช่ารถม้าพร้อมคนขับพาเที่ยวก็ได้อารมณ์อีกแบบ ส่วนใหญ่ชะนีแคระเห็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป อเมริกันผู้สูงอายุนิยมใช้บริการพี่รถม้ากันนะ เอาละหลังจากได้รถแล้วเราก็แว้นขับไปหาของกินกันเลย ต้องบอกก่อนว่าตอนที่รถบัสแวะหยุดจอดที่จุดพักรถชะนีแคระกับเพื่อนไม่กล้ากินอาหาร เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี ได้แต่ซื้อน้ำอัดลมมาดื่ม ดังนั้นตอนนี้ท้องหิวมาก
|
Rain Restaurant |
แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน Rain Restaurant มีขายอาหารพื้นเมืองพุกามด้วย เนื่องจากที่พุกามเป็นเมืองที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ดินส่วนใหญ่เป็นดินทรายดังนั้นพืชพันธุ์ที่เพาะปลูกส่วนใหญ่จะเป็นพวกพืชที่ทนกับความแห้งแล้งได้ดีเช่น ถั่วลิสง ดังนั้นอาหารส่วนใหญ่ของชาวพุกามจะค่อนข้างประกอบไปด้วยถั่วลิสง อย่างเมนูที่สั่งมาก็จะมีแกงไก่แบบชาวเมียนมาเครื่องแกง มันๆ และก็ส้มตำใส่ถั่วลิสงด้วย ลองชิมกันดูนะคะ
|
อาหารพื้นเมืองพุกามเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ |
|
รสชาติใช้ได้เลย จะไม่ค่อยเผ็ดออกมันๆ ส้มตำก็คล้ายๆส้มตำไทยบ้านเราแต่แค่เค้าตำถั่วลิสงให้ละเอียด ใส่หอมแดงด้วย รสชาติหวานๆมันๆ |
เมื่อท้องอิ่มก็พร้อมออกเที่ยวแล้วกับสถานที่แห่งแรกที่ชะนีแคระจะแวะไปก็คือเจดีย์ชเวซีโกนกันค่ะ
เจดีย์ชเวซีโกน (Shwezigon Pagoda)
|
พระเจดีย์ชเวซีโกน |
เจดีย์ชเวซีโกน เป็น 1 ใน 5 มหาศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ในเมียนมา และเป็นต้นแบบเจดีย์ต่างๆในประเทศเมียนมาอีกด้วย สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1059 หลังจากได้รับชัยชนะในการตีเมืองมอญได้สำเร็จ ชเวซีโกน แปลว่า เจดีย์ดีทองบนพื้นทราย ตามพงศาวดารได้กล่าวว่า ตอนที่พระเจ้าอโนรธามังช่อดำริจะสร้างพระเจดีย์ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากช้างเผือกทรงของพระองค์หยุดอยู่ตรงที่ใดก็จะสร้างพระเจดีย์ที่นั่น ช้างเผือกของพระองค์ก็หยุดอยู่ที่หาดทรายริมแม่น้ำอิระวดี และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเจดีย์ชเวซีโกน
|
พระเจดีย์ชเวซีโกน |
ภายในตัวพระเจดีย์บรรจุสารีริกธาตุและทันตธาตุของพระพุทธเจ้าที่อันเชิญมาจากประเทศศรีลังกา แต่การสร้างพระเจดีย์แล้วเสร็จในปีคศ.1090 ในสมัยพระเจ้าจั่นสิตา รัชกาลองค์ต่อมา
|
สิ่งที่คิด |
ขณะที่ชะนีแคระไปเที่ยวที่พุกามเจดีย์ชเวซีโกนได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดังนั้นภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้นะคะ ทางการมีการบูรณะซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ ทำให้เราอดได้ภาพสวยๆมาฝากคุณผู้อ่าน
|
สิ่งที่เป็น มีการบรูณะปรับปรุงหลังจากมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พศ.2559 |
|
นัตพ่อลูกภายในเจดีย์ชเวซีโกน |
|
ชาวเมียนมาต่างเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมานมัสการไหว้พระเจดีย์ชเวซีโกน |
วิหารติโลมินโล (Htilominlo Temple)
|
วิหารติโลมินโล |
วิหารติโลมินโลถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1218 ในสมัยพระเจ้านาตองมยาหรือพระเจ้าติโลมินโล จากประวัติพงศาวดารการสร้างวิหารมาจากที่มาเนื่องในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู คือพระราชบิดาของพระเจ้าติโลมินโล พระเจ้านรปติสิทธู มีพระมเหสีและพระชายามากมาย ทำให้พระองค์มีพระราชบุตรเยอะ ตอนที่พระองค์ทรงพระประชวรก็ได้สัญญากับพระชายาองค์หนึ่งที่ดูแลพระองค์เป็นอย่างดีว่าจะให้พระราชบุตรของพระนางได้ทรงพิจารณาให้มีสิทธิ์ขึ้นครองราชบัลลังก์ด้วย ดังนั้นพระองค์จึงไม่สามารถแต่งตั้งพระราชโอรสจากพระมเหสีขึ้นครองราชย์ได้ทันที พระองค์ตัดสินพระทัยไม่ถูกเลยทำการเรียกพระราชบุตรทั้ง 5 มานั่งล้อมวงกันแล้วตั้งฉัตรประจำพระองค์ไว้ตรงกลางทำการเสี่ยงทาย หากปลายฉัตรหันไปทางพระราชโอรสองค์ใดผู้นั้นก็ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดา ผลปรากฏว่าปลายด้ามฉัตรกลับหันไปทางพระโอรสของพระชายาผู้ที่บริบาลพระเจ้านรปติสิทธูที่ได้รับปากไว้นั่นเอง หลังจากที่พระราชบุตรองค์นั้นได้ขึ้นครองราชย์ก็กลับมาสร้างวิหาร ณ จุดที่ทำการเสี่ยงทายด้วยฉัตรนั่นเอง ดังนั้นชาวพุกามจึงเรียกเจ้าชายองค์นี้ว่า กษัตรยิ์ฉัตรตั้งหรือแปลว่า ติโลมินโลในภาษาเมียนมานั่นเอง
|
วิหารติโลมินโล |
รูปแบบสถาปัตยกรรมของวิหารติโลมินโลนั้นจำลองรูปแบบมาจากมหาเจดีย์ที่ประเทศอินเดียนั่นเอง ภายในวิหารก็มีภาพจิตกรรมภายในที่วิจิตรสวยงามอีกด้วย
|
ร้านค้าขายของที่ระลึกภายนอกวิหารติโลมินโล |
บริเวณภายนอกวิหารมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายหลายร้านรอให้บริการนักท่องเที่ยวสามารถเลือกจับจ่ายซื้อของที่ระลึกกัน และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดคือการชมทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินกันเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาท่องเที่ยวที่พุกาม เราเตรียมรายชื่อเจดีย์ที่สามารถขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินได้มาด้วย และตอนนี้ก็ได้เวลาห้าโมงเย็นกว่าแล้วต้องรีบนิดเดี๋ยวพระอาทิตย์จะตกดินเสียก่อน
เจดีย์ชเวสันดอร์(Shwesandaw Pagoda)
|
เจดีย์ชเวสันดอร์(Shwesandaw Pagoda)
|
เจดีย์ชเวสันดอร์ เป็นเจดีย์ใหญ่และยอดฮิต และก็เป็นมุมมหาชนของเหล่านักท่องเที่ยวที่ต้องการมาชมทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินหรือตอนพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ตามประวัติเจดีย์ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1057 โดยพระเจ้าอโนราธามังช่อ หลังจากการที่พระองค์ได้รบชนะมอญ ภายในพระเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุที่อันเชิญจากเมืองมอญ (เมืองสะเทิม) โดยตัวพระเจดีย์จะมีการก่อสร้างฐานถึง 5 ชั้น และเป็นงานพุทธศิลป์ในสมัยพุกามแท้ร่วมสมัยเดียวกันกับเจดีย์ชเวซีโกน
|
เจดีย์ชเวสันดอร์ถูกปิดบรูณะซ่อมแซม ห้ามให้นักท่องเที่ยวเข้า
|
แต่ที่น่าเสียดายในช่วงที่ชะนีแคระเดินทางไปเที่ยวเจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดบรูณะปฏิสังขรณ์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเจดีย์ นักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายที่ต่างเดินทางกันมาต้องเสียเวลาเก้อ ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่งกว่าแล้วชะนีแคระกับเพื่อนต้องหาเป้าหมายเจดีย์ต่อไปในการหาจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินกันซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ขณะที่ชะนีแคระกับเพื่อนรวมถึง นักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ กำลังดูแผนที่กันอยู่เพื่อจะหาเป้าหมายเจดีย์ต่อไป นักท่องเที่ยวที่เราเจอและคุยด้วยเค้าก็บอกว่ามาจากเจดีย์อื่นๆที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินเหมือนกันต่างก็ถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปหลายเจดีย์ ทำให้เราต้องเปลี่ยนเป้าหมายในการหาเจดีย์เล็กๆอื่นแทน ขณะกำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะไปเจดีย์ไหนดี ก็มีชายชาวพุกามคนหนึ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาคุยกับกลุ่มชะนีแคระ และก็กับนักท่องเที่ยวที่ยืนเก้ๆกังๆตรงหน้าเจดีย์ชเวสันดอร์
ชายชาวพุกาม : Hello my freinds come with me. I can help you to find a place to see the good view sunset. Come come !!!. D'ont worry. Not dangerous !! You can believe me.
เพื่อนๆกับชะนีแคระมองหน้ากันเอาไงกันดีจะตามเค้าไปดีไหมหรือจะหากันเอง เพื่อนชะนีแคระบอกว่าพวกเราไม่มีเวลาแล้วถ้าหากันเองคงไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินแน่ๆ ในกลุ่มมีผู้ชายไปด้วย 1 คนคิดว่าคงไม่มีอันตราย อีกอย่างก็มีนักท่องเที่ยวยุโรปชายหญิงอีกคู่หนึ่งตามไปด้วยรถ E-scooter อีกหนึ่งคันคงไม่อันตรายหรอก ว่าแล้วพวกเราจึงตัดสินใจขี่รถตามๆกัน ซึ่งชายชาวพุกามคนนี้ก็ขี่นำหน้าพาพวกเราเลี้ยวรถผ่านทุ่งเจดีย์ต้นไม้ใหญ่น้อย สลับซับซ้อนไปมา ชะนีแคระคิดในใจว่าเค้ามาคนเดียวก็จริงแต่ถ้าหากว่าเค้ามีกลุ่มชายฉกรรจ์รออยู่จะทำยังไง ในใจก็กลัวๆ ยิ่งท้องฟ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีตากผ้าอ้อม กับมีฉากหลังเป็นวัดเก่าๆ เจดีย์เก่าๆเต็มไปหมด ได้บรรยากาศหนังผีปนหนังสยองขวัญ ชะนีแคระบอกกับเพื่อนชายที่ซ้อนรถมาด้วยกันว่าแกๆเราเปลี่ยนใจเลี้ยวรถกลับกันดีไหม ฉันกลัว เพื่อนบอกมาถึงขนาดนี้แล้ว ลุยอย่างเดียว ในที่สุดชายชาวพุกามก็พารถมาจอดที่เจดีย์เล็กๆองค์หนึ่ง แต่มีชั้นสองให้เราปีนขึ้นไปบนตัวองค์เจดีย์ได้ และภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้
|
ทุ่งทะเลเจดีย์ที่พุกาม |
|
ทุ่งทะเลเจดีย์ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด |
|
แสงพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า |
|
แสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน |
|
แสงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า |
หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เรานักท่องเที่ยวก็ต่างเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับ ชายชาวพุกามก็ได้พูดกับพวกเราว่า
ชายชาวพุกาม : My friends ,I help you already. And now you can help me and my familly please !!!
ว่าแล้วเค้าก็กางงานภาพวาดหลายชิ้น กับของที่ระลึกมาขายนักท่องเที่ยว ชะนีแคระกับเพื่อนมองหน้ากันเอาวะ ช่วยเค้าซื้อหน่อย ปรากฏว่ากลุ่มเราเลือกซื้อภาพวาดมา 1 ผืนตกราคา 20 ดอลล่าร์ ต่อเหลือ 18 ดอลล่าร์ พอซื้อเสร็จเค้าก็ขอบคุณเราแถมบอกว่าลูกเค้าต้องการเงินไปเรียนหนังสือ ขอบคุณเราอย่างสุภาพ จริงๆแล้วถ้าเราซื้อตามร้านค้าต่างๆอาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ แต่อย่างว่าทำไงได้ ถ้าไม่ช่วยซื้อเลยเราก็เกรงใจ อีกอย่างเค้าก็พูดจาดีพาเรามา เพื่อนชาวฝรั่งเศสบอกกับชะนีแคระว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีนะนี่ อิอิ หลังจากลานักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่มาด้วยกันแล้ว คณะผองเพื่อนกับชะนีแคระก็แว้นรถกลับไปหาอาหารเย็นทานแถวโรงแรม แถวๆย่านถนนคนเดินยองอูที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย ชะนีแคระกับเพื่อนเลือกกินอาหารเย็นที่ร้านนี้ ร้าน
Novel Restaurant เห็นคนคึกคักดี มีทั้งชาวพุกาม และก็นักท่องเที่ยวชาวยุโรป คืนนี้จะลองกินปิ้งย่าง บาบีคิวพุกามดูบ้างนะ
|
Novel Restaurant |
|
เลือกได้เลยว่าเราจะเอาอะไร ชะนีแคระกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสยืนชี้เลือกชุดใหญ่ |
|
แม่ค้าปิ้งย่างกันสดๆ |
|
ชะนีแคระเลือกปลาเผา กับผักย่าง แต่ของเพื่อนเลือกพวกเนื้อ ไก่ย่างกินกับข้าวสวย |
สรุปเราสั่งกันมาหลายอย่างแต่ถ่ายรูปปลาได้ภาพเดียว เพราะปลามาช้าสุดอะไรมาก่อนก็กินกันก่อนจนลืมถ่ายรูปนะ ด้วยความหิวจัด สรุปอาหารรสชาติใช้ได้ และก็ราคาไม่แพง หากท่านผู้อ่านสนใจก็อย่าลืมมาตามรอยกันนะ หลังจากคืนรถ E-scooter กับทางโรงแรมเราก็กลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัยพร้อมลุยต่อในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 2
หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อย ไปเอารถ E-scooter คันเดิมที่ชาร์ตแบตเตอรี่เรียบร้อยก็ได้
เวลา 10.00 น. ชะนีแคระกับเพื่อนก็มุ่งหน้าไปเที่ยวกันต่อที่เป้าหมายต่อไป
ตลาดเช้าเมืองยองอู(Market Nyaung U)
ตลาดเช้ายองอูก็เหมือนตลาดตามต่างจังหวัดบ้านเราเมื่อหลายสิบปีก่อนนี่หละ ที่เริ่มขายสินค้าตั้งแต่ตีสี่ตีห้า ไปจนถึงบ่ายๆตลาดก็จะวาย แต่ที่นี่ทำให้เราเห็นวิถีชีวิตของชาวพุกาม ได้เห็นพ่อค้าแม่ค้าขายของแบกะดิน เห็นสีสันของผู้คน นับว่าเป็นจุดนับพบของชาวเมืองพุกาม และจุดนับพบของนักท่องเที่ยวด้วยนะที่ต้องมาแวะถ่ายรูปและสัมผัสกับวิถีชีวิตชาวบ้านพุกามกัน สำหรับชะนีแคระไม่มีความแปลกตาหรือรู้สึกประหลาดใจอย่างใด เพราะรู้สึกชินตาเห็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่สำหรับเพื่อนชาวฝรั่งเศสนับว่าเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้น ความประทับใจและแปลกใหม่อย่างมากที่เค้าไม่เคยเจอ
|
เป็นตลาดใหญ่ที่ขายของหลากหลายทั้งของสดเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ รวมถึงอาหารแห้ง และของใช้ต่างๆนับว่ามีเกือบทุกสิ่งที่ตลาดยองอู |
|
รองเท้าขายแบกะดินกันเลย |
|
เครื่องชั่งโบราณ ร้านค้าส่วนใหญ่ยังใช้เครื่องชั่งแบบโบราณกันอยู่ |
|
กะปิเมียนมา กุ้งแห้ง ปลาแห้ง ร้านนี้มีเครื่องชั่งแบบใหม่ |
|
โซนผักและผลไม้ของสด |
|
ร้านขายทานาคา ขายเป็นท่อนๆกันเลย |
หลังจากถ่ายรูปและแวะดูข้าวของเก็บภาพวิถีชีวิตผู้คนสักพัก ชะนีแคระกับเพื่อนก็แว้นรถกลับเข้าโซนเมืองเก่าเขตทุ่งเจดีย์กันต่อเพราะวันนี้ยังมีอีกหลายเจดีย์ หลายวิหารสำคัญอีกหลายองค์ต้องทำเวลากันหน่อยแล้ว ระหว่างที่เราขี่รถผ่านสองข้างทางเต็มไปด้วยเจดีย์มากมาย เราเห็นเจดีย์องค์ไหนดูน่าสนใจก็แวะถ่ายรูปกันเพลิดเพลิน ที่สำคัญพวกเราก็แวะสำรวจตามหาเจดีย์ที่สามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน มีวิวสวยๆสำหรับเย็นนี้ด้วย
|
เหล่าหมู่เจดีย์นับร้อยๆองค์ องค์เล็กองค์น้อยตลอดสองข้างทาง |
|
ชะนีแคระกับเพื่อนแว้นซอกแซกไปตามทุ่งหญ้า |
|
สำรวจหมู่เหล่าเจดีย์ที่สามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปเห็นวิวสวยๆ |
|
เจดีย์องค์นี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไรแต่มีฐานสองชั้นให้เราขึ้นมาถ่ายรูปชั้นบนได้ |
|
เหล่ากลุ่มเจดีย์ตลอดสองข้างทาง |
หลังจากขี่รถและดูแผนที่มาเรื่อยๆ เป้าหมายของเราต่อไปก็คือแวะที่วัดอนันดา
วัดอนันดา (Ananda Phaya)
|
วัดอนันดา (Ananda Phaya) |
วัดอนันดาถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่1091 ในสมัยพระเจ้าจั่นสิตา กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งพุกาม แล้วสร้างเสร็จในปีคศ .1105 วัดอนันดาเป็นวัดที่สวยงามวิจิตร ตระการตา และถูกกล่าวว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งพุทธศิลป์ช่างพุกามเลยทีเดียว ตัวอาคารถูกสร้างด้วยสีขาว วิหารหลักสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ่โต แล้วมีมุขยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน คล้ายทรงไม้กางเขน จากประวัติพงศาวดารกล่าวกันว่า วัดอนันดาถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนเขานันทมูล ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัยประเทศอินเดีย ที่เคยเป็นที่จำพรรษาของพระอรหันต์ 8 รูปที่เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่พุกาม ซึ่งพระเจ้าจั่นสิตามีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากในพระอรหันต์ทั้ง 8 รูป พระเจ้าจั่นสิตาก็ได้ให้พระอรหันต์เล่าพรรณาถึงภูเขานันทมูล แล้วก็สร้างวัดอนันดาขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
|
ทางเข้าวิหารอนันดา |
|
มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายหลายร้าน |
|
เครื่องเขินศิลปะเมียนมา
|
|
เห็นว่ายอดวิหารสีทองมีการหักและเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว |
|
ดูด้านข้างเหมือนมีสิงห์อยู่ 2 ตัวประกบกัน |
|
ด้านหน้าตัวสิงห์ |
ชะนีแคระทำการสำรวจด้านนอกวิหารก่อนเลย จะเห็นได้ว่าน่าเสียดายที่ยอดวิหารสีทองด้านบนมีการแตกหักชำรุดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และทางการเมียนมาก็กำลังทำการบรูณะปฏิสังขรณ์อยู่ แต่ก็ยังถือว่าชะนีแคระกับเพื่อนยังโชคดีอยู่ที่ทางรัฐบาลไม่ได้ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าชมเหมือนเจดีย์องค์อื่น ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ แค่อาจจะมีการปิดพื้นที่ในบางส่วนที่เสียหายเท่านั้น และเราก็ไม่ได้ภาพสวยๆเหมือนที่ใจคิดอีกแล้ว
|
ภายในวิหารมีการเจาะเป็นช่องหน้าต่างและประดิษฐานพระพุทธรูปภายใน |
อีกสิ่งหนึ่งที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือพระพุทธรูปประจำทั้งสี่ทิศภายในวิหารที่ถูกแกะสลักด้วยไม้ด้วยศิลปะพุกาม แต่ปัจจุบันเหลือแค่พระพุทธรูปทางด้านทิศเหนือกับทิศใต้เท่านั้นที่เป็นองค์พระพุทธรูปดั้งเดิม แต่อีกสององค์ทางด้านตะวันออกและด้านตะวันตกถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทดแทนองค์เดิมที่ถูกไฟไหม้เสียหายไป ซึ่งเราจะเห็นถึงความแตกต่างของศิลปะช่วงสมัยที่ต่างกันอย่างชัดเจน
|
ถ้าดูใกล้พระพักต์ของพระพุทธรูปจะดูบิ้งตึง |
|
ถ้าถ่ายรูปไกลจะเห็นว่าพระพุทธรูปมีพระพักตร์มีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา |
|
ยิ่งไกลๆขึ้นพระพุทธรูปมีรอยยิ้มมากขึ้น |
และนี่ก็เป็นผลงานแกะสลักของศิลปะชั้นสูงฝีมือของช่างพุกาม ที่อาศัยเทคนิคของแสงและเงาในการแกะสลัก เล่นลูกเล่นให้เห็นว่าถ้าเราอยุ่ใกล้ๆกับองค์พระพุทธรูปจะรู้สึกว่าพระพักตร์จะบึ้งตึง แต่พอเรามองไกลๆจะเห็นพระพักตร์มีรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
|
พระพุทธรูปด้านทิศตะวันออกและตะวันตกจะเห็นว่ามีความแตกต่างในศิลปะคนละสมัยอย่างชัดเจน |
หลังจากไหว้พระประจำทั้งสี่ทิศแล้วเดินสำรวจวัดอนันดาสักพักเราก็ต้องทำเวลาออกไปเที่ยวกันต่อ
วัดสัพพัญญู(Thatbyinnyu Phaya)
|
วัดสัพพัญญู(Thatbyinnyu Phaya) |
วัดสัพพัญญูหรือวัดตะบินยูพญา ออกเสียงตามชาวเมียนมาที่แปลว่าวัดหรือวิหารแห่งความรอบรู้ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดอนันดา วัดสัพพัญญูเป็นวัดที่มีขนาดสูงที่สุดในพุกาม สูงถึง 61 เมตร มีความสูงถึง 5 ชั้น ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 12 ในสมัยพระเจ้าอลองสิธู ซึ่งถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในพุกามมีการสร้างเจดีย์มากมาย ตัววัดมีการจำลองแบบมาจากวัดในอินเดีย
แต่เดิมนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดแห่งนี้ แต่ภายหลังทางการได้ปิดและห้ามนักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปบนยอดวิหารเพราะพบรอยร้าวและเกรงว่าตัววัดจะพังทลายลงมา และเหมือนเช่นเคยวิหารถูกปิดห้ามนักท่องเที่ยวเข้า ชะนีแคระกับเพื่อนก็ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ภายนอกมาฝากท่านผูู้อ่านเท่านั้น ตอนนี้บ่ายโมงครึ่งกว่าแล้วค่ะ ชะนีแคระกับเพื่อนเริ่มหิวแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปหาอะไรทานลองท้องกันดีกว่าสำหรับวันนี้เราจะลองทานอาหารมังสาวิรัติดูบ้าง แนะนำร้านนี้ค่ะ
The moon หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวชื่อดังได้แนะนำไว้ ชะนีแคระกับเพื่อนเลยตามรอยดู
|
ร้านอาหาร The Moon |
|
บรรยากาศภายในร้านน่านั่งมาก ส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ |
|
เมนูอันขาดไม่ได้สำหรับชาวไทย ส้มตำ แต่อันนี้เป็นตำเมียนมาใส่ถั่ว |
|
ซุปแกงมะเขืออะไรสักอย่าง |
|
มีน้ำปลาพริกมาพร้อมกับข้าวสวย |
|
สั่งเบียร์ก็จะเสิร์ฟมาในถุงพลาสติกสีดำ ถามพนักงานทำไมต้องห่อถุงคลุม เค้าบอกว่าอยู่ในเขตวัดวาอาราม เลยต้องมีการห่อปิดมิดชิดกันสักนิด |
สำหรับรสชาติอาหารใช้ได้รสไม่จัด ส้มตำนี่ก็อร่อยดีออกแนวหวานๆมันส์ ถ้าใครสนใจลองแวะมาตามรอยกันได้นะคะ ท้องอิ่มแล้วพร้อมเที่ยวต่อไม่รอแล้วนะ
วัด Gow dow Palin Phaya
|
วัด Gow dow Palin Phaya
|
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในคศ. 1203 สร้างอยู่ริมแม่น้ำอิระวดี รูปแบบสถาปัตยกรรมจะคล้ายๆกับวัดสัพพัญญูน่าจะเป็นงานร่วมสมัยเดียวกัน จากประวัติการสร้างไม่ค่อยชัดเจน แต่ชะนีแคระเห็นมีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาถ่ายรูปกันเยอะก็เลยหยุดแวะเข้าไปถ่ายรูปกับเค้าด้วย
|
สถาปัตยกรรมคล้ายๆกับวัดสัพพัญญู |
|
พระประธานภายในวัด |
เจดีย์บูพญา( Bupaya Pagoda )
|
เจดีย์บูพญา |
เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นริมแม่น้ำอิระวดี เจดีย์ถูกสร้างเป็นรูปทรงน้ำเต้า สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่องค์เจดีย์ดั้งเดิมได้พังถลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และองค์ปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในคศ. 1975 และที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินกัน
|
ทางเข้าตัวเจดีย์ |
วันนี้น่าจะมีเทศกาลเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง ที่เจดีย์บูพญามีการจัดงานรื่นเริง มีของขายกันหน้าเจดีย์ และมีการแข่งขันฟุตบอลด้วยนะ
|
มีการแข่งขันฟุตบอลด้วย ชาวบ้านมาเชียร์กันส่งเสียงดังคึกคัก |
|
ชะนีแคระแวะไหว้พระ |
|
ตัวองค์เจดีย์บูพญาเป็นรูปทรงน้ำเต้า |
|
มีท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี ติดกับเจดีย์บูพญาเลย |
ตัวเจดีย์จะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีเลย และมีท่าเรือใกล้ๆกับเจดีย์ด้วย ถ้าใครที่เดินทางมาพุกามโดยทางเรือ ถ้าเห็นเจดีย์บูพญาแล้วก็แสดงว่าท่านเดินทางมาถึงพุกามแล้วค่ะ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดบูพญาเพื่อจะดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ริมแม่น้ำอิระวดี ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น แล้วชะนีแคระกับเพื่อนคิดว่ายังมีเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เรายังมีเวลาเที่ยวต่อ ประกอบว่าหลังจากดูทำเลที่เจดีย์บูพญาแล้วคิดว่า เราอยากได้ภาพทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า ชะนีแคระกับเพื่อนจึงได้เดินทางเที่ยวกันต่อเพื่อหาเจดีย์องค์อื่นที่เราจะสามารถปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน
วัดธรรมยังจี (Dhammayangyi Temple)
วัดธรรมยังจี เป็นวัดขนาดใหญ่มีรูปทรงคล้ายพีรามิด เราสามารถมองเห็นได้ไกลจากทั่วทุกมุมในเมืองพุกาม วัดถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้านาราธู ในคศ.1163 เพื่อเป็นการไถ่บาปที่พระองค์ทรงทำการปลงพระชนม์พระราชบิดาก็คือพระเจ้าอลองสิธู และลอบวางยาพิษพระเชษฐาของพระองค์ เพื่อต้องการขึ้นครองราชย์สมบัติ รูปแบบวัดธรรมยังจีจะคล้ายๆวัดอนันดา วัดถูกสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ทิศคล้ายทรงไม้กางเขน
|
วัดธรรมยังจี (Dhammayangyi Temple) |
พระเจ้านาราธูต้องการสร้างวัดที่มีขนาดใหญ่โตและสวยงาม และแข็งแรงมั่นคงที่สุดในพุกาม แต่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่โหดร้าย จึงไม่ได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนชาวพุกามที่จะมีจิตศรัทธามาร่วมสร้างวัดเท่าไหร่นัก ดังนั้นพระองค์จึงต้องเกณฑ์แรงงานผู้คนมาสร้างอย่างกดขี่ข่มเหง สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนไปทุกย่อมหญ้า ตามประวัติได้กล่าวว่าพระองค์ทรงคุมงานก่อสร้างด้วยพระองค์เอง หากช่างฝีมือคนใดก่อเรียงอิฐไม่แนบสนิทกัน ขนาดที่พระเจ้านาราธูสามารถสอดเข็มเข้าไปได้ ช่างคนนั้นก็จะถูกสั่งให้ตัดแขนและก็ประหารชีวิตในที่สุดเพราะพระองค์มีความเชื่อว่าหากถ้าเรียงอิฐแล้วมีรูรอดแม้แต่นิดเดียว วิญญาณของพระองค์จะต้องตกนรกอเวจี ดังนั้นวัดนี้จึงขึ้นชื่อในเรื่องของการวางอิฐได้แนบสนิทชิดกันและมีความมั่นคงที่สุดในพุกาม และก็ขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดร้ายในเวลาเดียวกันด้วย
|
ทางเข้าวัดธรรมยันจี |
วัดธรรมยังจีเป็นวัดที่สร้างไม่เสร็จ เพราะภายหลังจากที่พระเจ้านาราธูครองราชย์ได้เพียงแค่สี่ปี พระองค์ก็ถูกปลงพระชนม์ด้วยกษัตริย์และกองทัพจากลังกาที่บุกมาตีพุกาม ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงสั่งประหารพระชายาองค์หนึ่งที่เป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ลังกาและความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างพุกามกับลังกา หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์วัดธรรมยังจีก็ถูกปล่อยให้รกร้าง ไม่มีกษัตริย์องค์ใดหรือประชาชนจะมาร่วมสร้างวัดต่อเพราะเหตุผลทางความเชื่อว่าเป็นลางร้ายของคนบาปนั่นเอง
|
ภายในมีการก่อสร้างเป็น 2 ชั้นไม่มีการฉาบปูนหรือตกแต่งแต่อย่างใด |
|
มีพระพุทธรูปประธานทั้งสี่ทิศภายในวัดธรรมยังจี |
|
หินที่คาดว่าน่าจะใช้เป็นที่ตัดมือช่างฝีมือที่ก่อวางอิฐไม่แนบสนิทชิดกัน |
หลังจากที่อ่านประวัติการสร้างวัดแล้วชะนีแคระก็สำรวจหาแท่งหินที่เค้าว่าใช้เป็นที่ตัดมือตัดแขนช่างฝีมือที่เรียงอิฐไม่แนบสนิทกัน กว่าจะหาเจอก็เสียเวลาอยู่นาน ในที่สุดก็หาเจอชะนีลองวางมือเทียบดูกับรางของช่องหินก็ได้ขนาดมือวางพอดีหรือมันจะจริงตามข้อสันนิษฐาน
|
จะเห็นว่าการเรียงอิฐแดงจะมีการวางอิฐได้แนบสนิทกว่าวัดหรือวิหารอื่นๆในพุกาม |
|
บริเวณรอบๆวัดธรรมยังจีมีร้านขายของที่ระลึกมากมาย และก็นี่หุ่นกระบอกเมียนมา |
เราใช้เวลาสำรวจวัดธรรมยังจีสักพักก็ได้แวะนั่งพักทานน้ำที่ร้านค้าหน้าวัด ซึ่งมีด้วยกันหลายร้าน
|
ชิมน้ำอ้อยสักหน่อย พ่อค้าคั้นสดๆ |
|
น้ำอ้อยใส่น้ำแข็งเย็นดับกระหาย |
นั่งพักสักแปปเราก็ต้องเดินทางเที่ยวต่อ ตอนนี้เวลาห้าโมงเย็นแล้วเราจะต้องหาเจดีย์ที่เราจะสามารถปีนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินกัน ระหว่างขับรถผ่านวัดธรรมยังจี เราก็ขับผ่านเจดีย์สององค์ ไม่รู้ว่าเจดีย์ชื่อว่าอะไร แต่เห็นว่าเจดีย์องค์ที่หนึ่งมีการพังทลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างชัดเจน และทางการเมียนมาก็กำลังบรูณะอยู่ และเจดีย์องค์ข้างๆกันมีรถจักรยานยนต์ รถ E-scooter จอดอยู่หลายคัน มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าชาวพุกามกางผ้าปูขายของที่ระลึกอยู่ด้านหน้าเจดีย์ ในหัวชะนีแคระเดาได้ทันทีว่าเจดีย์องค์นี้ต้องปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินได้แน่ๆ ถึงได้มีพ่อค้า แม่ค้า นักท่องเที่ยวต่างชาติจอดรถกันหลายคัน
วันที่ 3
เช้านี้ชะนีแคระกับเพื่อนตื่นกันแต่เช้ามากตั้งแต่ตี 5 ชะนีแคระล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนชุดก็ออกมาเลยค่ะ เดี๋ยวเราค่อยกลับมาอาบน้ำทีหลังเอา เพราะเมื่อวานคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเค้าบอกให้รีบออกอย่างช้าตีห้าตรงต้องเริ่มออกเดินทางกันแล้ว หลังจากที่เจ้าหน้าที่แนะนำพิกัดเจดีย์แล้วชะนีแคระกับผองเพื่อนก็รีบบึ่งรถออกจากโรงแรมทันที บรรยากาศไม่ต้องพูดถึงมันมืดและก็สภาพแต่ละคนนั้นงัวเงียง่วงนอนกันสุด ๆ แต่พวกเราไม่กลัวนะคะ เพราะระหว่างทางที่ขี่รถกันไปนั้นก็เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่นๆที่ขับขี่รถตามท้องถนนเช่นกันเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันคือไปชมทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ขึ้น สำหรับเช้านี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าที่กลุ่มเจดีย์ Shwe nan yin taw Complex ตรงแถวๆนี้มีเจดีย์องค์สององค์ที่สามารถขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อไปดูวิวบนเจดีย์ได้ และก็เหมือนเดิมชะนีแคระกับเพื่อนถือคติ ตามๆคนเค้าไป เห็นเจดีย์องค์ไหนมีรถจอดอยู่หลายๆคัน นั่นหละเจดีย์องค์นั้นต้องขึ้นไปดูวิวได้แน่นอน และก็ไม่ผิดหวังหลังจากขึ้นมาบนชั้นสองของเจดีย์องค์หนึ่งแล้วก็เห็นนักท่องเที่ยวทั้งยุโรป เอเชียนับสามสิบกว่าชีวิตต่างนั่งรอ และพูดคุยกันเบาๆ และต่างก็จับจองทำเลเพื่อจะถ่ายรูปทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้ากัน ซึ่งก็เหลือเวลาไม่น่าจะเกินสิบนาทีแล้ว
|
พระอาทิตย์กำลังขึ้นสู่ขอบฟ้า |
|
แสงแรกของวัน |
|
งามเกินคำบรรยาย |
|
มนต์เสน่ห์ยามเช้าที่นี่ที่พุกาม |
|
พระอาทิตย์ขึ้นแล้วท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว |
|
ตอนนี้ได้เวลาหกโมงครึ่งแล้ว ท้องฟ้าเปิดเห็นวัดธรรมยังจีไกลๆ |
|
ทุ่งทะเลเจดีย์ยามเช้า |
สำหรับใครที่อยากจะขึ้นบอลลูน หรือว่ามาถ่ายภาพทุ่งเจดีย์ตอนเช้าแล้วมีบอลลูนลอยเต็มท้องฟ้าต้องมาช่วงเดือนพฤศจิกายน - มีนาคมเพราะเป็นช่วง high season ของพุกามเลยนะ แต่ชะนีแคระเดินทางมาเที่ยวช่วงเดือนกันยายน บอลลูนงดให้บริการค่ะ ตอนนี้ได้เวลา 06.30 น.นักท่องเที่ยวต่างทยอยกันกลับ ชะนีแคระกับเพื่อนปรึกษากันว่าเราจะกลับโรงแรมไปนอนกันต่อดีหรือจะออกแว้นสักสองสามชั่วโมงดี เพื่อนๆต่างลงมติว่าตอนนี้ตาสว่างกันแล้วอยากขี่รถเล่นและเก็บบรรยากาศยามเช้ากันมากกว่า แล้วสักเก้าโมงเช้าค่อยขี่รถกลับโรงแรมไปทานอาหารเช้ากัน ว่าแล้วเราก็ขับรถแว้นกันต่อสถานที่ต่อไป
วัดสุลามณี (Sulamani Temple)
|
วัดสุลามณี (Sulamani Temple) |
วัดสุลามณี ถูกสร้างในปีคศ. 1183 ในสมัยพระเจ้านรปติสินธู สุลามณีในภาษาเมียนมา แปลว่า ทับทิมเม็ดเล็ก ตามพงศาวดารกล่าวกันว่า พระเจ้านรปติสินธูได้ทรงค้นพบหินทับทิมเม็ดงาม ณ ที่สถานที่แห่งนี้ก็เลยสร้างวัดสุลามณีขึ้น ลักษณะโครงสร้างของวัดสุลามณีแห่งนี้จะมีรูปแบบคล้ายกับวัดสัพพัญญู
|
วัดสุลามณีเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างหนัก |
เป็นที่น่าเสียดายวัดสุลามณีได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคม พศ.2559 ที่มีแรงสั่นสะเทือนถึง 6.8 ริกเตอร์ ทำให้ยอดพระปรางค์ของเจดีย์ได้แตกหักและพังถล่มลงมา แถมยังพบช่องโหว่ภายในโครงสร้างของตัวเจดีย์ ดังนั้นทางการเมียนมาห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปภายใน ชะนีแคระก็เลยทำได้แค่ถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกมาให้ท่านผู้อ่านได้ดูกัน
|
วัดสุลามณีหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว 1 เดือน |
ภายในตัววิหารมีภาพเขียนจิตรกรรมโบราณที่สวยงาม น่าเสียดายจริงๆที่เราไม่สามารถเข้าไปภายในได้ ชะนีแคระหวังว่าหากมีโอกาสได้กลับไปพุกามอีกครั้งในอนาคตคงต้องกลับมาที่นี่วัดสุลามณีอีกครั้ง หลังจากถ่ายรูปกันสักพักเราก็ขี่รถ E- scooter เที่ยวไปตามทางเก็บภาพบรรยากาศชาวบ้านพุกามตลอดสองข้างทางที่เราขี่รถลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า
|
มีการสร้างถนนทำทางสำหรับให้รถวิ่งผ่าน |
|
ชาวบ้านขี่เกวียนออกไปเพาะปลูก |
|
ชาวพุกามใช้วัวเทียมไถปรับปรุงพื้นที่เพาะปลูก |
|
ต้นกระบองเพชรขึ้นเต็มไปตลอดสองข้างแสดงถึงความแห้งแล้งของพุกาม |
พื้นดินส่วนใหญ่ในพุกามเป็นดินทรายแห้งแล้งกันดาร แห้งแล้งขนาดมีต้นกระบอกเพชรขึ้นเต็มไปหมดสองข้างทาง ดังนั้นการเพาะปลูกที่นี่ส่วนใหญ่จึงเน้นพืชไร่ที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง นี่เรามาท่องเที่ยวหน้าฝนยังรู้สึกร้อนอบอ้าว ไม่อยากจะคิดถ้ามาช่วงหน้าร้อนเดือนเมษายน สภาพอากาศจะโหดร้ายยังไง
ระหว่างที่ขี่รถผ่านตลอดสองข้างทาง เราจะเห็นเจดีย์ต่างๆที่ชำรุด พังทลายจากเหตุกาณ์แผ่นดินไหว ตลอดทาง มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าห้ามให้นักท่องเที่ยวเข้าไปภายใน
|
เจดีย์ที่มีการพังทลาย |
|
เหล่าหมู่เจดีย์เล็กน้อยๆ ตลอดสองข้างทาง |
หลังจากขี่รถไปได้สักสองสามชั่วโมง ชะนีแคระกับเพื่อนก็ขี่รถวนกลับไปโรงแรมเวลาเกือบสิบโมงเช้าเพื่อทานอาหารเช้าแล้วก็กลับไปอาบน้ำ พักผ่อนสักพักราวๆเที่ยง เราก็ออกไปตระเวนเที่ยวเมืองในพุกามเพื่อเก็บวัด วิหาร เจดีย์ต่างๆที่น่าสนใจกันต่อ
เจดีย์มหาบดี(Mahabodi Pagoda)
|
วัดมหาบดี(Mahabodi Pagoda) |
เจดีย์มหาบดีหรือที่คนไทยรู้จักในนามเจดีย์มหาโพธิ์ เจดีย์ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 13 โดยพระเจ้าติโลมิโน ซึ่งสถาปัตยกรรมของเจดีย์มหาบดีจะมีความแตกต่างจากเจดีย์ดีต่างๆในพุกาม เนื่องจากได้จำลองแบบมาจากวัดพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาประเทศอินเดีย โดยยอดพระปรางค์ของเจดีย์จะมีรูปแบบคล้ายไปทางศาสนาฮินดู
|
พระประธานภายในองค์เจดีย์มหาบดี |
|
บริเวณด้านข้างขององค์เจดีย์ยังมีบางส่วนที่ยังรอการบูรณะปรับปรุงอยู่ |
เจดีย์มหาบดีได้รับความเสียหายมากจากเหตุแผ่นดินไหวในคศ. 1975 ทำให้มีบางส่วนเสียหายทางการได้บรูณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่รอการปรับปรุงอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ เราจึงยังเห็นบางส่วนมีการกั้นเชือกไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปภายใน ซึ่งชะนีแคระไม่แน่ใจว่าส่วนที่ยังไม่ได้ซ่อมแซมนี่เกิดจากการเสียหายของแผ่นดินไหวเมื่อคศ. 1975 หรือครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม พศ.2559 (คศ. 2016) กันแน่
เจดีย์มิงกาลา (Mingalazedi Pagoda)
|
เจดีย์มิงกะลา (Mingalazedi Pagoda) |
เจดีย์มิงกาลาถูกสร้างขึ้นในคศ. 1284 ในสมัยพระเจ้านรสีหบดี (กษัตริย์องค์สุดท้ายของพุกาม) เจดีย์มิงกาลาเป็นเจดีย์องค์สุดท้ายที่ถูกสร้างในพุกาม ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าพระเจ้านรสีหบดีเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริให้มีการสร้างเจดีย์ตามพระราชประเพณี พระองค์ทรงดำเนินการสร้างเจดีย์มิงกาลาซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ทำให้ต้องมีการเกณฑ์แรงงานประชาชนอย่างมากมาก่อนสร้างเจดีย์ สร้างความเดือนร้อนให้แก่ประชาราษฏร์ และมีการใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังในการสร้างอย่างมาก ในตอนสร้างเจดีย์มิงกาลาก็ได้มีโหรทำนายไว้ว่าหากสร้างเจดีย์ได้สำเร็จอาณาจักรพุกามจะถึงคราวล่มสลาย ดังนั้นพระองค์จึงยุติการสร้างเจดีย์เป็นเวลา 3 ปี แต่ถึงกระนั้นก็มีเสียงล่ำลือว่าพระองค์ทรงสร้างเจดีย์ไม่สำเร็จจะเป็นอัปมงคลต่อแผ่นดิน (จะเอายังไงกันแน่ถ้าสร้างเสร็จก็ไม่ดี สร้างไม่สำเร็จก็ไม่ดีอีก) ดังนั้นพระองค์จึงดำเนินการให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จ ซึ่งในระหว่างนั้นมองโกลต้องการแผ่ขยายอำนาจมาทางตอนใต้ และทำศึกสงครามกับพุกาม แต่ในท้ายที่สุดในปี คศ. 1287 มองโกลก็สามารถตีชนะพุกามได้สำเร็จ และพระเจ้านรสีหบดีต้องทรงลี้ภัยลงใต้หนีกองทัพมองโกล ตั้งแต่นั้นมาอาณาจักรพุกามที่รุ่งเรืองมาพันปีต้องถึงคราวล่มสลายสิ้นสุดลงเหลือเพียงซากวัด วิหารเจดีย์ในปัจจุบัน
|
ฐานเจดีย์เป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มี 3 ชั้น นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินได้ |
ปกติเจดีย์มิงกาลาจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินกัน แต่ปัจจุบันทางการเมียนมาปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเนื่องจากองค์เจดีย์ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ดังนั้นชะนีแคระทำได้แค่ถ่ายรูปมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมกันนะคะ
วัดมนูหะ (Manuha Phaya)
|
วัดมนูหะ (Manuha Phaya)
|
วัดมนูหะถูกสร้างขึ้นในคศ.ที่ 11 พระเจ้ามนูหะเจ้าเมืองสะเทิม (เมืองมอญ)ได้เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้น หลังจากที่พระองค์ต้องตกเป็นเชลยศึกของพระเจ้าอโนรธามังช่อ หลังจากที่อาณาจักรพุกามได้รับชัยชนะตีเมืองมอญแตก พระเจ้าอโนรธามังช่อก็ได้อันเชิญพระไตรปิฏก และกวาดต้อนพระเจ้ามนูหะ และพระราชวงศ์ ตลอดจนขุนนาง ข้าราชการ พระสงฆ์ นักปราชญ์ประชาชนชาวเมืองมอญมาเป็นเชลยศึกที่เมืองพุกาม จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าพระเจ้ามนูหะและพระมเหสีทรงถูกคุมขังอยู่ที่เมือง มยินกาบา ทางตอนใต้ของพุกาม และพระเจ้าอโนรธามังช่อทรงอนุญาตให้พระเจ้ามนูหะสร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เป็นบำเพ็ญพระราชกุศล
|
พระอึดอัด |
|
ดูความใหญ่โตของตัวองค์พระพุทธรูปใหญ่คับพระวิหาร |
พระเจ้ามนูหะทรงระบายความรู้สึกอึดอัด คับแค้นในพระทัยที่ต้องตกมาเป็นเชลยศึกด้วยการสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่โตมากจนคับพระวิหารเพื่อเป็นการประชดประชันชาวพุกาม จนเราเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระอึดอัด
|
พระพุทธรูปปางนิพพาน |
|
ความใหญ่โตขององค์พระ |
นอกจากนี้พระเจ้ามนูหะทรงสร้างพระพุทธรูปปางนิพพานขนาดใหญ่โตมากเช่นกัน แต่พระพุทธรูปมีพระโอษฐ์ยิ้มเพื่อเป็นการสื่อความหมายว่า มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นอิสระ
|
เสาหงษ์สัญลักษณ์ของวัดมอญ |
|
ไหว้พระทำบุญที่วัดมนูหะ
|
เกือบบ่ายสามโมงแล้วชาวคณะหยุดพักแวะหาอาหารกลางวันง่ายๆรองท้องกันก่อน จากนั้นเราก็เที่ยวกันต่อ
เจดีย์ธรรมยาสิขา(Dhammayazika Pagoda)
|
เจดีย์ธรรมยาสิขา ( Dhammayazika Pagoda) |
เจดีย์ธรรมยาสิขาเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ และอยู่ค่อนข้างไกลจากเหล่าเจดีย์อื่นๆ ค่อนไปทางเมือง New Bagan เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยคศ.1196 ในสมัยพระเจ้านรปติสิธู เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อันเชิญมาจากศรีลังกา รูปแบบสถานปัตยกรรมจะมีความคล้ายกับเจดีย์ชเวซีโกน
|
ด้านบนยอดโดมของเจดีย์จะเป็นสีทองเหลืองอร่าม |
ฐานองค์เจดีย์มีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม และก็จะมีวิหารขนาดเล็กเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปห้าองค์ ตามความเชื่อในเรื่องของพระพุทธเจ้า 5 องค์
|
พระพุทธรูปภายในวัด |
เมื่อก่อนนี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกดินได้ แต่ปัจจุบันทางการไม่อนุญาตแล้วนะคะ ตอนนี้ได้เวลาสี่โมงเย็นกว่าแล้วชาวคณะขับขี่รถกลับเข้าสู่เขตเมืองเก่า เพื่อกลับไปหาจุดชมพระอาทิตย์ตกดินกันอีกครั้งซึ่งวันนี้จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่เที่ยวพุกามนะ ตลอดข้างทางที่ขับผ่านชะนีแคระก็แวะตามวิหารเล็กวิหารน้อยแวะเก็บภาพสวยงามของเหล่าหมู่เจดีย์น้อยใหญ่ทั่วเมืองพุกาม
|
เหล่าหมู่เจดีย์ขนาดเล็กที่อยู่ตามข้างถนนหนทาง |
|
วัดสัพพัญญู |
หลังจากลงประชามติกันแล้วว่าเราจะกลับไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่หมู่เจดีย์
Shwe nan yin taw Complex สถานที่เดียวกับเมื่อเช้าที่เราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าแล้ว ตอนนี้ยังมีเวลาเราพอสามารถแวะไหว้เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์
Alo Daw pyi Pagoda นี้กัน
เจดีย์ Alo Daw pyi Pagoda
|
เจดีย์ Alo Daw pyi Pagoda
|
เจดีย์นี้เราจะเห็นว่าชาวเมียนมานุ่งขาวห่มขาว มีพระภิกษุมากมายแวะเวียนมาไหว้เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ด้านในไม่ขาดสายชาวเย็นจนค่ำ มีรถบัสรถกระบะขนนำชาวบ้านมาตลอดทั้งวันทั้งคืน
|
ด้านหน้าขององค์เจดีย์ |
อ่านมาจากในหนังสือเค้าว่าชาวเมียนมาตลอดจนชาวพุกามเองนิยมนำดอกไม้มาบูชาขอพรจากองค์เจดีย์และก็องค์พระพุทธรูปด้านใน เค้าว่ากันว่าท่านศักดิ์สิทธ์ขออะไรก็สมหวังดังปราถนา แต่ถ้าสมหวังแล้วชาวเมียนมานิยมนำพวกสิ่งของมีค่าเพชรพลอยมาถวายองค์ท่านกัน ชะนีแคระไม่รอช้าซื้อดอกไม้ด้านหน้าเค้ามากราบขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลกัน
|
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ |
ตอนนี้ได้เวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ แล้วเราต้องรีบกลับไปจับจองพื้นที่ชมพระอาทิตย์ตกดินกัน วันนี้ชะนีแคระคงต้องลาท่านผู้อ่านไปด้วยภาพพระอาทิตย์ตกดินท่ามกลางทุ่งทะเลเจดีย์นับสี่พันองค์ไปก่อนนะคะ
|
เหล่าหมู่เจดีย์องค์เล็กองค์น้อย |
|
ทุ่งเจดีย์นับพันองค์ |
|
ทุ่งทะเลเจดีย์ |
|
แสงพระอาทิตย์เปลี่ยนสีเป็นสีตากผ้าอ้อมแล้ว |
|
เห็นเจดีย์ธรรมยังจีอยู่ไกลๆ |
|
พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า |
|
แสงสุดท้ายของวันกำลังสิ้นสุด |
ตลอดทริปทั้งสามวันที่พุกาม ชะนีแคระกับเพื่อนรู้สึกประทับใจมากดีใจที่เราไม่ได้ยกเลิกทริปนี้ไป ถึงแม้ว่าช่วงที่เราไปนั้นเพิ่งจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา และมีวัดวา วิหาร เหล่าหมู่เจดีย์มากมายที่พังทลาย หรือเสียหายและทางการเมียนมาได้ปิดปรับปรุงบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่มากมาย โดยที่น่าเสียดายเจดีย์หลักๆที่ใช้ในการชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินถูกปิดทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนโดยการหาเจดีย์องค์เล็กๆอื่นแทน แต่ชะนีแคระคิดว่าหลังจากที่ท่านผู้อ่านได้อ่านรีวิวนี้ทางการเมียนมาคงทำการบรูณะเสร็จเรียบร้อยแล้วและคงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวกันแล้ว การท่องเที่ยวที่ประเทศเมียนมาทริปนี้ก็ได้จบลงแล้ว แต่ชะนีแคระกับเพื่อนสัญญากันว่าถ้าหากมีโอกาสกลับมาเที่ยวเมียนมาอีกเราจะกลับมาพุกามอีกครั้งแน่นอน สำหรับวันนี้ลากันไปก่อนนะคะพบกันตอนใหม่ครั้งหน้า ชะนีแคระจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวเมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปนกันค่ะ