วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เที่ยวพุกาม( Bagan) ดินแดนแห่งทุ่งทะเลเจดีย์

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน หลังจากที่ชะนีแคระพาไปเที่ยวที่เมืองมัณฑะเลย์กันแล้ว สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านก็สามารถตามอ่านในลิงก์ที่แปะไว้นะคะ
 https://aiyaaroundtheworld.blogspot.com/2018/10/mandalay.html    ตามโปรแกรมเราจะเที่ยวกันต่อที่เมืองพุกามเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ซึ่งในช่วงที่ชะนีแคระเดินทางมาเที่ยวประเทศเมียนมาเป็นช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ.2559 หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมาได้เกือบๆ 1 เดือน ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2559 โดยจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่พุกาม ตอนแรกชะนีแคระกับเพื่อนจะยกเลิกทริปที่จะเดินทางมาพุกามแล้ว เพราะได้ข่าวว่ามีวัด และเจดีย์มากมายที่เสียหายและถล่มลงมาจำนวนมาก ทางการรัฐบาลเมียนมาได้ปิดเจดีย์บางส่วนเพื่อทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ทำให้เราต้องคิดหนักจะยกเลิกดีหรือเปลี่ยนแผนไปเที่ยวเมืองอื่นกันดี แต่เนื่องจากเราได้จองที่พัก ตั๋วเครื่องบินที่ไม่สามารถยกเลิกได้สุดท้ายก็ลงมติกันว่าเอาวะไปก็ไปเที่ยวที่พุกาม  เมืองแห่งทุ่งทะเลเจดีย์ 4000 กว่าองค์ ถล่มเสียหายไปร้อยองค์ก็ต้องมีเจดีย์เหลือให้เราชมบ้างละ ที่สำคัญเสียตังไปแล้วเสียดายมากกว่า เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาชะนีแคระจะพาทุกท่านไปเที่ยวกันต่อที่เมืองพุกามกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยไปพร้อมกันเลยค่ะ





เมืองพุกาม(Bagan) อาณาจักรพุกามเป็นอาณาจักรแห่งแรกของชาวเมียนมา และมีประวัติอันยาวนานมาหลายพันปี เดิมทีพุกามเป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่แห้งแล้ง บางแห่งเป็นทะเลทราย อาณาจักรพุกามถูกสถาปนาโดยกษัตริย์องค์แรกคือพระเจ้าอโนรธามังช่อ ผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ถึงขนาดเดินทางไปขอพระไตรปิฏกกับพระเจ้ามนูหะ เจ้าเมืองสะเทิม (มอญ) แต่กลับถูกพระเจ้ามนูหะปฏิเสธ  ทำให้พระเจ้าอโนรธามังช่อโกรธมาก จึงกลับมาเตรียมไพร่พล และยกทัพกลับไปตีเมืองมอญจนแตกได้สำเร็จ พระองค์ทรงทำการอันเชิญพระไตรปิฏกกลับมาที่เมืองพุกาม ทั้งกวาดต้อนพระเจ้ามนูหะและพระราชวงศ์  พระ ช่างฝีมือ ทาสและเชลยศึกชาวมอญนับหมื่นมาที่เมืองพุกาม หลังจากนั้นพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทก็มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอาณาจักรพุกาม  กษัตริย์องค์ต่อๆมาทุกพระองค์ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า และนิยมสร้างเจดีย์ประจำรัชกาลกันทุกพระองค์ เพื่อเป็นการเสริมบุญบารมีศิริมงคลต่อพระดวงชะตาและราชวงศ์  ตลอดจนเหล่าขุนนาง พ่อค้าวาณิชต่างก็สร้างเจดีย์ประจำตระกูลกัน  ดังนั้นจึงทำให้พุกามมีเจดีย์มากมายถึงขนาดว่ากันว่ามีการสร้างเจดีย์มากถึง 4000 กว่าองค์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 2000 กว่าองค์เท่านั้น เพราะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา    จนถึงยุคเสื่อมสลายของอาณาจักรพุกามเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้านรสีหบดี กษัตริย์องค์สุดท้ายของพุกาม ได้สร้างเจดีย์มิงกาลาเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรพุกาม ว่ากันว่าได้มีการทำนายจากโหรหลวงว่า ถ้าหากสร้างเจดีย์มิงกาลาได้สำเร็จ อาณาจักรพุกามจะล่มสลาย และหลังจากสร้างเจดีย์เสร็จไม่นาน กองทัพมองโกลก็บุกตีเมืองพุกามได้สำเร็จ ทำให้อาณาจักรพุกามที่เคยรุ่งเรืองมาเป็นเวลาหลายพันปีต้องล่มสลายและกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด

การเดินทาง

ชะนีแคระเดินทางโดยนั่งรถบัสโดยสาร vip ของบริษัท OK express จากเมืองมัณฑะเลย์ไปพุกาม โดยให้ทางโรงแรมจองตั๋วให้ราคาตกคนละ 10000 จ๊าด ท่านผู้อ่านสามารถเดินหาใช้บริการจากบริษัททัวร์อื่นได้ อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ แต่ชะนีแคระเน้นความสะดวกก็เลยใช้บริการของทางโรงแรมซึ่งรถบัสโดยสารก็จะมารับเราที่หน้าโรงแรมเลยตอนเวลา 8.30 น. ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงพุกาม

บริษัทรถบัสโดยสารซึ่งเป็นแบบ VIP มีผู้โดยสาร 15 คน
 หลังจากรถขับได้มาครึ่งทางสัก 2 ชั่วโมงกว่าๆรถบัสก็หยุดแวะพักที่จุดแวะกลางทางให้ผู้โดยสารได้ทานอาหาร เครื่องดื่มหรือเข้าห้องน้ำตามอัธยาศัย โดยจะหยุดพักรถสักประมาณ 20 นาทีกว่าๆ


จุดแวะพักกลางทาง ผู้โดยสารแวะทานอาหาร

เหล่าแม่ค้าหาบของมาขายผู้โดยสาร

มีขายหมาก ของคบเขี้ยวยอดฮิตของชาวเมียนมา ต้องลองชิมดูสักอัน
ก่อนที่จะถึงตัวเมืองพุกาม 3 กิโลเมตรก็จะมีด่านตรวจ จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาขายบัตรเข้าเมืองบนรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองพุกาม ซึ่งการท่องเที่ยวในเมืองต่างๆของประเทศเมียนมาจะต้องมีการซื้อบัตรเข้าเมืองทั้งนั้น   ราคาบัตรตกคนละ 25000 จ๊าด บัตรนี้จะใช้ได้ประมาณ 5 วัน  ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องพกบัตรติดตัวตลอดเวลาในการท่องเที่ยวที่พุกาม ซึ่งในแต่ละสถานที่ในพุกามก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรนี้  ถ้าหากเจ้าหน้าที่ตรวจขอดูบัตรแล้วเราไม่มีให้ก็ต้องซื้อบัตรใหม่นะคะ  เพราะฉะนั้นต้องระวังเก็บรักษาให้ดีห้ามหายเด็ดขาด  เมื่อมาถึงเมืองพุกามรถบัสก็มาจอดที่ท่ารถบัสที่เมืองยองอู (Nyaung U) ส่งผู้โดยสาร ชะนีแคระกับเพื่อนก็ลงมารอรถจากทางโรงแรมที่ส่งมารับ

ที่พัก

ที่พักในเมืองพุกามจะแบ่งเป็น 3 โซน   โซนแรกนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมพักที่เมืองยองอู(Nyaung U)เพราะมีที่พักให้เลือกมากมาย มีร้านอาหาร บาร์มากมายที่สำคัญราคาไม่แพง ส่วนโซนที่สองเขต New Bagan ก็จะไกลไปนิด และเป็นย่านที่พักอาศัยของชาวเมืองพุกามในปัจจุบัน ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่  ใหม่ และราคาค่อนข้างแพง  และโซนเขต Old Bagan เขตนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโซนเขตทุ่งเจดีย์สะส่วนใหญ่ โรงแรมค่อนข้างมีน้อย และก็ราคาแพง สำหรับชะนีแคระขอแนะนำให้พักที่เมืองยองอู เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปส่วนใหญ่นิยมพักกันและมีโรงแรมให้เลือกมากมายหลายระดับราคา  ตลอดทั้งทริปที่พุกามชะนีแคระพักที่โรงแรม OASIS  โดยก่อนเดินทางมาถึงชะนีแคระก็แจ้งทางโรงแรมล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ได้จองตั๋วรถบัสแล้วว่าจะเดินทางมากับรถบัสบริษัทอะไร เดินทางวันไหน มาถึงกี่โมง แล้วทางโรงแรมก็ส่งรถม้ามารับเราที่ท่ารถที่เมืองยองอูซึ่งเป็นบริการฟรีจากทางโรงแรม

ชะนีแคระได้ลองนั่งรถม้าเก๋ๆ


Oasis Hotel

Lobby hotel

ที่สำหรับทานอาหารเช้า

มีสระว่ายน้ำให้บริการฟรีด้วย
สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูเว็บไซค์ของทางโรงแรมได้ ชะนีแคระจองผ่านทาง booking.com โดยค่าที่พักตกคืนละ 2800 บาทรวมอาหารเช้าและฟรีไวไฟ ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับประเภทของห้องพักและช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เหมือนเช่นเคยชะนีแคระไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด

วันที่ 1

หลังจากมาถึงโรงแรม และทำการเช็คอินท์เรียบร้อย เก็บข้าวของเสร็จก็ได้เวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้วชะนีแคระทำการเช่ารถ E-Scooter กับทางโรงแรมเลย ถ้าเป็น E-Scooter คันเล็กสำหรับนั่งคนเดียวจะราคา 7000 จ๊าดต่อวัน ส่วนคันใหญ่นั่งได้สองคน ตกคันละ 12000 จ๊าดต่อวัน ชะนีแคระเช่าคันใหญ่ วันแรกเช่าก่อนครึ่งวันก็จ่ายแค่ 6000 จ๊าด ถ้าเกิดใครอยากจะลองหาเองจากร้านข้างนอกก็อาจจะได้ราคาที่ถูกกว่านี้ แต่ชะนีแคระเน้นความสะดวกสบาย เราก็ใช้บริการของทางโรงแรมแพงกว่านิดหน่อย


E-scooter ขับแว้นทั่วเมืองพุกาม

สำหรับการเที่ยวในพุกามส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนิยมเช่ารถ E-bike หรือ E-Scooter ขับกันมากกว่า ถ้าเป็นคนลุยๆ ชอบเที่ยวแบบชิวๆ ชะนีแคระแนะนำเช่า E- Scooter ขับง่ายไม่อันตราย บางก็เลือกเช่ารถยนต์พร้อมคนขับพาเที่ยวเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวมาเป็นกลุ่มและมีเวลาไม่มาก   และสุดท้ายก็คือเช่ารถม้าพร้อมคนขับพาเที่ยวก็ได้อารมณ์อีกแบบ  ส่วนใหญ่ชะนีแคระเห็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป อเมริกันผู้สูงอายุนิยมใช้บริการพี่รถม้ากันนะ เอาละหลังจากได้รถแล้วเราก็แว้นขับไปหาของกินกันเลย ต้องบอกก่อนว่าตอนที่รถบัสแวะหยุดจอดที่จุดพักรถชะนีแคระกับเพื่อนไม่กล้ากินอาหาร เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี ได้แต่ซื้อน้ำอัดลมมาดื่ม ดังนั้นตอนนี้ท้องหิวมาก

Rain Restaurant


แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน Rain Restaurant มีขายอาหารพื้นเมืองพุกามด้วย เนื่องจากที่พุกามเป็นเมืองที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ดินส่วนใหญ่เป็นดินทรายดังนั้นพืชพันธุ์ที่เพาะปลูกส่วนใหญ่จะเป็นพวกพืชที่ทนกับความแห้งแล้งได้ดีเช่น ถั่วลิสง  ดังนั้นอาหารส่วนใหญ่ของชาวพุกามจะค่อนข้างประกอบไปด้วยถั่วลิสง อย่างเมนูที่สั่งมาก็จะมีแกงไก่แบบชาวเมียนมาเครื่องแกง มันๆ และก็ส้มตำใส่ถั่วลิสงด้วย ลองชิมกันดูนะคะ


อาหารพื้นเมืองพุกามเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

รสชาติใช้ได้เลย จะไม่ค่อยเผ็ดออกมันๆ  ส้มตำก็คล้ายๆส้มตำไทยบ้านเราแต่แค่เค้าตำถั่วลิสงให้ละเอียด ใส่หอมแดงด้วย รสชาติหวานๆมันๆ

เมื่อท้องอิ่มก็พร้อมออกเที่ยวแล้วกับสถานที่แห่งแรกที่ชะนีแคระจะแวะไปก็คือเจดีย์ชเวซีโกนกันค่ะ

เจดีย์ชเวซีโกน (Shwezigon Pagoda)


พระเจดีย์ชเวซีโกน

เจดีย์ชเวซีโกน เป็น 1 ใน 5 มหาศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ในเมียนมา และเป็นต้นแบบเจดีย์ต่างๆในประเทศเมียนมาอีกด้วย  สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1059  หลังจากได้รับชัยชนะในการตีเมืองมอญได้สำเร็จ  ชเวซีโกน แปลว่า เจดีย์ดีทองบนพื้นทราย  ตามพงศาวดารได้กล่าวว่า ตอนที่พระเจ้าอโนรธามังช่อดำริจะสร้างพระเจดีย์ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากช้างเผือกทรงของพระองค์หยุดอยู่ตรงที่ใดก็จะสร้างพระเจดีย์ที่นั่น  ช้างเผือกของพระองค์ก็หยุดอยู่ที่หาดทรายริมแม่น้ำอิระวดี  และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเจดีย์ชเวซีโกน

พระเจดีย์ชเวซีโกน

 ภายในตัวพระเจดีย์บรรจุสารีริกธาตุและทันตธาตุของพระพุทธเจ้าที่อันเชิญมาจากประเทศศรีลังกา แต่การสร้างพระเจดีย์แล้วเสร็จในปีคศ.1090 ในสมัยพระเจ้าจั่นสิตา รัชกาลองค์ต่อมา


สิ่งที่คิด
ขณะที่ชะนีแคระไปเที่ยวที่พุกามเจดีย์ชเวซีโกนได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดังนั้นภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้นะคะ ทางการมีการบูรณะซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ ทำให้เราอดได้ภาพสวยๆมาฝากคุณผู้อ่าน

สิ่งที่เป็น
มีการบรูณะปรับปรุงหลังจากมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พศ.2559


นัตพ่อลูกภายในเจดีย์ชเวซีโกน
ชาวเมียนมาต่างเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมานมัสการไหว้พระเจดีย์ชเวซีโกน

วิหารติโลมินโล (Htilominlo Temple)



วิหารติโลมินโล

วิหารติโลมินโลถูกสร้างขึ้นในปีคศ. 1218 ในสมัยพระเจ้านาตองมยาหรือพระเจ้าติโลมินโล จากประวัติพงศาวดารการสร้างวิหารมาจากที่มาเนื่องในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู คือพระราชบิดาของพระเจ้าติโลมินโล พระเจ้านรปติสิทธู มีพระมเหสีและพระชายามากมาย ทำให้พระองค์มีพระราชบุตรเยอะ  ตอนที่พระองค์ทรงพระประชวรก็ได้สัญญากับพระชายาองค์หนึ่งที่ดูแลพระองค์เป็นอย่างดีว่าจะให้พระราชบุตรของพระนางได้ทรงพิจารณาให้มีสิทธิ์ขึ้นครองราชบัลลังก์ด้วย ดังนั้นพระองค์จึงไม่สามารถแต่งตั้งพระราชโอรสจากพระมเหสีขึ้นครองราชย์ได้ทันที  พระองค์ตัดสินพระทัยไม่ถูกเลยทำการเรียกพระราชบุตรทั้ง 5 มานั่งล้อมวงกันแล้วตั้งฉัตรประจำพระองค์ไว้ตรงกลางทำการเสี่ยงทาย หากปลายฉัตรหันไปทางพระราชโอรสองค์ใดผู้นั้นก็ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดา  ผลปรากฏว่าปลายด้ามฉัตรกลับหันไปทางพระโอรสของพระชายาผู้ที่บริบาลพระเจ้านรปติสิทธูที่ได้รับปากไว้นั่นเอง  หลังจากที่พระราชบุตรองค์นั้นได้ขึ้นครองราชย์ก็กลับมาสร้างวิหาร ณ จุดที่ทำการเสี่ยงทายด้วยฉัตรนั่นเอง ดังนั้นชาวพุกามจึงเรียกเจ้าชายองค์นี้ว่า กษัตรยิ์ฉัตรตั้งหรือแปลว่า ติโลมินโลในภาษาเมียนมานั่นเอง


วิหารติโลมินโล

รูปแบบสถาปัตยกรรมของวิหารติโลมินโลนั้นจำลองรูปแบบมาจากมหาเจดีย์ที่ประเทศอินเดียนั่นเอง  ภายในวิหารก็มีภาพจิตกรรมภายในที่วิจิตรสวยงามอีกด้วย

ร้านค้าขายของที่ระลึกภายนอกวิหารติโลมินโล
บริเวณภายนอกวิหารมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายหลายร้านรอให้บริการนักท่องเที่ยวสามารถเลือกจับจ่ายซื้อของที่ระลึกกัน   และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดคือการชมทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินกันเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาท่องเที่ยวที่พุกาม เราเตรียมรายชื่อเจดีย์ที่สามารถขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินได้มาด้วย  และตอนนี้ก็ได้เวลาห้าโมงเย็นกว่าแล้วต้องรีบนิดเดี๋ยวพระอาทิตย์จะตกดินเสียก่อน

เจดีย์ชเวสันดอร์(Shwesandaw Pagoda)


     เจดีย์ชเวสันดอร์(Shwesandaw Pagoda)

เจดีย์ชเวสันดอร์ เป็นเจดีย์ใหญ่และยอดฮิต และก็เป็นมุมมหาชนของเหล่านักท่องเที่ยวที่ต้องการมาชมทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินหรือตอนพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ตามประวัติเจดีย์ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1057 โดยพระเจ้าอโนราธามังช่อ หลังจากการที่พระองค์ได้รบชนะมอญ  ภายในพระเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุที่อันเชิญจากเมืองมอญ (เมืองสะเทิม)   โดยตัวพระเจดีย์จะมีการก่อสร้างฐานถึง 5 ชั้น และเป็นงานพุทธศิลป์ในสมัยพุกามแท้ร่วมสมัยเดียวกันกับเจดีย์ชเวซีโกน


 เจดีย์ชเวสันดอร์ถูกปิดบรูณะซ่อมแซม ห้ามให้นักท่องเที่ยวเข้า

แต่ที่น่าเสียดายในช่วงที่ชะนีแคระเดินทางไปเที่ยวเจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดบรูณะปฏิสังขรณ์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว  ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเจดีย์ นักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายที่ต่างเดินทางกันมาต้องเสียเวลาเก้อ   ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่งกว่าแล้วชะนีแคระกับเพื่อนต้องหาเป้าหมายเจดีย์ต่อไปในการหาจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินกันซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ขณะที่ชะนีแคระกับเพื่อนรวมถึง นักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ กำลังดูแผนที่กันอยู่เพื่อจะหาเป้าหมายเจดีย์ต่อไป นักท่องเที่ยวที่เราเจอและคุยด้วยเค้าก็บอกว่ามาจากเจดีย์อื่นๆที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินเหมือนกันต่างก็ถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปหลายเจดีย์  ทำให้เราต้องเปลี่ยนเป้าหมายในการหาเจดีย์เล็กๆอื่นแทน ขณะกำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะไปเจดีย์ไหนดี  ก็มีชายชาวพุกามคนหนึ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาคุยกับกลุ่มชะนีแคระ และก็กับนักท่องเที่ยวที่ยืนเก้ๆกังๆตรงหน้าเจดีย์ชเวสันดอร์

ชายชาวพุกาม    :  Hello my freinds come with me. I can help you to  find a place to see the good view sunset. Come come !!!. D'ont worry. Not dangerous !! You can believe me.

เพื่อนๆกับชะนีแคระมองหน้ากันเอาไงกันดีจะตามเค้าไปดีไหมหรือจะหากันเอง เพื่อนชะนีแคระบอกว่าพวกเราไม่มีเวลาแล้วถ้าหากันเองคงไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินแน่ๆ ในกลุ่มมีผู้ชายไปด้วย 1 คนคิดว่าคงไม่มีอันตราย อีกอย่างก็มีนักท่องเที่ยวยุโรปชายหญิงอีกคู่หนึ่งตามไปด้วยรถ E-scooter อีกหนึ่งคันคงไม่อันตรายหรอก ว่าแล้วพวกเราจึงตัดสินใจขี่รถตามๆกัน ซึ่งชายชาวพุกามคนนี้ก็ขี่นำหน้าพาพวกเราเลี้ยวรถผ่านทุ่งเจดีย์ต้นไม้ใหญ่น้อย สลับซับซ้อนไปมา ชะนีแคระคิดในใจว่าเค้ามาคนเดียวก็จริงแต่ถ้าหากว่าเค้ามีกลุ่มชายฉกรรจ์รออยู่จะทำยังไง ในใจก็กลัวๆ ยิ่งท้องฟ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีตากผ้าอ้อม กับมีฉากหลังเป็นวัดเก่าๆ เจดีย์เก่าๆเต็มไปหมด ได้บรรยากาศหนังผีปนหนังสยองขวัญ  ชะนีแคระบอกกับเพื่อนชายที่ซ้อนรถมาด้วยกันว่าแกๆเราเปลี่ยนใจเลี้ยวรถกลับกันดีไหม ฉันกลัว เพื่อนบอกมาถึงขนาดนี้แล้ว ลุยอย่างเดียว ในที่สุดชายชาวพุกามก็พารถมาจอดที่เจดีย์เล็กๆองค์หนึ่ง แต่มีชั้นสองให้เราปีนขึ้นไปบนตัวองค์เจดีย์ได้ และภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้


ทุ่งทะเลเจดีย์ที่พุกาม

ทุ่งทะเลเจดีย์ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด

แสงพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า




แสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน


แสงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า
หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เรานักท่องเที่ยวก็ต่างเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับ ชายชาวพุกามก็ได้พูดกับพวกเราว่า

ชายชาวพุกาม  : My friends ,I help you already.  And now you can help me and my familly please !!!

ว่าแล้วเค้าก็กางงานภาพวาดหลายชิ้น กับของที่ระลึกมาขายนักท่องเที่ยว ชะนีแคระกับเพื่อนมองหน้ากันเอาวะ ช่วยเค้าซื้อหน่อย ปรากฏว่ากลุ่มเราเลือกซื้อภาพวาดมา 1 ผืนตกราคา 20 ดอลล่าร์ ต่อเหลือ 18 ดอลล่าร์ พอซื้อเสร็จเค้าก็ขอบคุณเราแถมบอกว่าลูกเค้าต้องการเงินไปเรียนหนังสือ ขอบคุณเราอย่างสุภาพ จริงๆแล้วถ้าเราซื้อตามร้านค้าต่างๆอาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ แต่อย่างว่าทำไงได้ ถ้าไม่ช่วยซื้อเลยเราก็เกรงใจ อีกอย่างเค้าก็พูดจาดีพาเรามา  เพื่อนชาวฝรั่งเศสบอกกับชะนีแคระว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีนะนี่ อิอิ    หลังจากลานักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่มาด้วยกันแล้ว คณะผองเพื่อนกับชะนีแคระก็แว้นรถกลับไปหาอาหารเย็นทานแถวโรงแรม แถวๆย่านถนนคนเดินยองอูที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย ชะนีแคระกับเพื่อนเลือกกินอาหารเย็นที่ร้านนี้ ร้าน Novel Restaurant  เห็นคนคึกคักดี มีทั้งชาวพุกาม และก็นักท่องเที่ยวชาวยุโรป คืนนี้จะลองกินปิ้งย่าง บาบีคิวพุกามดูบ้างนะ



Novel Restaurant

เลือกได้เลยว่าเราจะเอาอะไร ชะนีแคระกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสยืนชี้เลือกชุดใหญ่



แม่ค้าปิ้งย่างกันสดๆ

ชะนีแคระเลือกปลาเผา กับผักย่าง แต่ของเพื่อนเลือกพวกเนื้อ ไก่ย่างกินกับข้าวสวย
สรุปเราสั่งกันมาหลายอย่างแต่ถ่ายรูปปลาได้ภาพเดียว เพราะปลามาช้าสุดอะไรมาก่อนก็กินกันก่อนจนลืมถ่ายรูปนะ ด้วยความหิวจัด สรุปอาหารรสชาติใช้ได้  และก็ราคาไม่แพง หากท่านผู้อ่านสนใจก็อย่าลืมมาตามรอยกันนะ  หลังจากคืนรถ E-scooter กับทางโรงแรมเราก็กลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัยพร้อมลุยต่อในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 2

หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อย ไปเอารถ E-scooter คันเดิมที่ชาร์ตแบตเตอรี่เรียบร้อยก็ได้
เวลา 10.00 น. ชะนีแคระกับเพื่อนก็มุ่งหน้าไปเที่ยวกันต่อที่เป้าหมายต่อไป

ตลาดเช้าเมืองยองอู(Market Nyaung U)

ตลาดเช้ายองอูก็เหมือนตลาดตามต่างจังหวัดบ้านเราเมื่อหลายสิบปีก่อนนี่หละ ที่เริ่มขายสินค้าตั้งแต่ตีสี่ตีห้า ไปจนถึงบ่ายๆตลาดก็จะวาย แต่ที่นี่ทำให้เราเห็นวิถีชีวิตของชาวพุกาม ได้เห็นพ่อค้าแม่ค้าขายของแบกะดิน เห็นสีสันของผู้คน นับว่าเป็นจุดนับพบของชาวเมืองพุกาม และจุดนับพบของนักท่องเที่ยวด้วยนะที่ต้องมาแวะถ่ายรูปและสัมผัสกับวิถีชีวิตชาวบ้านพุกามกัน  สำหรับชะนีแคระไม่มีความแปลกตาหรือรู้สึกประหลาดใจอย่างใด เพราะรู้สึกชินตาเห็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่สำหรับเพื่อนชาวฝรั่งเศสนับว่าเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้น ความประทับใจและแปลกใหม่อย่างมากที่เค้าไม่เคยเจอ


เป็นตลาดใหญ่ที่ขายของหลากหลายทั้งของสดเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ รวมถึงอาหารแห้ง และของใช้ต่างๆนับว่ามีเกือบทุกสิ่งที่ตลาดยองอู


รองเท้าขายแบกะดินกันเลย

เครื่องชั่งโบราณ ร้านค้าส่วนใหญ่ยังใช้เครื่องชั่งแบบโบราณกันอยู่

กะปิเมียนมา  กุ้งแห้ง ปลาแห้ง ร้านนี้มีเครื่องชั่งแบบใหม่

โซนผักและผลไม้ของสด

ร้านขายทานาคา ขายเป็นท่อนๆกันเลย
หลังจากถ่ายรูปและแวะดูข้าวของเก็บภาพวิถีชีวิตผู้คนสักพัก ชะนีแคระกับเพื่อนก็แว้นรถกลับเข้าโซนเมืองเก่าเขตทุ่งเจดีย์กันต่อเพราะวันนี้ยังมีอีกหลายเจดีย์  หลายวิหารสำคัญอีกหลายองค์ต้องทำเวลากันหน่อยแล้ว   ระหว่างที่เราขี่รถผ่านสองข้างทางเต็มไปด้วยเจดีย์มากมาย เราเห็นเจดีย์องค์ไหนดูน่าสนใจก็แวะถ่ายรูปกันเพลิดเพลิน ที่สำคัญพวกเราก็แวะสำรวจตามหาเจดีย์ที่สามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน มีวิวสวยๆสำหรับเย็นนี้ด้วย

เหล่าหมู่เจดีย์นับร้อยๆองค์ องค์เล็กองค์น้อยตลอดสองข้างทาง

ชะนีแคระกับเพื่อนแว้นซอกแซกไปตามทุ่งหญ้า 

สำรวจหมู่เหล่าเจดีย์ที่สามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปเห็นวิวสวยๆ

เจดีย์องค์นี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไรแต่มีฐานสองชั้นให้เราขึ้นมาถ่ายรูปชั้นบนได้

เหล่ากลุ่มเจดีย์ตลอดสองข้างทาง
หลังจากขี่รถและดูแผนที่มาเรื่อยๆ เป้าหมายของเราต่อไปก็คือแวะที่วัดอนันดา


วัดอนันดา (Ananda Phaya)




วัดอนันดา (Ananda Phaya)

วัดอนันดาถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่1091 ในสมัยพระเจ้าจั่นสิตา กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งพุกาม แล้วสร้างเสร็จในปีคศ .1105 วัดอนันดาเป็นวัดที่สวยงามวิจิตร ตระการตา และถูกกล่าวว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งพุทธศิลป์ช่างพุกามเลยทีเดียว  ตัวอาคารถูกสร้างด้วยสีขาว วิหารหลักสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ่โต แล้วมีมุขยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน คล้ายทรงไม้กางเขน  จากประวัติพงศาวดารกล่าวกันว่า วัดอนันดาถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนเขานันทมูล ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัยประเทศอินเดีย ที่เคยเป็นที่จำพรรษาของพระอรหันต์ 8 รูปที่เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่พุกาม ซึ่งพระเจ้าจั่นสิตามีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากในพระอรหันต์ทั้ง 8 รูป พระเจ้าจั่นสิตาก็ได้ให้พระอรหันต์เล่าพรรณาถึงภูเขานันทมูล แล้วก็สร้างวัดอนันดาขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา


ทางเข้าวิหารอนันดา

มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายหลายร้าน


เครื่องเขินศิลปะเมียนมา




เห็นว่ายอดวิหารสีทองมีการหักและเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

ดูด้านข้างเหมือนมีสิงห์อยู่ 2 ตัวประกบกัน



ด้านหน้าตัวสิงห์
ชะนีแคระทำการสำรวจด้านนอกวิหารก่อนเลย จะเห็นได้ว่าน่าเสียดายที่ยอดวิหารสีทองด้านบนมีการแตกหักชำรุดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และทางการเมียนมาก็กำลังทำการบรูณะปฏิสังขรณ์อยู่  แต่ก็ยังถือว่าชะนีแคระกับเพื่อนยังโชคดีอยู่ที่ทางรัฐบาลไม่ได้ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าชมเหมือนเจดีย์องค์อื่น ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ แค่อาจจะมีการปิดพื้นที่ในบางส่วนที่เสียหายเท่านั้น และเราก็ไม่ได้ภาพสวยๆเหมือนที่ใจคิดอีกแล้ว 

ภายในวิหารมีการเจาะเป็นช่องหน้าต่างและประดิษฐานพระพุทธรูปภายใน

อีกสิ่งหนึ่งที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือพระพุทธรูปประจำทั้งสี่ทิศภายในวิหารที่ถูกแกะสลักด้วยไม้ด้วยศิลปะพุกาม แต่ปัจจุบันเหลือแค่พระพุทธรูปทางด้านทิศเหนือกับทิศใต้เท่านั้นที่เป็นองค์พระพุทธรูปดั้งเดิม แต่อีกสององค์ทางด้านตะวันออกและด้านตะวันตกถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทดแทนองค์เดิมที่ถูกไฟไหม้เสียหายไป ซึ่งเราจะเห็นถึงความแตกต่างของศิลปะช่วงสมัยที่ต่างกันอย่างชัดเจน

ถ้าดูใกล้พระพักต์ของพระพุทธรูปจะดูบิ้งตึง

ถ้าถ่ายรูปไกลจะเห็นว่าพระพุทธรูปมีพระพักตร์มีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา

ยิ่งไกลๆขึ้นพระพุทธรูปมีรอยยิ้มมากขึ้น
และนี่ก็เป็นผลงานแกะสลักของศิลปะชั้นสูงฝีมือของช่างพุกาม ที่อาศัยเทคนิคของแสงและเงาในการแกะสลัก เล่นลูกเล่นให้เห็นว่าถ้าเราอยุ่ใกล้ๆกับองค์พระพุทธรูปจะรู้สึกว่าพระพักตร์จะบึ้งตึง แต่พอเรามองไกลๆจะเห็นพระพักตร์มีรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา


พระพุทธรูปด้านทิศตะวันออกและตะวันตกจะเห็นว่ามีความแตกต่างในศิลปะคนละสมัยอย่างชัดเจน
หลังจากไหว้พระประจำทั้งสี่ทิศแล้วเดินสำรวจวัดอนันดาสักพักเราก็ต้องทำเวลาออกไปเที่ยวกันต่อ

วัดสัพพัญญู(Thatbyinnyu Phaya)


วัดสัพพัญญู(Thatbyinnyu Phaya)
 วัดสัพพัญญูหรือวัดตะบินยูพญา ออกเสียงตามชาวเมียนมาที่แปลว่าวัดหรือวิหารแห่งความรอบรู้ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดอนันดา วัดสัพพัญญูเป็นวัดที่มีขนาดสูงที่สุดในพุกาม สูงถึง 61 เมตร มีความสูงถึง 5 ชั้น ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 12  ในสมัยพระเจ้าอลองสิธู ซึ่งถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในพุกามมีการสร้างเจดีย์มากมาย ตัววัดมีการจำลองแบบมาจากวัดในอินเดีย




แต่เดิมนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดแห่งนี้ แต่ภายหลังทางการได้ปิดและห้ามนักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปบนยอดวิหารเพราะพบรอยร้าวและเกรงว่าตัววัดจะพังทลายลงมา และเหมือนเช่นเคยวิหารถูกปิดห้ามนักท่องเที่ยวเข้า ชะนีแคระกับเพื่อนก็ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ภายนอกมาฝากท่านผูู้อ่านเท่านั้น ตอนนี้บ่ายโมงครึ่งกว่าแล้วค่ะ ชะนีแคระกับเพื่อนเริ่มหิวแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปหาอะไรทานลองท้องกันดีกว่าสำหรับวันนี้เราจะลองทานอาหารมังสาวิรัติดูบ้าง แนะนำร้านนี้ค่ะ     The moon  หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวชื่อดังได้แนะนำไว้ ชะนีแคระกับเพื่อนเลยตามรอยดู


ร้านอาหาร The Moon

บรรยากาศภายในร้านน่านั่งมาก ส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

เมนูอันขาดไม่ได้สำหรับชาวไทย ส้มตำ แต่อันนี้เป็นตำเมียนมาใส่ถั่ว 

ซุปแกงมะเขืออะไรสักอย่าง

มีน้ำปลาพริกมาพร้อมกับข้าวสวย

สั่งเบียร์ก็จะเสิร์ฟมาในถุงพลาสติกสีดำ ถามพนักงานทำไมต้องห่อถุงคลุม เค้าบอกว่าอยู่ในเขตวัดวาอาราม เลยต้องมีการห่อปิดมิดชิดกันสักนิด

สำหรับรสชาติอาหารใช้ได้รสไม่จัด ส้มตำนี่ก็อร่อยดีออกแนวหวานๆมันส์ ถ้าใครสนใจลองแวะมาตามรอยกันได้นะคะ ท้องอิ่มแล้วพร้อมเที่ยวต่อไม่รอแล้วนะ


วัด Gow dow Palin Phaya


               วัด Gow dow Palin Phaya

เป็นวัดที่สร้างขึ้นในคศ. 1203 สร้างอยู่ริมแม่น้ำอิระวดี รูปแบบสถาปัตยกรรมจะคล้ายๆกับวัดสัพพัญญูน่าจะเป็นงานร่วมสมัยเดียวกัน  จากประวัติการสร้างไม่ค่อยชัดเจน แต่ชะนีแคระเห็นมีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาถ่ายรูปกันเยอะก็เลยหยุดแวะเข้าไปถ่ายรูปกับเค้าด้วย

สถาปัตยกรรมคล้ายๆกับวัดสัพพัญญู




พระประธานภายในวัด

เจดีย์บูพญา( Bupaya Pagoda )


เจดีย์บูพญา
เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นริมแม่น้ำอิระวดี เจดีย์ถูกสร้างเป็นรูปทรงน้ำเต้า สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่องค์เจดีย์ดั้งเดิมได้พังถลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และองค์ปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในคศ. 1975  และที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินกัน


ทางเข้าตัวเจดีย์
วันนี้น่าจะมีเทศกาลเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง ที่เจดีย์บูพญามีการจัดงานรื่นเริง มีของขายกันหน้าเจดีย์ และมีการแข่งขันฟุตบอลด้วยนะ


มีการแข่งขันฟุตบอลด้วย ชาวบ้านมาเชียร์กันส่งเสียงดังคึกคัก

ชะนีแคระแวะไหว้พระ

ตัวองค์เจดีย์บูพญาเป็นรูปทรงน้ำเต้า

มีท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี ติดกับเจดีย์บูพญาเลย
ตัวเจดีย์จะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีเลย  และมีท่าเรือใกล้ๆกับเจดีย์ด้วย ถ้าใครที่เดินทางมาพุกามโดยทางเรือ ถ้าเห็นเจดีย์บูพญาแล้วก็แสดงว่าท่านเดินทางมาถึงพุกามแล้วค่ะ    นอกจากนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่วัดบูพญาเพื่อจะดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ริมแม่น้ำอิระวดี  ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น แล้วชะนีแคระกับเพื่อนคิดว่ายังมีเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เรายังมีเวลาเที่ยวต่อ ประกอบว่าหลังจากดูทำเลที่เจดีย์บูพญาแล้วคิดว่า เราอยากได้ภาพทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า ชะนีแคระกับเพื่อนจึงได้เดินทางเที่ยวกันต่อเพื่อหาเจดีย์องค์อื่นที่เราจะสามารถปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน


วัดธรรมยังจี (Dhammayangyi Temple)



วัดธรรมยังจี เป็นวัดขนาดใหญ่มีรูปทรงคล้ายพีรามิด เราสามารถมองเห็นได้ไกลจากทั่วทุกมุมในเมืองพุกาม วัดถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้านาราธู ในคศ.1163 เพื่อเป็นการไถ่บาปที่พระองค์ทรงทำการปลงพระชนม์พระราชบิดาก็คือพระเจ้าอลองสิธู และลอบวางยาพิษพระเชษฐาของพระองค์ เพื่อต้องการขึ้นครองราชย์สมบัติ รูปแบบวัดธรรมยังจีจะคล้ายๆวัดอนันดา  วัดถูกสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ทิศคล้ายทรงไม้กางเขน



วัดธรรมยังจี (Dhammayangyi Temple)

 พระเจ้านาราธูต้องการสร้างวัดที่มีขนาดใหญ่โตและสวยงาม และแข็งแรงมั่นคงที่สุดในพุกาม แต่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่โหดร้าย จึงไม่ได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนชาวพุกามที่จะมีจิตศรัทธามาร่วมสร้างวัดเท่าไหร่นัก  ดังนั้นพระองค์จึงต้องเกณฑ์แรงงานผู้คนมาสร้างอย่างกดขี่ข่มเหง  สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนไปทุกย่อมหญ้า  ตามประวัติได้กล่าวว่าพระองค์ทรงคุมงานก่อสร้างด้วยพระองค์เอง หากช่างฝีมือคนใดก่อเรียงอิฐไม่แนบสนิทกัน ขนาดที่พระเจ้านาราธูสามารถสอดเข็มเข้าไปได้ ช่างคนนั้นก็จะถูกสั่งให้ตัดแขนและก็ประหารชีวิตในที่สุดเพราะพระองค์มีความเชื่อว่าหากถ้าเรียงอิฐแล้วมีรูรอดแม้แต่นิดเดียว วิญญาณของพระองค์จะต้องตกนรกอเวจี ดังนั้นวัดนี้จึงขึ้นชื่อในเรื่องของการวางอิฐได้แนบสนิทชิดกันและมีความมั่นคงที่สุดในพุกาม และก็ขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดร้ายในเวลาเดียวกันด้วย



ทางเข้าวัดธรรมยันจี

วัดธรรมยังจีเป็นวัดที่สร้างไม่เสร็จ เพราะภายหลังจากที่พระเจ้านาราธูครองราชย์ได้เพียงแค่สี่ปี พระองค์ก็ถูกปลงพระชนม์ด้วยกษัตริย์และกองทัพจากลังกาที่บุกมาตีพุกาม ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงสั่งประหารพระชายาองค์หนึ่งที่เป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ลังกาและความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างพุกามกับลังกา หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์วัดธรรมยังจีก็ถูกปล่อยให้รกร้าง ไม่มีกษัตริย์องค์ใดหรือประชาชนจะมาร่วมสร้างวัดต่อเพราะเหตุผลทางความเชื่อว่าเป็นลางร้ายของคนบาปนั่นเอง


ภายในมีการก่อสร้างเป็น 2 ชั้นไม่มีการฉาบปูนหรือตกแต่งแต่อย่างใด


มีพระพุทธรูปประธานทั้งสี่ทิศภายในวัดธรรมยังจี


หินที่คาดว่าน่าจะใช้เป็นที่ตัดมือช่างฝีมือที่ก่อวางอิฐไม่แนบสนิทชิดกัน

หลังจากที่อ่านประวัติการสร้างวัดแล้วชะนีแคระก็สำรวจหาแท่งหินที่เค้าว่าใช้เป็นที่ตัดมือตัดแขนช่างฝีมือที่เรียงอิฐไม่แนบสนิทกัน กว่าจะหาเจอก็เสียเวลาอยู่นาน ในที่สุดก็หาเจอชะนีลองวางมือเทียบดูกับรางของช่องหินก็ได้ขนาดมือวางพอดีหรือมันจะจริงตามข้อสันนิษฐาน



จะเห็นว่าการเรียงอิฐแดงจะมีการวางอิฐได้แนบสนิทกว่าวัดหรือวิหารอื่นๆในพุกาม


บริเวณรอบๆวัดธรรมยังจีมีร้านขายของที่ระลึกมากมาย และก็นี่หุ่นกระบอกเมียนมา
เราใช้เวลาสำรวจวัดธรรมยังจีสักพักก็ได้แวะนั่งพักทานน้ำที่ร้านค้าหน้าวัด ซึ่งมีด้วยกันหลายร้าน 


ชิมน้ำอ้อยสักหน่อย พ่อค้าคั้นสดๆ

น้ำอ้อยใส่น้ำแข็งเย็นดับกระหาย

 นั่งพักสักแปปเราก็ต้องเดินทางเที่ยวต่อ ตอนนี้เวลาห้าโมงเย็นแล้วเราจะต้องหาเจดีย์ที่เราจะสามารถปีนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินกัน ระหว่างขับรถผ่านวัดธรรมยังจี เราก็ขับผ่านเจดีย์สององค์ ไม่รู้ว่าเจดีย์ชื่อว่าอะไร แต่เห็นว่าเจดีย์องค์ที่หนึ่งมีการพังทลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างชัดเจน และทางการเมียนมาก็กำลังบรูณะอยู่ และเจดีย์องค์ข้างๆกันมีรถจักรยานยนต์ รถ E-scooter จอดอยู่หลายคัน มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าชาวพุกามกางผ้าปูขายของที่ระลึกอยู่ด้านหน้าเจดีย์ ในหัวชะนีแคระเดาได้ทันทีว่าเจดีย์องค์นี้ต้องปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินได้แน่ๆ ถึงได้มีพ่อค้า แม่ค้า นักท่องเที่ยวต่างชาติจอดรถกันหลายคัน

เจดีย์องค์ที่ยอดปรางค์หักลงมา มีคนงานเมียนมานับสามสิบชีวิตกำลังซ่อมแซมกันใหญ่


เจดีย์องค์ที่สองข้างๆกับเจดีย์ที่มีการหักพังทลายลงมาที่เราปีนขึ้นไปดูพระทิตย์ตกดิน

 หลังจากเข้าไปสำรวจด้านบนชั้นสองขององค์เจดีย์ก็พบมีชาวต่างชาตินับสามสิบกว่าคนกำลังจับจองทำเลเพื่อชมและถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกัน


วิวจากด้านบนเจดีย์

ทุ่งเจดีย์ในตำนาน


เห็นวัดธรรมยังจีไม่ไกล

ทุ่งเจดีย์หลายพันองค์


นักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังจับจองพื้นที่ในการชมบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดิน


วัดธรรมยังจี

ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสี



แสงอาทิตย์สาดลำแสงสุดท้ายก่อนที่จะลาลับขอบฟ้า

ทุ่งทะเลเจดีย์

มองเห็นเจดีย์ชเวสันดอร์และวัดสัพพัญญูไกลๆ

พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

ความงาม และความประทับใจที่ได้เห็นทุ่งทะเลเจดีย์
หลังจากดูพระอาทิตย์ตกดินเสร็จชะนีแคระกับผองเพื่อนก็เตรียมกลับไปทานอาหารเย็นย่านถนนคนเดินเมืองยองอูอีกแล้ว สำหรับคืนนี้เรารีบกินรีบกลับไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้เช้าเรามีนัดกันว่าจะต้องตื่นแต่ตี 5 เพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้นคืนนี้เรากลับโรงแรมและพักผ่อนกันอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น

วันที่ 3

เช้านี้ชะนีแคระกับเพื่อนตื่นกันแต่เช้ามากตั้งแต่ตี 5 ชะนีแคระล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนชุดก็ออกมาเลยค่ะ เดี๋ยวเราค่อยกลับมาอาบน้ำทีหลังเอา เพราะเมื่อวานคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเค้าบอกให้รีบออกอย่างช้าตีห้าตรงต้องเริ่มออกเดินทางกันแล้ว หลังจากที่เจ้าหน้าที่แนะนำพิกัดเจดีย์แล้วชะนีแคระกับผองเพื่อนก็รีบบึ่งรถออกจากโรงแรมทันที บรรยากาศไม่ต้องพูดถึงมันมืดและก็สภาพแต่ละคนนั้นงัวเงียง่วงนอนกันสุด ๆ แต่พวกเราไม่กลัวนะคะ เพราะระหว่างทางที่ขี่รถกันไปนั้นก็เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่นๆที่ขับขี่รถตามท้องถนนเช่นกันเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันคือไปชมทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ขึ้น สำหรับเช้านี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าที่กลุ่มเจดีย์ Shwe nan yin taw Complex ตรงแถวๆนี้มีเจดีย์องค์สององค์ที่สามารถขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อไปดูวิวบนเจดีย์ได้ และก็เหมือนเดิมชะนีแคระกับเพื่อนถือคติ ตามๆคนเค้าไป เห็นเจดีย์องค์ไหนมีรถจอดอยู่หลายๆคัน นั่นหละเจดีย์องค์นั้นต้องขึ้นไปดูวิวได้แน่นอน และก็ไม่ผิดหวังหลังจากขึ้นมาบนชั้นสองของเจดีย์องค์หนึ่งแล้วก็เห็นนักท่องเที่ยวทั้งยุโรป เอเชียนับสามสิบกว่าชีวิตต่างนั่งรอ และพูดคุยกันเบาๆ และต่างก็จับจองทำเลเพื่อจะถ่ายรูปทุ่งทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้ากัน ซึ่งก็เหลือเวลาไม่น่าจะเกินสิบนาทีแล้ว


พระอาทิตย์กำลังขึ้นสู่ขอบฟ้า

แสงแรกของวัน

งามเกินคำบรรยาย 

มนต์เสน่ห์ยามเช้าที่นี่ที่พุกาม

พระอาทิตย์ขึ้นแล้วท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว

ตอนนี้ได้เวลาหกโมงครึ่งแล้ว ท้องฟ้าเปิดเห็นวัดธรรมยังจีไกลๆ


ทุ่งทะเลเจดีย์ยามเช้า

สำหรับใครที่อยากจะขึ้นบอลลูน หรือว่ามาถ่ายภาพทุ่งเจดีย์ตอนเช้าแล้วมีบอลลูนลอยเต็มท้องฟ้าต้องมาช่วงเดือนพฤศจิกายน - มีนาคมเพราะเป็นช่วง high season ของพุกามเลยนะ แต่ชะนีแคระเดินทางมาเที่ยวช่วงเดือนกันยายน บอลลูนงดให้บริการค่ะ ตอนนี้ได้เวลา 06.30 น.นักท่องเที่ยวต่างทยอยกันกลับ ชะนีแคระกับเพื่อนปรึกษากันว่าเราจะกลับโรงแรมไปนอนกันต่อดีหรือจะออกแว้นสักสองสามชั่วโมงดี เพื่อนๆต่างลงมติว่าตอนนี้ตาสว่างกันแล้วอยากขี่รถเล่นและเก็บบรรยากาศยามเช้ากันมากกว่า แล้วสักเก้าโมงเช้าค่อยขี่รถกลับโรงแรมไปทานอาหารเช้ากัน ว่าแล้วเราก็ขับรถแว้นกันต่อสถานที่ต่อไป


วัดสุลามณี (Sulamani Temple)


วัดสุลามณี (Sulamani Temple)

วัดสุลามณี ถูกสร้างในปีคศ. 1183 ในสมัยพระเจ้านรปติสินธู  สุลามณีในภาษาเมียนมา แปลว่า ทับทิมเม็ดเล็ก ตามพงศาวดารกล่าวกันว่า พระเจ้านรปติสินธูได้ทรงค้นพบหินทับทิมเม็ดงาม ณ ที่สถานที่แห่งนี้ก็เลยสร้างวัดสุลามณีขึ้น  ลักษณะโครงสร้างของวัดสุลามณีแห่งนี้จะมีรูปแบบคล้ายกับวัดสัพพัญญู



วัดสุลามณีเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างหนัก


เป็นที่น่าเสียดายวัดสุลามณีได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคม พศ.2559 ที่มีแรงสั่นสะเทือนถึง 6.8 ริกเตอร์  ทำให้ยอดพระปรางค์ของเจดีย์ได้แตกหักและพังถล่มลงมา แถมยังพบช่องโหว่ภายในโครงสร้างของตัวเจดีย์  ดังนั้นทางการเมียนมาห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปภายใน ชะนีแคระก็เลยทำได้แค่ถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกมาให้ท่านผู้อ่านได้ดูกัน


วัดสุลามณีหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว 1 เดือน


ภายในตัววิหารมีภาพเขียนจิตรกรรมโบราณที่สวยงาม น่าเสียดายจริงๆที่เราไม่สามารถเข้าไปภายในได้ ชะนีแคระหวังว่าหากมีโอกาสได้กลับไปพุกามอีกครั้งในอนาคตคงต้องกลับมาที่นี่วัดสุลามณีอีกครั้ง หลังจากถ่ายรูปกันสักพักเราก็ขี่รถ E- scooter เที่ยวไปตามทางเก็บภาพบรรยากาศชาวบ้านพุกามตลอดสองข้างทางที่เราขี่รถลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า


มีการสร้างถนนทำทางสำหรับให้รถวิ่งผ่าน


ชาวบ้านขี่เกวียนออกไปเพาะปลูก


ชาวพุกามใช้วัวเทียมไถปรับปรุงพื้นที่เพาะปลูก



ต้นกระบองเพชรขึ้นเต็มไปตลอดสองข้างแสดงถึงความแห้งแล้งของพุกาม
พื้นดินส่วนใหญ่ในพุกามเป็นดินทรายแห้งแล้งกันดาร แห้งแล้งขนาดมีต้นกระบอกเพชรขึ้นเต็มไปหมดสองข้างทาง ดังนั้นการเพาะปลูกที่นี่ส่วนใหญ่จึงเน้นพืชไร่ที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง นี่เรามาท่องเที่ยวหน้าฝนยังรู้สึกร้อนอบอ้าว ไม่อยากจะคิดถ้ามาช่วงหน้าร้อนเดือนเมษายน สภาพอากาศจะโหดร้ายยังไง




ระหว่างที่ขี่รถผ่านตลอดสองข้างทาง เราจะเห็นเจดีย์ต่างๆที่ชำรุด พังทลายจากเหตุกาณ์แผ่นดินไหว ตลอดทาง มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าห้ามให้นักท่องเที่ยวเข้าไปภายใน



เจดีย์ที่มีการพังทลาย

เหล่าหมู่เจดีย์เล็กน้อยๆ ตลอดสองข้างทาง
หลังจากขี่รถไปได้สักสองสามชั่วโมง ชะนีแคระกับเพื่อนก็ขี่รถวนกลับไปโรงแรมเวลาเกือบสิบโมงเช้าเพื่อทานอาหารเช้าแล้วก็กลับไปอาบน้ำ พักผ่อนสักพักราวๆเที่ยง เราก็ออกไปตระเวนเที่ยวเมืองในพุกามเพื่อเก็บวัด วิหาร เจดีย์ต่างๆที่น่าสนใจกันต่อ


เจดีย์มหาบดี(Mahabodi Pagoda)



วัดมหาบดี(Mahabodi Pagoda)

เจดีย์มหาบดีหรือที่คนไทยรู้จักในนามเจดีย์มหาโพธิ์ เจดีย์ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 13 โดยพระเจ้าติโลมิโน ซึ่งสถาปัตยกรรมของเจดีย์มหาบดีจะมีความแตกต่างจากเจดีย์ดีต่างๆในพุกาม เนื่องจากได้จำลองแบบมาจากวัดพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาประเทศอินเดีย โดยยอดพระปรางค์ของเจดีย์จะมีรูปแบบคล้ายไปทางศาสนาฮินดู



พระประธานภายในองค์เจดีย์มหาบดี

บริเวณด้านข้างขององค์เจดีย์ยังมีบางส่วนที่ยังรอการบูรณะปรับปรุงอยู่ 
เจดีย์มหาบดีได้รับความเสียหายมากจากเหตุแผ่นดินไหวในคศ. 1975  ทำให้มีบางส่วนเสียหายทางการได้บรูณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่รอการปรับปรุงอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ  เราจึงยังเห็นบางส่วนมีการกั้นเชือกไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปภายใน  ซึ่งชะนีแคระไม่แน่ใจว่าส่วนที่ยังไม่ได้ซ่อมแซมนี่เกิดจากการเสียหายของแผ่นดินไหวเมื่อคศ. 1975 หรือครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม พศ.2559 (คศ. 2016) กันแน่

เจดีย์มิงกาลา (Mingalazedi Pagoda)



เจดีย์มิงกะลา (Mingalazedi Pagoda)
เจดีย์มิงกาลาถูกสร้างขึ้นในคศ. 1284 ในสมัยพระเจ้านรสีหบดี (กษัตริย์องค์สุดท้ายของพุกาม) เจดีย์มิงกาลาเป็นเจดีย์องค์สุดท้ายที่ถูกสร้างในพุกาม ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าพระเจ้านรสีหบดีเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริให้มีการสร้างเจดีย์ตามพระราชประเพณี พระองค์ทรงดำเนินการสร้างเจดีย์มิงกาลาซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ทำให้ต้องมีการเกณฑ์แรงงานประชาชนอย่างมากมาก่อนสร้างเจดีย์ สร้างความเดือนร้อนให้แก่ประชาราษฏร์ และมีการใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังในการสร้างอย่างมาก  ในตอนสร้างเจดีย์มิงกาลาก็ได้มีโหรทำนายไว้ว่าหากสร้างเจดีย์ได้สำเร็จอาณาจักรพุกามจะถึงคราวล่มสลาย  ดังนั้นพระองค์จึงยุติการสร้างเจดีย์เป็นเวลา 3 ปี แต่ถึงกระนั้นก็มีเสียงล่ำลือว่าพระองค์ทรงสร้างเจดีย์ไม่สำเร็จจะเป็นอัปมงคลต่อแผ่นดิน (จะเอายังไงกันแน่ถ้าสร้างเสร็จก็ไม่ดี สร้างไม่สำเร็จก็ไม่ดีอีก)  ดังนั้นพระองค์จึงดำเนินการให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จ ซึ่งในระหว่างนั้นมองโกลต้องการแผ่ขยายอำนาจมาทางตอนใต้ และทำศึกสงครามกับพุกาม แต่ในท้ายที่สุดในปี คศ. 1287 มองโกลก็สามารถตีชนะพุกามได้สำเร็จ และพระเจ้านรสีหบดีต้องทรงลี้ภัยลงใต้หนีกองทัพมองโกล ตั้งแต่นั้นมาอาณาจักรพุกามที่รุ่งเรืองมาพันปีต้องถึงคราวล่มสลายสิ้นสุดลงเหลือเพียงซากวัด วิหารเจดีย์ในปัจจุบัน



ฐานเจดีย์เป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มี 3 ชั้น นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินได้

ปกติเจดีย์มิงกาลาจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินกัน แต่ปัจจุบันทางการเมียนมาปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเนื่องจากองค์เจดีย์ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ดังนั้นชะนีแคระทำได้แค่ถ่ายรูปมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมกันนะคะ

วัดมนูหะ (Manuha Phaya)



               วัดมนูหะ (Manuha Phaya)

วัดมนูหะถูกสร้างขึ้นในคศ.ที่ 11  พระเจ้ามนูหะเจ้าเมืองสะเทิม (เมืองมอญ)ได้เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้น หลังจากที่พระองค์ต้องตกเป็นเชลยศึกของพระเจ้าอโนรธามังช่อ หลังจากที่อาณาจักรพุกามได้รับชัยชนะตีเมืองมอญแตก พระเจ้าอโนรธามังช่อก็ได้อันเชิญพระไตรปิฏก และกวาดต้อนพระเจ้ามนูหะ และพระราชวงศ์ ตลอดจนขุนนาง ข้าราชการ พระสงฆ์ นักปราชญ์ประชาชนชาวเมืองมอญมาเป็นเชลยศึกที่เมืองพุกาม  จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าพระเจ้ามนูหะและพระมเหสีทรงถูกคุมขังอยู่ที่เมือง มยินกาบา ทางตอนใต้ของพุกาม  และพระเจ้าอโนรธามังช่อทรงอนุญาตให้พระเจ้ามนูหะสร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เป็นบำเพ็ญพระราชกุศล


พระอึดอัด


ดูความใหญ่โตของตัวองค์พระพุทธรูปใหญ่คับพระวิหาร

พระเจ้ามนูหะทรงระบายความรู้สึกอึดอัด คับแค้นในพระทัยที่ต้องตกมาเป็นเชลยศึกด้วยการสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่โตมากจนคับพระวิหารเพื่อเป็นการประชดประชันชาวพุกาม จนเราเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระอึดอัด


พระพุทธรูปปางนิพพาน
ความใหญ่โตขององค์พระ

นอกจากนี้พระเจ้ามนูหะทรงสร้างพระพุทธรูปปางนิพพานขนาดใหญ่โตมากเช่นกัน แต่พระพุทธรูปมีพระโอษฐ์ยิ้มเพื่อเป็นการสื่อความหมายว่า มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นอิสระ


เสาหงษ์สัญลักษณ์ของวัดมอญ
 

ไหว้พระทำบุญที่วัดมนูหะ


เกือบบ่ายสามโมงแล้วชาวคณะหยุดพักแวะหาอาหารกลางวันง่ายๆรองท้องกันก่อน  จากนั้นเราก็เที่ยวกันต่อ

เจดีย์ธรรมยาสิขา(Dhammayazika Pagoda)



 เจดีย์ธรรมยาสิขา ( Dhammayazika  Pagoda)

เจดีย์ธรรมยาสิขาเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ และอยู่ค่อนข้างไกลจากเหล่าเจดีย์อื่นๆ ค่อนไปทางเมือง New Bagan เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยคศ.1196 ในสมัยพระเจ้านรปติสิธู เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อันเชิญมาจากศรีลังกา รูปแบบสถานปัตยกรรมจะมีความคล้ายกับเจดีย์ชเวซีโกน


ด้านบนยอดโดมของเจดีย์จะเป็นสีทองเหลืองอร่าม

ฐานองค์เจดีย์มีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม และก็จะมีวิหารขนาดเล็กเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปห้าองค์ ตามความเชื่อในเรื่องของพระพุทธเจ้า 5 องค์

พระพุทธรูปภายในวัด
เมื่อก่อนนี้เราสามารถขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกดินได้ แต่ปัจจุบันทางการไม่อนุญาตแล้วนะคะ ตอนนี้ได้เวลาสี่โมงเย็นกว่าแล้วชาวคณะขับขี่รถกลับเข้าสู่เขตเมืองเก่า เพื่อกลับไปหาจุดชมพระอาทิตย์ตกดินกันอีกครั้งซึ่งวันนี้จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่เที่ยวพุกามนะ ตลอดข้างทางที่ขับผ่านชะนีแคระก็แวะตามวิหารเล็กวิหารน้อยแวะเก็บภาพสวยงามของเหล่าหมู่เจดีย์น้อยใหญ่ทั่วเมืองพุกาม

เหล่าหมู่เจดีย์ขนาดเล็กที่อยู่ตามข้างถนนหนทาง


วัดสัพพัญญู
 หลังจากลงประชามติกันแล้วว่าเราจะกลับไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่หมู่เจดีย์ Shwe nan yin taw Complex สถานที่เดียวกับเมื่อเช้าที่เราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าแล้ว ตอนนี้ยังมีเวลาเราพอสามารถแวะไหว้เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์  Alo Daw pyi Pagoda  นี้กัน


เจดีย์ Alo Daw pyi Pagoda


                       เจดีย์ Alo Daw pyi Pagoda


เจดีย์นี้เราจะเห็นว่าชาวเมียนมานุ่งขาวห่มขาว มีพระภิกษุมากมายแวะเวียนมาไหว้เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ด้านในไม่ขาดสายชาวเย็นจนค่ำ  มีรถบัสรถกระบะขนนำชาวบ้านมาตลอดทั้งวันทั้งคืน


ด้านหน้าขององค์เจดีย์

อ่านมาจากในหนังสือเค้าว่าชาวเมียนมาตลอดจนชาวพุกามเองนิยมนำดอกไม้มาบูชาขอพรจากองค์เจดีย์และก็องค์พระพุทธรูปด้านใน เค้าว่ากันว่าท่านศักดิ์สิทธ์ขออะไรก็สมหวังดังปราถนา แต่ถ้าสมหวังแล้วชาวเมียนมานิยมนำพวกสิ่งของมีค่าเพชรพลอยมาถวายองค์ท่านกัน ชะนีแคระไม่รอช้าซื้อดอกไม้ด้านหน้าเค้ามากราบขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลกัน

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้ได้เวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ แล้วเราต้องรีบกลับไปจับจองพื้นที่ชมพระอาทิตย์ตกดินกัน วันนี้ชะนีแคระคงต้องลาท่านผู้อ่านไปด้วยภาพพระอาทิตย์ตกดินท่ามกลางทุ่งทะเลเจดีย์นับสี่พันองค์ไปก่อนนะคะ  



เหล่าหมู่เจดีย์องค์เล็กองค์น้อย


ทุ่งเจดีย์นับพันองค์


ทุ่งทะเลเจดีย์
แสงพระอาทิตย์เปลี่ยนสีเป็นสีตากผ้าอ้อมแล้ว


เห็นเจดีย์ธรรมยังจีอยู่ไกลๆ
พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า


แสงสุดท้ายของวันกำลังสิ้นสุด


ตลอดทริปทั้งสามวันที่พุกาม ชะนีแคระกับเพื่อนรู้สึกประทับใจมากดีใจที่เราไม่ได้ยกเลิกทริปนี้ไป ถึงแม้ว่าช่วงที่เราไปนั้นเพิ่งจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา และมีวัดวา วิหาร เหล่าหมู่เจดีย์มากมายที่พังทลาย หรือเสียหายและทางการเมียนมาได้ปิดปรับปรุงบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่มากมาย โดยที่น่าเสียดายเจดีย์หลักๆที่ใช้ในการชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินถูกปิดทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนโดยการหาเจดีย์องค์เล็กๆอื่นแทน แต่ชะนีแคระคิดว่าหลังจากที่ท่านผู้อ่านได้อ่านรีวิวนี้ทางการเมียนมาคงทำการบรูณะเสร็จเรียบร้อยแล้วและคงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวกันแล้ว  การท่องเที่ยวที่ประเทศเมียนมาทริปนี้ก็ได้จบลงแล้ว แต่ชะนีแคระกับเพื่อนสัญญากันว่าถ้าหากมีโอกาสกลับมาเที่ยวเมียนมาอีกเราจะกลับมาพุกามอีกครั้งแน่นอน สำหรับวันนี้ลากันไปก่อนนะคะพบกันตอนใหม่ครั้งหน้า ชะนีแคระจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวเมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปนกันค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น