วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

La Clusaz กับการเล่นสกีครั้งแรกของชะนีแคระ


สวัสดีคะท่านผู้อ่านหลังจากความเดิมตอนที่แล้วที่ได้เกริ่นไว้ว่าเราจะลองมาเล่นสกีกันตั้งแต่ที่เมืองอันซี  ไหนๆก็ไหนๆแววมาเราเดินทางมาใกล้เทือกเขาแอลป์แล้วจะไม่ลองเล่นดู  ก็ถือว่าไม่คุ้มเสียชาติเกิดนั่นเอง เป็นอันว่าสมาชิกทั้งหมดมีมติเป้นเอกฉันท์ว่าเราจะทำการเล่นสกีที่เมืองลาคูซา ถึงแม้ในใจชะนีแคระจะกลัวมิใช่น้อยเพราะเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ครั้งนี้แหละจะเป็นครั้งแรกจริงๆนะที่จะได้ลองเล่นสกีดูว่ามันจะเท่ห์เหมือนในหนัง จะสนุกขนาดไหน ไปติดตามกันเลยคะ

*********************************************************************************
เมืองลาคูซ่า (La Clusaz) เป็นเมืองเล็กน่ารักและอยู่ไม่ห่างไกลจากอันซี (Annecy) มากนักหากขับรถก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆก็ถึง และที่เมืองลาคูซ่าก็เคยเป็นเมืองหนึ่งที่จัดกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวของประเทศฝรั่งเศสมาแล้ว และเนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงามโดยเฉพาะยามฤดูหนาว ลาคูซ่าจึงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่นิยมของชาวยุโรป อเมริกันที่มาท่องเที่ยวและเล่นสกีกัน


  เราตื่นเช้าตรู่และเริ่มออกเดินทางจากเมืองอันซี มุ่งสุ่เมืองลาคูซ่า ( La Clusaz ) กัน โดยเราซื้อตั๋วรถประจำทาง ซึ่งก็คล้ายรถทัวร์แบบบ้านเรา พวกเราซื้อตั๋วแบบไป - กลับซึ่งราคาก็ไม่แพงมากนัก และสามารถเลือกเวลาไปและกลับได้ตามสะดวก  ราคาน่าจะประมาณคนละยี่สิบกว่ายูโรได้ (ข้าเจ้าลืมราคา) ตารางรถจะมีเที่ยวรถไปกลับอันซี - ลาคูซ่า และลาคูซ่า- อันซีทุกชม. โดยข้าเจ้าตี่ตั๋วรอบ 9.00 น และกลับตามอัธยาศัย ซึ่งเราดูจากตารางรถเที่ยวสุดท้ายที่กลับเข้าเมืองอันซี ก็คือเวลา 17.00 น. หมายใจว่าหากเหนื่อยหรือไม่สนุกเราก็จะกลับกันก่อน แต่ยังไงก็จะไม่เกินรอบห้าโมงเย็นนั่นเอง มิเช่นนั้นถ้าหากตกรถเราคงต้องค้างที่ลาคูซ่านั่นเอง ซึ่งในระหว่างที่นั่งรถจากอันซี ไป ข้าเจ้าก็มองวิวทิวทัศน์รอบสองข้างทาง ทุกอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด ตลอดเส้นทางรถที่อ้อมผ่านรอบทะเลสาปอันซี ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างบรรยายไม่ถูก แต่มันเป็นภาพความประทับใจที่ข้าเจ้าไม่มีวันลืมได้ หลังจากเพลิดเพลินกับการดูวิวสองข้างทางในที่สุดเราก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงลาคูซ่ากันแววคะ




ภาพทิวทัศน์ตัวเมืองลาคูซ่า


 เรามาถึงที่ลาคูซ่าเกือบ 11 .00 น.ได้ และภาระกิจแรกก็คือหาเสบียงใส่ท้อง และภาระกิจที่สองที่เราต้องทำก็คือเตรียมไปหาร้านเช่าอุปกรณ์เล่นสกีกัน ซึ่งที่อันซีก็มีหลายร้านที่คอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เล่นสกี สโนว์บอร์ด รองเท้า มากมายครบครันและราคานี่สิมีแบบเช่าทั้งอาทิตย์ เป็นรายวัน และก็รายชั่วโมงก็มีขึ้นอยุ่กับสภาพกระเป๋าของนักท่องเที่ยวและระยะเวลาในการท่องเที่ยว ชะนี่แคระอย่างเราก็เช่าเป็นชั่วโมงแววกันดูจากหนังหน้าแวว  เล่นแค่สักชั่วโมงขาแข้งคงจะแย่เป็นแน่ หลังจากจัดแจงได้เช่าอุปกรณ์เล่นสกีพร้อม  มวลหมู่คณะก็ออกเดินทางไปซื้อตั๋ว นั่งกระเช้าขึ้นไปเล่นสกีตามจุดต่างๆ กันบนยอดเขา โดยคณะเน้นจุดที่เป็นจุดเส้นทางเล่นสกีสีเขียว เนื่องจากข้าเจ้าเล่นไม่เป็นอยู่คนเดียวเยย นอกนั้นเค้าก็เป็นกันทั้งนั้น แต่ทุกคนก็เสียสละที่จะยอมเล่นเป็นเพื่อนกับข้าเจ้านั่นเอง ซึ่งเส้นทางหรือจุดเล่นสกี จะถูกแบ่งเป็นสี โดยเริ่มจากสีเขียว สำหรับเด็ก และผู้เริ่มฝึกหัดสกีที่ยังไม่ชำนาญ ต่อมาก็เป้นสีฟ้า สีแดง และสีดำ ซึ่งความยากง่ายก็จะเพิ่มดีกรีขึ้นไปเรื่อยๆตามประสบการณ์ของผู้เล่น  เราก็ขึ้นกระเช้ามาจุดเริ่มหัดสกีของเด็กกัน

ในจุดนี้รอบตัวข้าเจ้าล้วนเต็มไปด้วยเด็กทั้งนั้น จะมีข้าเจ้ากับเพื่อนนี่หละคะ และครูฝึก พ่อแม่ของเหล่าเด็กๆนี่ละคะที่แก่สุด เล่าแววก็อายไป  ข้าเจ้าใช้เวลาอยุ่นานในการเรียนรู้เทคนิคเบื้องต้น และการหัดเดินด้วยสกีบนหิมะนี่มันไม่ง่าย ณ จุดนี้ข้าเจ้าล้มแววล้มอีก  ขณะที่มิสเตอร์ทีโบ้เพื่อนของข้าเจ้าก็พร่ำสอนจนปากจะฉีกถึงรูหูแต่หัวและร่างกายของข้าเจ้านี่หละคะที่ไม่เอาไหนเสียเลย อย่างว่าหละเนอะมาหัดเล่นสกีตอนแก่จะ 30 แววนี่มันช่างลำบากเสียจริง อย่างที่สุภาษิตโบราณท่านว่าไว้ ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ก็เป็นเช่นนั้น ข้าเจ้าล้มลุกคลุกคลานไม่ต่ำกว่า 100 รอบที่เดียว เจ็บก็เจ็บแต่มันก็สนุกดี ขนาดที่อากาศหนาวแต่ล้มบ่อยๆจนมันไม่หนาวแววคะท่านผู้อ่าน ล้มบ่อยจนลุกคล่องแคล่วแววละคะ  แม้จะรุ้สึกอายมากในขณะที่เราเล่นสกีไปด้วยสปีดที่ต่ำมาก แววมีเด็กอายุสัก 5 ขวบเล่นสกีแซงหน้าเราผ่านไปพร้อมกับหันมายิ้มเยอะ อีป้านี่มันมาจากไหนของโลกนี่  สุดบรรยายจริงๆอายได้โล่ หลังจากเราลองหัดเล่นจนเพลินมองดูนาฬิกาได้เวลาเกือบสี่โมงเย็น พลพรรคจึงต้องยุติการเล่นกะว่าเอาเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงที่เหลือไปคืนอุปกรณ์ และเดินเล่นรอบเมืองลาคูซ่า พร้อมกับหาอะไรร้อนๆดื่ม และเตรียมตัวกลับอันซีกัน


ชะนีแคระหัดเล่นสกี


บรรยากาศในตัวเมืองลาคูซ่า





จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขามลองบลังค์อยุ่เบื้องหลัง


หลังจากคืนอุปกรณ์เล่นสกีและจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยกระเป๋าก็เกือบแห้ง การเล่นสกีนี่ไม่มีตังค์นี่เล่นก็ลำบากเพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ นอกจากมีตังค์แววต้องโง่ด้วยนะคะ  (ล้อเล่น 555) แต่หากท่านผู้อ่านจะลองเพื่อเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตแบบข้าเจ้านั้นก็เป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดีถือว่าซื้อประสบการณ์แล้วกันคะ   หลังจากเราหากินไรง่ายๆ ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น เพราะตอนนี้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า - 14 องศา แล้วข้าเจ้าก็ได้เก็บภาพบรรยากาศตัวเมืองลาคูซ่าก่อนเดินทางกลับอันซีด้วยรถประจำทางเที่ยวสุดท้าย โดยทิ้งภาพความงามและ พระอาทิตย์กำลังอัสดงของเมืองลาคูซ่าไว้เบิ้องหลัง และคณะต้องเดินทางกลับสู่อันซีต่อไป โดยข้าเจ้าคิดว่าคืนนี้รวมถึงวันพรุ่งนี้ร่างกายของข้าเจ้าต้องปวดกระดูก เคล็ดขัดยอกแน่นอนโทษฐานที่ไม่เจียมสังขารนั่นเอง  และก็ก่อนจะลาจากกันไปข้าเจ้าก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้อ่าน และแฟนคลับทุกท่านที่ช่วยกันติดตาม และพบกันใหม่ในตอนหน้า ข้าเจ้าจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวเมืองเจนีวา( Geneva ) ประเทศสวิสเซอแลนด์ ดินแดนแห่งขุนเขา  ทะเลสาป  ชมน้ำพุที่สูงที่สุดในโลก และแวะชมพิพิธภัณท์นาฬิกาชื่อดังปาเต๊ก ฟิลิปปส์( PATEX PHILIPPE )สำหรับวันนี้ลาไปก่อนคะ


วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

Annecy เวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์ ตอนที่ 2

หลังจากคืนแรกที่ Annecy ได้ผ่านพ้นไป ซึ่งเป้นค่ำคืนแห่งความหนาวเย็น อุณหภูมิขณะนั้นไม่ต่ำกว่า - 14 องศาเซลเซียล (แม่เจ้าหนาวมาก) กว่าที่ชะนีแคระน้อยจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบเช้าของวันรุ่งขึ้น อาจจะเพราะด้วยความแปลกที่แปลกทาง และความหนาวเย็นเนี่ยที่ทำให้ข้าเจ้าหลับไม่ลง ถึงแม้จะนอนน้อย แต่มันก็ไม่เป้นอุปสรรคต่อการผจญภัย และท่องเที่ยวของข้าเจ้าแม้แต่น้อย  หลังจากทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่เวจินีเตรียมให้อันได้แก่ ช็อกโกแลตร้อน ขนมปัง ครัวซอง พวกเราก็เตรียมออกเดินทางกัน โดยโปรแกรมของวันนี้เราจะต้องเดินขึ้นเขาท่ามกลางหิมะ เพื่อไปดูจุดชมวิวบนภูเขาที่สามารถมองเห็นทะเลสาบอันซี และจุดที่สองเราจะขึ้นเขาไปดุจุุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขามองค์บลัง (Mont blanc)ยอดเขาที่สุูงที่สุดในฝรั่งเศสกัน และจุดที่สองนี้เราจะไปทำการเดินเล่นบนหิมะ และดูเค้าเล่นสกีกัน เอาละคะถ้าพี่น้องผองเพื่อนพร้อมแววเราจะออกเดินทางไปกับคณะทัวร์ไอย่า ติงนังตังนิงกันเยยคะ

***********************************************************************************************
ในวันนี้เราได้รับการอนุเคราะห์จากมาโคร ในการเป็นสารถีขับรถให้ แกช่างเป้นคนหล่อและมีน้ำใจเสียจริง ในขณะก่อนจะออกเดินทางหลังจากข้าเจ้าเหลือบไปเห็นขวดน้ำเปล่าที่ลืมทิ้งไว้ในรถเมื่อเย็นวาน โอ้แม่เจ้าขวดน้ำนั้นได้กลายเป้นน้ำแข็งเรียบร้อยแววครับ มันช่างหนาวจริงๆ ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าพวกโฮมเลตที่ต้องนอนข้างถนน เค้าจะนอนได้อย่างไร คงไม่ต้องแข็งตายเหรอนี่ 

ในการขับรถขึ้นภูเขาที่นี่นั้นต้องอาศัยคนท้องถิ่นที่ชำนาญในการขับรถ เนื่องจากท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายไม่ขาดสายทำให้ค่อนข้างเป้นอุปสรรคในการขับรถไม่น้อย เพราะถนนค่อนข้างลื่นประกอบกับภูมิประเทศที่ค่อนข้างเป้นภูเขาสูงชัน ระหว่างที่พี่มาโครขับไปก็เล่าไปถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป้นรถตกเขาบ้าง รถชนกันบ้างอะไรประมาณนี้(คิดในใจเมิงจะเล่าให้ตรูกลัวทำไมวะ 555) หลังจากขับรถขึ้นภูไปเรื่อยๆด้วยเส้นทางที่วกวน มันทำให้ข้าเจ้ารู้สึกเวียนหัวเป้นอย่างยิ่งในใจก็คิดแต่ว่าโฮรุ้งี้ตรูเอายาดมโป๊ยเซียนมาจากเมืองไทยก็ดี อยากกินมะดันดองบ้าง อะไรบ้าง เมื่อไหร่จะถึงซะที แต่ในระหว่างทางก็เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยจริงๆ สวยงามราวกับภาพวาดยังไงยังงั้นเลยท่านผู้อ่าน เอาวะอดทนอยากจะเห็นของสวยงามก็เยยต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกอดทนต่อไป ในระหว่างนั้นข้าเจ้าก็เหลือบมองหน้าปัดรถยนต์บอกอุณหภูมิขณะนี้ - 14 องศา ขับขึ้นไปเรื่อยๆ อุณหูมิก็ยิ่งลดลง กว่าจะถึงยอดเขาที่เป้นจุดพักชมวิวก็ปาเข้าไป - 18 องศาพอดี  เอาหละในที่สุดเราถึงจุดชมวิวที่หนึ่งกันแววคะ พอเปิดประตูรถเท่านั้นเวจินี มาโคร ต้องตกใจปนขบขัน เมื่อเห้นชะนีแคระ ลงไปทำท่าทางกระโดดโลดเต้น ลงไปในดำผุดดำว่ายในกองหิมะ  แหมก็เกิดมาเพิ่งจะเห้นหิมะนี่คะ ในชีวิตนอกจากที่ดรีมเวิลด์แววก็ นี่ละครั้งแรกที่ได้มีโอกาสได้สัมผัสปุยหิมะ บ้านนอกเนอะ 555 มีความลับที่ไม่ได้บอกมาโครและเวจินี่ว่าในใจ อยากจะเอาน้ำหวานเฮลบลูบอลมาด้วย มาราดบนหิมะแววกินดูว่ามันเหมือนน้ำแข็งใสบ้านเราไหม โฮ โคตรลาวได้อีก 555
ที่นี่เป้นแค่จุดจอดรถเท่านั้น คณะพลพรรคต้องเดินขึ้นเขาไปอีกสัก 1 -2 กิโลเมตรเผื่อจะขึ้นไปดูจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นด้านบนของทะเลสาป เอาวะไหนก็หลวมตัวขึ้นมาแววเต็มที่สุดๆไปเลยพี่ 


จุดชมวิวบนยอดเขาที่สามารถมองเห้นทะเลสาบอันซี





ชะนีแคระทำผุดดำว่ายในกองหิมะ



 หลังจากที่ได้เห้นจุดชมวิวด้านบนทะเลสาปแววก็ทำให้ข้าเจ้ารุ้สึกหายเหนื่อยเป้นปลิดทิ้งเยย สวยจริงๆคุ้มค่ากับการลงทุนเดินเกือบชม. หลังหยุดพักถ่ายรูป และพักพอให้หายเหนื่อยแวว เราก็เตรียมตัวเดินทางกลับไปดูจุดชมวิวที่ 2 กันต่อเยยครับ ในใจคิดเอาอีกแววเหรอฉันต้องวิงเวียนอีกแววเหรอนี่ ซึงจุดที่สองนั้นจะเป้นจุดยอดเขาอีกลูกหนึ่งที่สูงกว่าจุดชมวิวด้านบนทะเลสาป แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดชุมวิวจุดแรกมากนั้น คือขับรถไปอีกประมาณสักชม. ได้เราก็มาถึงจุดชมวิวยอดเขามองบลังค์กันแววจ้าพี่น้อง ที่นี่อยากบอกว่าสวยโคตร เหมือนกับอีกโลกหนึ่งเยย นึกว่าอิฉันมาอยุ่ในดินแดนไซบีเรียก็ไม่ปาน เมื่อมาถึงที่นี่กิจกรรมยอดฮิตของชาวฝรั่งเศสก็คือ เดินเขาผจญภัย กะเล่นสกี เนื่องจากวันนี้เราตั้งใจมาเดินเขามากกว่าเล่นสกี จึงไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มา ประกอบกับวันนี้เรามีเวลาน้อยเนื่องจากเสียเวลาไปกับจุดชมวิวด้านบนทะเลสาปแววจึง เอาเป้นว่าวันนี้เรามาเก็บภาพความประทับใจกับครั้งหนึ่งในชีวิตกันดีกว่าคะท่านผู้อ่าน













หลังจากเดินเขาท่ามกลางหิมะเพลิดเพลินไปกัภูมิประเทศอันสวยงาม เผลอแพลบเดียวเหลือบมองดูนาฬิกาบอกเวลา ทุ่มกว่าแววนี่  เราใช้เวลาไปตั้งเกือบ 3 ชม.อย่างว่าถ้าเรามีความสุขกับสิ่งใด เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ สัจธรรมแห่งชีวิต และตอนนี้อากาศก็เริ่มเย็นแวว อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า - 21 องศา เราจึงต้องจำใจเดินทางกลับสุ่ที่พัก  ปิดท้ายก่อนกลับสู่ที่พักเวจินี่และมาโครได้เชิญพลพรรคไปทานดินเนอร์อาหารแบบฉบับชาวฝรั่งเศสขนานแท้กัน โดยเฉพาะยามหน้าหนาวอย่างนี้เมนูที่เป็นยอดนิยมและ ห้ามพลาดเด็ดขาดกับเมนู ฟองดูชีสกัน  ใครมาต้องลองชิมกัน ซึ่งเมนูฟองดูชีสนี่ก็ เค้าจะเอาชีสผสมกับไวน์ขาว บางที่ก็จะผสมกับกระเทียมหรือหอมแดงแล้วแต่ท่านชอบ ถ้าชอบกลิ่นแรงๆกะชีสผสมกับกระเทียมนี่หละ มักจะกินคุ่กับขนมปังแบรกเกต ซึ่งในยามอากาศหนาวอย่างนี้สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้น และแน่นอนว่าอ้วนขึ้นไปอีกหลายกิโลที่เดียว





หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกันแวว ตาของข้าเจ้าก็เริ่มตาปรือได้ที่ซึ่งอาจจะเป้นเพราะความเหนื่อยอ่อนต่อกิจกรรมที่ต้องเดินเขาทั้งวัน คืนนี้ข้าเจ้าคงต้องนอนหลับอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างแน่นอน ก่อนจากกันในวันนี้ต้องขอขอบคุณคุ่รักเวจินีกะมาโครที่ทำให้สโลแกนด์ของชะนีแคระ อิ่มจังตังอยู่ครบได้เป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง 555  และขอขอบคุณแฟนคลับทุกท่านที่อุตส่าห์ติดตามผลงานของข้าเจ้า สำหรับวันนี้ชะนีแคระลาไปก่อนค้า ติดตามผลงานในตอนต่อไปที่ชื่อตอนว่า เล่นสกีครั้งแรกกับชะนีแคระที่ ลาคูชา( LA Cluza ) ค้า






วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

Annecy เวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์ ตอนที่ 1

Annecy เวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์ ตอนที่ 1 ชมตัวเมือง และทะเลสาป Anney

"กลับมายืนที่เดิม ที่ที่เราคุ้นเคย" 555  อิฉันกลับมาแววคะกลับมาตามคำเรียกร้องของมิตรรักแฟนเพลงหลายท่านที่ออกแนวก่นด่ากันว่าดิฉันหายไปไหน ดิฉันกลับมาแล้วคะ กลับมาพร้อมกับการเดินทางครั้งใหม่ล่าสุดในตอนที่ชื่อว่า Annecy เวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาเพราะต้องแลกด้วยความเหนื่อยและความท้าทายสุดยอดของดิฉัน เอะมันจะท้าทาย มันจะเหนื่อยขนาดไหน ท่านผู้อ่านทุกท่านเตรียมตัวกันหรือยังถ้าพร้อมแวว เราออกเดินทางพร้อมกันไปกับชะนีแคระหัวใจอินเตอร์เยยคะ

*********************************************************************************

 Annecy  อันซี เป็นเมืองเอกของเขตซาวัวตอนบน (Haute Savoie) ได้รับเกียรติให้มีฉายาว่า ห้องรับแขกของโรน-แอลป์ ในแถบเทือกเขาสูงของ French Alps เพราะมีเขตแดนติดกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินทางผ่านเส้นทางนี้จะต้องผ่านเมืองอันซีด้วยกันทั้งสิ้น บ้างก็ว่าเป็นน้องๆเวนิส ด้วยสาเหตุที่ว่าสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างตัวอาคารบ้านเรือนที่สวยงาม และมีการขุดคูคลองหลายสายผ่านกลางเมืองเหมือนเวนิส ซึ่งนี่หละที่เป็นที่มาของชื่อ Annecy เวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์  ส่วนฤดูท่องเที่ยวนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน เรื่อยไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง  หรือแม้กระทั้งฤดูหนาว เหมือนตอนที่ดิฉันกำลังเดินทางมาเที่ยวนี่ก็สวยงามมีมนต์เสน่ห์ไปอีกแบบ  อันซีเมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งนี้จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มีทั้งคนในยุโรปด้วยกันหรือมาจากทวีปอื่น รวมถึงชาวฝรั่งเศสเองก็นิยมมาท่องเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะคู่แต่งงานหนุ่มสาวชอบมาฮันนีมูนที่เมืองนี้กันคะ อิอิ

การเดินทางครั้งนี้ก็แสนจะง่ายและสะดวกสบายเราเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรุ่ด้วยตีตั๋วรถไฟทีจีวีจากปารีส - อันซี ราคาไปกลับต่อคน ร้อยกว่ายุโร  และแค่ 2 ชม. กว่าๆก็ถึงจุดหมายปลายทางก็คือสถานีรถไฟเมืองอันซีนี่เอง ในการเดินทางครั้งนี้เราได้รับการอนุเคราะห์จากเพื่อนสาวแสนสวย เวจินีและพร้อมกับแฟนหนุ่ม มาโค ได้ให้ที่พักฟรีพร้อมอาหารกับเราตลอดทั้งทริป แถมยังไม่พอพี่แกยังอุทิศตนเป็นไกค์พาเราเที่ยวชมเมืองกันด้วยคะ และแน่คะเวจินีมารับดิฉันที่ชานชาลารถไฟ แต่เธอต้องตกใจทีเดียวกับกระเป๋าเดินทางของดิฉันที่มันแสนจะใหญ่โตกว่าตัวดิฉันมากเนื่องจากช่วงที่ดิฉันมาเป็นช่วงถูดหนาว อากาศหนาวมากกลางวัน -8  องศากลางคืน มีถึง -20 องศากันทีเดียว ทำให้ดิฉันกลัวหนาวตายมากกว่ากลัวการลากกระเป๋า หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อยเราก็สะพายกล้องคุ่ใจออกเดินทางเที่ยวตัวเมืองกันเยยคะ

วิวตัวเมืองอาคารบ้านเรือน

ลำคลองสายหลักผ่านกลางเมืองและจะไหลลงสุ่ทะเลสาปอันซี

ร้านอาหารต่างๆมากมายริมสองฝั่งคลอง


 
และไฮไลน์ของเมืองอันซีก็คือ Palais de L’Isle  เดิมทีอาคารนี้เป็นของตระกูลเดล ลิส์ล สร้างในศตวรรษที่ 12  แต่อีก 200 ปีต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นศาล และคุก แล้วเปลี่ยนมาเป็นโรงกษาปณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการของรัฐในศตวรรษที่ 15 แล้วกลับมาเป็นคุกใหม่อีกครั้งในช่วงการปฏิวัตฝรั่งเศส  จนถึงปี ค.ศ. 1986 ทางการฝรั่งเศสได้เข้าบูรณะครั้งใหญ่แล้วใช้เป็นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองอันซี และซาวัว ด้วยความโดดเด่นในประวัติศาสตร์ และรูปทรงทางสถาปัตยกรรม Palais de L’Isle ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของชาวเมืองไป


Palais de L’Isle

รูปทรงเหมือนป้อมโบราณแล้ว ยังตั้งอยู่กลางลำคลองที่มีน้ำไหลผ่านทั้งสองด้าน



เดินมาได้หน่อยเราก็จะได้เจอกับทะเลสาปอันขึ้นชื่อของเมืองอันซี Larc d'Annecy ทะเลสาบของเมืองอันซีนี้ชาวเมืองเขาภูมิใจของเขานักหนา ถึงขนาดคุยว่าน้ำในทะเลสาปสะอาดจนกวักขึ้นมาดื่มได้เลย เท็จจริงประการใดไม่รู้ได้ รุ้แค่ว่่าถ้าตอนนี้กวักน้ำในทะเลสาปมากินฉันคงแข็งตายเป็นแน่ๆ 555  แต่คำคุยโวนี้ถูกฝังอยู่ในหัวของชาวบ้านชาวช่องทุกคน เพราะถามใครเขาก็บอกอย่างนี้ ก็น่าจะเชื่อเขาล่ะคะ  ทะเลสาปอันซีนี่ถือเป็นทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของฝรั่งเศส นอกจากขนาดความใหญ่แวว ความสวยงามก็ไม่เป็นที่รองใคร อยากบอกว่าสวยจริงๆคะ แม้ภาพทีดิฉันเก็บมาฝาก อาจจะไม่เท่ากับความงามที่อยุในความทรงจำของดิฉัน และขอบอกโรแมนติกสมคำล่ำลือจริงๆคะ


ภาพวิวริมทะเลสาปอันซี


แอบทำสวีทนิดนึง






บริเวณรอบทะเลสาปก็จะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งตามปกติแววถ้าเป็นหน้าร้อน หรือฤดูใบไม้ผลิจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็มาปิกนิคกัน ออกกำลังกาย แต่สำหรับตอนนี้นั้นเห็นจะไม่ไหวนะคะอากาศแสนจะหนาวจับใจ แถมลมก็แรงๆ และหิมะก็โปรยปรายอยุ่ไม่ขาดสาย มีหวังดิฉันได้แข็งตายเป็นแน่แท้คะท่านผู้อ่านแต่ด้วยความอดทนกัดฟันสุ้ดิฉันจะทนถ่ายรูปสวยชะนีน้อยสู้ขาดใจเก็บภาพบรรยากาศสวยๆรอบริมทะเลสาป และที่รอบสวนสาธารณะมาฝากท่านผู้อ่านกันคะ และขณะกำลังเดินเพลินก็เห็นสะพานแห่งความรัก Pont des amour ที่เค้าว่ากันว่าคู่รักจะต้องมาถ่ายรูปกันที่สะพานแห่งนี้ และก็มีคุ่รักมากมายยืนต่อคิวเพื่อที่จะถ่ายรูปคุ่กันที่นี่ ดิฉันก็จัดไปยืนต่อคิวรอในขณะที่อากาศตอนนั้นเริ่มลดลงกว่า - 10 องศาอดทนชักภาพมาอวดท่านผู้อ่านกันนะคะ แต่อยากบอกว่าคุ้มคะภาพที่ออกมาดูโรแมนติกมากสุดๆคะ























หลังจากเดินเล่นอยุนานกว่าสาม สี่ชม. ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ตอนนี้มือของดิฉันชาไปหมดแววคะท่านผู้ชม ชาขนาดกดชัตเตอร์ไม่ลงทีเดียว ประกอบกับเวจินีต้องรีบกลับไปเตรียมทำอาหารเย็นสำหรับต้อนรับอาคันตุกะตัวจิ๋ว และให้อาหารน้องเหมียวสไกเลต เราเยยต้องรีบกลับบ้านคะ จะว่าไปตอนนี้ดิฉันก็เริ่มจะหิวแววละคะ ไว้พรุ่งนี้เรามาติดตามตอนต่อไปกันนะคะ วันนี้ขอลาไปก่อนค้า



 

 

 



วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตะลอนทัวร์ Normandie episode 4 Etretat


สวัสดีท่านผุ้อ่านกันอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนานเนื่องจากข้าเจ้าติดภาระกิจฟิชโช่อีกแล้ว ก็คือข้าเจ้าติดสอบนะเอง วันนี้หลังปิดเทอมแล้วข้าเจ้าก็มีเวลาลุกขึ้นมาเขียนบันทึกการเดินทางกันอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้คงจะเป็นตอนสุดท้ายของการเดินทางมาเที่ยวในมลรัฐนอมังดี ซึ่งหลายคนบ่นว่ายังไม่จบอีกเหรอ จบแววจ้าตอนนี้หละจ้า เพื่อไม่เสียเวลาเราไปเที่ยวเมืองเอตโทรต้า Etretat กันเลย

*********************************************************************************
เมืองเอตโทรต้า  Etretat เป็นเมืองที่ทะเลถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชันที่สวยงามตามธรรมชาติราวภาพวาด จึงไม่แปลกใจเลยที่เอตโตรต้าเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่่าจิตรกรที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป้น Claude Monet ,Gustave Courbetซึ่งเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียงในช่วงคริสตวรรษที่ 17  ต่างก็มาสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะที้มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ นอกจากจะเป็นเมืองที่มีความงามเกี่ยวกับธรรมชาติแล้ว เอตโทรต้ายังมีซากของสงครามโลกครั้งที่สองให้ได้เห็น  เนื่องจากเอตโทรต้าเป็นจุดยุทธศาสตร์เป็นฐานทัพนาซี ที่คอยป้องกันการโจมตีจากฝ่่่ายสัมพันธมิตรทั้งทางน้ำ และทางอากาศ ณ จุดนี้เราสามารถมองเห็นเกาะบริเตรน (อังกฤษ)อยู่ลิบๆ หลังจากที่รุ้ข้อมูลคราวๆเราก็เริ่มการเดินทางไปกับชะนีแคระหัวใจอินเตอร์กันเลยค้า
   
วันนี้เราเริ่มต้นการเดินทางด้วยบรรยากาศเป็นใจ ท้องฟ้าเปิด เรามาถึงเอตโทรต้าไม่สาย เราก็เลยมีเวลาเดินดูข้าวของที่ระลึกในตัวเมืองกัน และก็แวะซื้อเสบียงเล็กน้อยก่อนเดินขึ้นหน้าผาชมความงาม สิ่งหนึ่งจะถือว่าเป็นกิจวัตรประจำของข้าเจ้าเลยก็ว่าได้ เวลาเดินทางไปเมืองไหนก็แล้วแต่ ข้าเจ้าจะต้องทำการซื้อโปสการ์ด แล้วก็เขียนข้อความส่งกลับไปหาตัวเองที่บ้าน พ่อแม่ และเพื่อนทุกครั้ง ดังนั้นข้าเจ้าจึงใช้เวลานานนับครึ่งชม.  ในเการเลือกโปสการ์ด  และที่เมื่องนี้ก็จะมีร้านรวงขายของที่ระลึก ร้านอาหารต่างๆมากมายเพราะที่นี่นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ หลังจากที่แวะกินอาหารรองท้อง ซื้อเครื่องดี่ม โปสการ์ดเสร็จเรียบร้อยเราก้เตรียมตัวเดินขึ้นหน้าผากัน


ภาพวิวตัวเมืองเอตโทรต้าจากมุมสูง

กำลังเป็นนางเอกมิวสิค

จุดชมวิว



หน้าผา


 คุณผุ้อ่านอยากบอกว่าในการเดินขึ้นเขามาเพื่อที่จะมาชมความงามของเอตโทรต้าทำเอาข้าเจ้าหอบแฮก เหนื่อยมากขอบอก เพราะความที่เราเดินขึ้นเขามาเนี่ย ข้าเจ้ามีอาการวิ้งหูตลอด ยิ่งสูงยิ่งวิ้งมาก แต่หลังจากที่ข้าเจ้าบ่นโอดโอยตลอดทาง พอขึ้นมาเห็นวิวด้านบนของหน้าผาแววนี่ ขอบอกไอ้ความเหนื่อยที่เดินขึ้นมาเมื่อกี้ มลายหายไปหมด คุ้มจริงๆกับการเดินขึ้นมาหลายกิโล มันเหมือนว่าเราอยุ่บนสรวรรค์ อาจจะดุเว่อ แต่จริงวันที่เราเห็นท้องฟ้าที่ฟ้าสวยตัดกับผืนน้ำทะเลสีคราม แล้วหน้าผาสูงชันที่ตั้งตระหงานทอดตัวลงไปในท้องทะเล มันเหมือกับภาพวาดที่จิตกรเอกของโลกมาสร้างสรรค์ไว้ เพี่ยงแต่ว่ามันเป็นภาพวาดที่มีชีวิตนั่นเอง ข้าเจ้าเห้นแววทำให้ข้าเจ้ากับคิดว่านี่หละความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แล้วเราเป้นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆไฉนเลยจะกล้าต่อกรกับธรรมชาติอันแสนยิ่งใหญ่ได้ หลังจากที่เรามาถึงยอดผาข้าเจ้าก็ทำการกดชัตเตอร์ เก็บภาพถ่่าย และก็ทำตัวเองเป็นนางแบบ ซึ่งได้ข่าววว่่าก่อนหน้านี้แทบจะหมดแรง แต่พอได้เห็นกล้องดิฉันจะกระโดดเอ็กท่าทันที่ ข้าเจ้าไม่เคยเหนื่อยกับการถ่่ายรูป 555 พี่ฝรั่งเศสก็จะงงเล็กน้อย พร้อมกับหัวเราะในการบ้าถ่ายรุปของชะนีแคระ แต่ข้าเจ้าก็หาได้อายไม่  หลังจากที่เราเก็บภาพวิวบนหน้าผา นั่งพักชมวิวพอให้หายเหนื่อย เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาเราก็หยิบโปสการ์ดขึ้นมาเขียนด้วย พอหายเหนื่อย เราก็เดินเล่นบนหน้าผากันต่อสำรวจพื้นที่ไปด้วย บนหน้าผ้า เราก็จะเห็นซากบังเกอร์ของทหารเยอรมันซึ่งซ่อนอยุ่ตามจุดต่างๆ และก็ตอนนี้เนื่องจากเป็นช่วงน้ำทะเลลงข้าเจ้าจึงทำการเสี่ยงตายเดินลัดเลาะหน้าผาไต่บันไดลงไปด้านล่างหาดเพื่อเก็บภาพมาให้ท่านผุ้อ่่านได้ชมกัน สำหรับข้าเจ้าแอบเสียวเล็กน้อยตอนปีนลงบันได แต่ก็เพราะความอยากเก็บภาพริงไซค์ ทำให้เข้าเจ้าตะเกียกตะกายปีนลงมาจนได้ ถ่ายรูปสักพักใหญ่ เพื่อนหันมาบอกไปกลับขึ้นข้างบนได้แหละ โฮ ลงก็ว่าแย่นี่ต้องปีนกลับขึ้นไปอีก แล้วตรูจะลงมาทำไมเนี่ยครับพี่น้อง




ภาพวิวสวยยามเย็น

ภาพถ่ายด้านล่างที่ข้าเจ้าปีนบันไดลิงลงมาถ่่าย


 หลังจากที่เราเดินเล่นอยุ่นานบนหน้าผาจนพระอาทิตย์ใกล้จะตก ทำให้เรารุ้ว่าเราใช้เวลากับที่นี่นานมาก อย่างว่าความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับบ้าน กลับมาเผชิญความจริงของชีวิตกันอีกครั้งสำหรับความคิดของข้าเจ้าประทับใจหลายๆสิ่งในทริปเที่ยวนอมังดีครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นความงามของธรรมชาติ ความอบอุ่นและมิตรไมตรีของชาวฝรั่งเศสที่เราจะหาได้ยากในเมืองใหญ่อย่างปารีส พร้อมกับวัฒนธรรมของท้องถิ้นและก็อาหาร นอมังดีจึงเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวอีกทางเลือกหนึ่งของนักทอ่งเที่ยวสำหรับวันหยุดยาว ข้าเจ้าหวังว่่าบันทึกการเดินทางครั้งนี้คงจะเป็นแรงบันดาลใจ ประโยชน์และแหล่งข้อมูลสำหรับพี่ๆ เพื่อนๆมิตรรักแฟนเพลงทุกคนนะคะ สำหรับวันนี้ข้าเจ้าขอลาไปก่อน ขอบคุณสำหรับการติดตาม แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า  เมื่อชะนีแคระทำตัวไฮโซบุกไปเล่นสกี ทำตัวชิวชิวที่สวิตเซอร์แลน และ เยือนเมือง Annecy เวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์กันนะคะ



วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตะลอนทัวร์ Normandie episode 3 Honfleur

หลังจากที่ข้าเจ้าอยุ่ในภาวะเครียดอยุ่หลายวันกับการลุ้นผลสอบ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าแกเครียดเป็นด้วยเหรอ 555 ใช่ฮะข้าเจ้าเครียดๆ  ซึ่งเป็นเหตุให้ข้าเจ้าไม่ได้ทำอะไรเยยนอกจากกิน เที่ยวและนอน (มันมิใช่เครียดแววแต่มันคือคนเกียจคร้านนั่นเอง) และแล้ววันนี้ก็มาถึงเมื่อได้เห็นผลสอบของตัวเองแววก็อยากกรีดร้อง ว่าไหนที่สุดอาจารย์ก็เมตตตาหรือว่าแกคงอาจจะงงกับภาษาฝรั่งเศสเพี้ยนๆของข้าเจ้า คะแนนก็ออกมาดีเกินคาดจริงๆ  ว่าแล้วข้าเจ้าจึงลุกขึ้นมาดี้ด๊ามีแรงมาเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวขอตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่มีแฟนเพจได้ส่งข้อความว่ารอติดตามผลงานของข้าเจ้าอยู่ ( มีด้วยเหรอ แกจ้างมาหรือเปล่า)ทำให้ข้าเจ้าต้องลุกขึ้นมาจากปลัก และก็มาทำการเล่าเรื่องบันทึกการเดินทางกันต่อกับเมืองอองเฟลอกัน
      
  Honfleur เมืองอองเฟลอ อยุ่ไมไกลจากเมืองทรุฟวิว เราใช้เวลาเดินทางไม่นาน ถ้าขับรถนี้ก็จะประมาณ 40 นาทีก็ถึง ซึ่งเมืองอองเฟลอเป็นเมืองเล็กๆ น่ารักๆ มีกลิ่นอายวิถีชีวิตของชาวฝรั่งเศส เป็นเมืองสวยงามดูอบอุ่นชวนฝันว่างั้นจริงๆ และที่สำคัญเปฺ็นเมืองที่ถ้าใครได้เดินทางมานอมังดีแวว ต้องแวะอองเฟลอไม่มานี่ถือว่าไม่ถึงนอมังดี จะว่าไปอองเฟลอนีเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติ  และรวมถึงชาวฝรั่งเศสเองไม่น้อยที่จะต้องแวะมาเยี่ยมเยี่ยนกัน  วันนี้ข้าจ้าไม่ได้พาเที่ยวเฉยๆนะแต่วันนี้ข้าเจ้าจะพาท่านผู้อ่านได้เดินทางตามรอยละครดังกันประหนึ่งตามรอยซีรีย์ดังจากแดนเกาหู ไม่ใช่ เกาหลีกัน  วันนี้เราจะมาตามกลิ่นพี่ติ๊กเจษฏา กับกองละครแก้วตาพี่ (โฮ เก่ามากบ่งบอกอายุของคนเขียน 555) ถ้าใครที่ได้มีโอกาสเคยได้ดุละครเรื่องนี้ ก็จะมีหลายซีนหลายฉากที่เกี่ยวกับตัวเมือง วิวทิวทัศน์ ความสวยงามของอองเฟลอซึ่งการันตีได้ว่าสวยงามจริงๆ

บรรยากาศรอบตัวเมือง



ใจกลางเมืองอองเฟลอ



ก้าวแรกที่มาถึงเมืองนี้ก็ประมาณเกือบเที่ยงแวว ผุ้คนเยอะมากเพราะเป็นวันหยุดยาวของชาวฝรั่งเศส พี่ฝรั่งเศสก็จะจูงลูกเด็กเล็กแดงมาเที่ยวกัน แต่ข้าเจ้าก็พยายามที่จะเก็บบรรยากาศของตัวเมืองมาให้ได้ชม  ซึ่งไฮไล์สำคัญของที่นี่ก็คือตัวตึกบ้านร้านค้าต่างๆ นี่จะเป็นบ้านที่มีแค่ผนังติดกันซึ่งเป็นทีอเมซิ่งของชาวฝรั่งเศส ไม่ว่าใครไปใครมาต้องมาถ้ายรูปเก็บไว้ ถ้าพี่ฝรั่งเศสมาดูเทาเฮ้าส์บ้านเราก็จะบอกว่า โฮว อะเมซซิ่งไทยแลนด์ บ้านติดกันไม่มีรั้วมีแค่ผนังก้างกันระหว่างเราสอง มันช่างเป็นอะไรที่มหัศจรรย์จริงๆ555 อีกอย่างที่อองเฟลอ เมื่อร้อยกว่าปีก่อนประชากรส่วนใหญ่ก็จะมีอาชีพประมงเป็นหลัก ซึ่งเราจะเห็นเรือที่จอดตามท่าเรือมากมาย เค้าว่ากันว่าสมัยสงครามโลก ทหารเรือฝรั่งเศสส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านชาวอองเฟรอนี่ละค้า พูดง่ายๆว่าพอรบเสร็จแกก็ออกมาจับปลาต่อว่างั้นเถอะ  แต่หลังจากที่เมืองอองเฟลอถุกพัฒนากลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวก็จะมีร้านรวงต่างๆมากมาย และแต่ละร้านก็ตกแต่งน่ารักสไตล์นอมังดี  อีกอย่างที่สังเกตเห็นก็คือที่เมืองนี้จะมีร้านแกลอรี่ หรือเกี่ยวกับพวกศิลปะ ปฏิมากรรมเยอะมาก หลังจากที่เราได้มีโอกาสได้สอบถามกูรูเค้าอธิบายว่าเมื่อสมัยก่อนนี้ อองเฟลอเป็นเมืองที่สวยงาม เหล่าจิตกรที่มีชื่อเสียงมากมายได้เดินทางมาวาดภาพวาดเกี่ยวกับความงามของวิธีชีวิต ธรรมชาติ และชุมนุมพบปะกันที่นี่ดังนั้นเราจึงได้เห็นแกลเลอรี่มากมายที่อองเฟลอกัน 

ภายในร้านขายไวน์

ถังไวน์แอ็ปเปิล

บรรยากาศยามตะวันลับฟ้า

หลังจากที่เดินเที่ยวอยุ่ในอองเฟลอหลายชั่วโมงก็ถึงเวลาการชอปปิ้งของฝากก่อนกลับ สินค้าโอท๊อปที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวอองเฟลอก็คือไวน์ แต่ไวน์ที่มีชื่อเสียงของอองเฟลอก็คือไวน์แอปเปิลซึ่งจะแปลกกว่าที่อื่น สาเหตุก็คือนอมังดีเป็นแหล่งปลุกแอ๊ปเปิ้ลที่ใหญ่ทีสุดของฝรั่งเศสนะ ช่วงที่ขับรถผ่านมาระหว่างทรูฟวิวก่อนจะถึงอองเฟรอเราจะเห็นไร่แอ๊ปเปิลมากมาย เค้าปลุกกันเป็นไร่ๆ  ดังนั้นไวน์แอ๊ปเปิล หรือน้ำแอ็ปเปิล รวมถึงผลิตภัณท์แปรรุปอื่นๆที่เกี่ยวกับแอ๊ปเปิลก็จะค่อนข้างมีรสชาติดีและมีคุณภาพ ดังนั้นเราจึงตรงเข้าร้านไวน์ ซัดไวน์แอ๊ปเปิลไป 3 ขวดเป็นของฝากกลับบ้านกัน ซึ่งราคาก็ไม่แพงตกขวดละ 10 กว่ายูโรเอง แต่ก่อนที่จะออกจากร้านข้าเจ้าชิมไวน์ไปหลายแก้ว จนเริ่มมึนๆ เพราะข้าเจ้าไม่ใช่แค่ชิมแต่ข้าเจ้าเอาอิ่มคะ

 ขอบคุณนะคะสำหรับการติดตามพบกันต่อในตอนหน้าวันนี้ลาละค้า









วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ตะลอนทัวร์ Normandie episode 2 Deauville

สวัสดีคะคุณผู้อ่าน

หลังจากที่อีเม้ย เอ้ยไม่ใช่ข้าเจ้าได้พามิตรรักแฟนเพลงไปเที่ยว Trouville กันแวว ครั้นจะไม่แวะเยี่ยมเมืองดูฟวิว (Deauville) ก็ดูเหมือนจะเสียเที่ยวจริงๆ เพราะทั้ง 2 เมืองนี้เปรียบประหนึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน เพี่ยงแค่มีแม่น้ำ Touque อยุ่กลางกัน ในวันนี้เข้าเจ้าจึงเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่ สิบเอ็ดโมงตรงพอดีบพอดี (ได้ข่าวจะเที่ยงแวว เช้าตรงไหน) เราใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึงเมืองดูฟวิวแล้วแค่ก้าวข้ามสะพานเท่านั้นเอง



แม่น้ำทรุฟ (Touque)

เมืองดูฟวิวนั้นเป็นเมืองพักตากอากาศที่นิยมของเหล่าดารา ซุปเปอร์สตาร์ ไฮโซผุ้มีฐานะอันจะกินของชาวฝรั่งเศส เราจะเห็นได้จากตึกรามบ้านช่อง  โรงแรมระดับ 7 ดาว  ร้านรวงต่างๆ แบรนด์เนมมากมายที่นี่ ซึ่งราคาข้าวของที่นี่แพงอย่างไม่น่าเชื่อจริง เผลอๆ อาจจะแพงกว่าถนนชองเอลิเซ่ด้วยซ้ำไป รวมทั้งที่นี่ยังมีคาสิโนสำหรับเหล่าคนรวยมาใช้เงินอันเหลือกินเหลือใช้อีก ที่เค้าว่ายุโรปมีปัญหาวิกฤติทางเศรษกิจแต่สิ่งที่ข้าเจ้าเห็นผุ้คนมากมายทีใช้จ่ายเงินกันอย่างฟุ่มเฟือย อย่างว่าความเท่าเทียมกันมันไม่มีในโลกนี้ ไอ้ที่รวยก็รวยจนใช้ไม่หมด แต่ที่ยากจนไม่มีอะไรจะกินก็ค่อนโลก เฮ้อทำให้ข้าเจ้ารุ้สึกปลงขึ้นมาทันใด เอาเรามาต่อกันดีกว่่าเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ ข้าเจ้าก็แวะมาสถานที่ยอดฮิตที่ใครมาดูฟวิวต้องแวะมาเยี่ยมชมก็คือโรงแรมนอมังดี  (Normandie Hotel) ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของดุฟวิวกันที่เดียว  เพราะความสวยงาม มีเอกลักษณ์สไตล์นอมังดีแท้ และความโก้หรุ ถึงขนาดชาวฝรั่งเศสหลายคนใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งในชีวิตขอให้ได้มาพักที่โรงแรมนอมังดีสักคืน ทำไมนะเหรอ ก็โรงแรมนอมังดีเป็นโรงแรม 7 ดาวที่สุดแสนจะแพงมากๆ ข้าเจ้าแอบไปสืบราคามาให้ เอาเป็นว่าห้องพักที่ถูกที่สุด อารมณ์ไก่กามากตกคืนละ 550 ยุโร แม่เจ้า (1 ยูโร ประมาณ 42 บาท)เราก็นอนที่เก่าต่อไป 555
โรงแรมนอมังดี

บรรยากาศภายในตัวอาคารโรงแรมนอมังดี


หลังจากข้าเจ้าชมรอบตัวเมือง และเดินช็อปปิ้งดูข้าวของทำตัวไฮโซ เป็นคนมีฐานะ (ยากจน)เสร็จเรียบร้อยเราก็ไปเดินเล่นยามเย็น เก็บบรรยากาศชายหาดของเมืองดูฟวิวมาให้ได้ชมกัน นอกจากเมืองดูวิฟจะเป็นทีนิยมของชาวฝรั่งเศสแล้ว ยังเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันอีกด้วย ดุได้จากตามชายหาดจะมีชื่อเหล่าดาราฮอลิวุ๊ดที่เคยมาเที่ยวที่นี่ ข้าเจ้าก็พยายามไปหาชื่อเหล่าดาราในดวงใจ  เอาวะถึงไม่ได้ถ่ายกับเจ้าตัว ป้ายชื่อก็ยังดี 555

บรรยากาศชายหาดยามเย็น

ป้ายชื่อดาราฮอลีวูด

คาสิโนเมืองดรูฟวิว
ดินเนอร์ชิวชิว

เมนูเด็ด

หอยแมลงภู่อบครีม

บรรยากาศหน้าคาสิโนเมืองดรูฟวิวตอนกลางคืน

แต่ก่อนจะลาจากกันในวันนี้ ข้าเจ้าขอตบท้ายด้วยการเข้าไปชมคาสิโนปิดท้ายสำหรับโปรแกรมในวันนี้สักหน่อย เดี่ยวเค้าว่าจะไม่ครบสูตร  ด้วยข้าเจ้าไม่ใช่นักเล่นแต่แค่อยากเข้าไปดูให้เห็นเป็นบุญตาว่าคาสิโนนี่มันเหมือนกะในหนังไหม  ข้าเจ้าตื่นเต้นหนักหนา พอได้เข้าไปก็อยากจะลองเล่นตุ้สลอตดุกะเค้าบ้าง เล่นไปเล่นมาเพลินค้า หมดตูดค้า สรุปคืนนี้กลับบ้านด้วยความเพลีย และกระเป๋่าฉีกไปตามระเบียบ


วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

ตะลอนทัวร์ Normandie Episode 1 Trouville

หลังจากได้ฤกษ์งามยามดีหาเวลาว่างได้เสียที ข้าเจ้าก็ได้มีโอกาสมานั่งขีดเขียนบันทึกการเดินทางแบกเป้สะหายหลังกันอีกครั้ง  คราวนี้มีตอนที่ชื่อว่า นอมังดีนี่นี้ใครครอง (เอ๊ยเกี่ยวกันไหมเนี่ย) เชิญติดตามได้กันนะฮะ

 ***********************************************************************************
หวัดดีพี่น้องและผองเพื่อน

 วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบกลางภาค หลังจากที่ข้าเจ้าอดตาหลับขับตานอนมาหลายเพลา ก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบาย บอกลาโปรเฟสเซอร์ ( Professeur)แบกกระเป๋าสะพายกล้องเดินทางไกลไปนอมังดีด้วยอารมณ์ลั่่นล้าพร้อมกับวันหยุดยาวของชาวฝรั่งเศส กรุไปหละ ผลสอบเป็นไงกลับมาค่อยว่ากัน 555  เรามาเริ่มการเดินทางกันเยย
      นอมังดี (Normandie) เป็นมลรัฐทางตอนเหนือของฝรั่งเศส อยู่ไม่ห่างจากกรุงปารีสมากนัก การเดินทางก็แสนง่ายสะดวกสบาย ถ้าขับรถก็ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.กว่าๆก็ถึงแวว อารมณ์ประมาณกรุงเทพ -พัทยา 555 (พอจะนึกภาพออกกันชิมิ) นอมังดีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมของชาวฝรั่งเศส และชาวต่างประเทศไม่น้อย  เนื่องจากเป็นเมืองชายท่าที่สวยงาม  มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น อาหารเลิศรส ไวน์อันแสนขึ้นชื่อ และมรดกสงครามโลกครั้งที่ 2  คุ้นๆ อารมณ์ประมาณคำขวัญจังหวัดยังไงยังงั้น  แหมพูดขนาดนี้ถ้าไม่ไปเยื่อนนี่ถือว่าตกเทรนด์ทีเดียว  นอกจากนอมังดีจะมีสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวที่แตกต่างไปจากมหานครปารีส เป็นสไตย์นอมังดีโดยแท้ที่ไม่เน้นความเป็นตึกสูงใหญ่ หรูหรา แต่มีสไตล์เฉพาะถิ่นจริงๆ  ทำให้บ้านเมืองนี้ดูแปลกตาสวยงามไปอีกแบบ  ทำไมนอมังดีถึงเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครังที่ 2  เคยได้ยินไหมกัยคำว่า  วันดีเดย์ (มิใช่วันมามากนะคะ) วันดีเดย์ ก็คือวันที่อเมริกาและกองทัพพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งนอมังดี และมีชัยเหนือเยอรมันนั่นเอง เราจึงเห็นซาก  และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มากมายที่นี่  และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยี่ยมนอมังดีมิขาดสายนั่นเอง  นอมังดีมีใช่เพียงแค่เป็นมลรัฐชายท่าธรรมดา แต่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและมนต์เสน่ห์ที่น่าค้นหาและคุณค่าที่คุ่ควร (เอะยังไง)เรามาเริ่มการเดินทางในวันแรกกะเมือง ทรูฟวิว (Trouville) กันดีกว่า
ภาพวิวรอบตัวเมือง



ขบวนพาเหรดของชาวเมือง


เมืองทรูฟวิว เป็นเมืองชายท่าเล็กๆ อยุ่ในมลรัฐนอมังดี เมืองนี้เป็นเมืองที่ยอดฮิตขึ้นชื่อในเรื่องของชายหาดแสนยาวเหยียด  และก็อาหารทะเลเลิศรส ราคาไม่แพงเป็นขวัญใจของนักท่องเที่ยวโดยแท้ ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนนะ ผุ้คนจะเยอะแยะ ขวักไข่วรถติดยาวเหยียดกันทีเดียว แต่ที่เราไปนี่เป็นหน้าหนาว (เอะแล้วหน้าหนาวแกจะมาทะเลเผื่อ  ใช่ แต่เราก็มิแคร์สื่อ หนาวแล้วทำไม 555 ) เผื่อไม่เสีียเวลาเราก็จะเดินชมเมืองถ่ายรุปเก็บบรรยากาศยามเช้าของเมืองทรุฟวิวมาให้ยลพร้อมกับชีวิตของชาวเมืองที่นี่ที่เน้นการประมง และธรุกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ พุดถึงชายหาดแววที่นี่เค้าไม่เหมือนบ้านเมืองเรานะที่มีโต๊ะเก้าอีตั้งตามหาด  ส้มตำ และก็ข้าวเหนียวไก่ย่าง 55 เวลาเดินตามชายหาดแววเราก็นึกถึงชายหาดบางแสนบ้านเราเนอะ ว่าแววก็เปรี้ยวปาก  และอาหารที่นี่ถ้ามานอมังดีแววนี่เยยต้องกินนี้หอยแมลงภู่อบ แถวบ้านที่ตลาดสำโรง หอยแมลงภู่โลละ 20 บาท แต่ที่นี่หม้อละพันกว่าบาท มีหอยแมลงภู่อยุ่นิดหน่อย เห็นแววก็อยากจะกินเปลือกเข้าไปด้วยซะทีเดียว  อีกมนูที่มาแววต้องลองก้คือเครปต้นตำรับ อารมณ์ประมาณว่ามาหนองมลต้องกินข้าวหลามประมาณนี้เลยครับพี่น้อง ว่าไปแววข้าเจ้าจัดหนักยัดไปหลายสิ่งอันที่เค้าว่าอร่อย และก็อร่อยสมกะราคาคุยจริงๆ


หอยแมลงภู่อบ
ขนมวัฟเฟิลราดช็อคโกแลต


ตลาดอาหารทะเล


สรุปว่าหลังจากวันนี้เราเดินเล่นชมหาด และตลาดยามเย็น พร้อมกับเก็บภาพบรรยากาศสวยๆมาฝากท่านผู้อ่านกันก็เย็นค่ำพอดี งั้้นวันนี้ขอลากับไปนอนพักเอาแรงกันก่อน พบกันใหม่ในตอนหน้าค้า


สำหรับวันนี้สวัสดีคะ