วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวเมืองวิชชี่ (Vichy)เมืองแห่งน้ำแร่ธรรมชาติของฝรั่งเศส

สวัสดีคะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน หลังจากตอนที่แล้วชะนีแคระได้พาทุกท่านไปเที่ยวที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์แล้ว วันนี้เราขอเปลี่ยนบรรยากาศพาทุกท่านไปเที่ยวทางภาคกลางของประเทศฝรั่งเศสกันบ้าง  สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านบทความตอนที่แล้วสามารถอ่านย้อนหลังในตอนที่ชื่อว่า เที่ยวอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam)เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2014/07/amsterdam.html

 เมืองวิชชี่ (Vichy) ตั้งอยู่ในแค้วน Auvergne ซึ่งตั้งอยุ่ตรงใจกลางประเทศฝรั่งเศส ถ้าพูดถึงวิชชี่นั้นก็คุ้นหูชาวไทยอยุ่ไม่น้อย  ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินรือรู้จักกับผลิตภัณธ์เวชสำอางค์แบรนด์ดังจากฝรั่งเศสนามว่า Vichy นั่นเอง  เวชสำอางค์แบรนด์วิชชี่นี้มีต้นกำเนิดมาจากการใช้น้ำแร่ธรรมชาติที่เมืองวิชชี่มาเป็นส่วนหนึ่งของส่วนผสมในผลิตภัณธ์   เมืองวิชชี่ (Vichy)เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของชาวยุโรปหรือชาวอเมริกันก็เนื่องจากที่นี่เป็นแหล่งต้นกำเนิดของบ่อน้ำแร่ธรรมชาติมากมายหลายบ่อ โด่งดังถึงขนาดผู้คนในอดีตยุคก่อนสงครามโลกพากันหลั่งไหลมารับการรักษาตัวด้วยการใช้น้ำแร่บริสุทธิ์บำบัดมากมายเนืองแน่นทุกๆปี  นอกจากวิชชี่จะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านบ่อน้ำแร่ธรรมชาติแล้ว เมืองวิชชี่ก็เป็นเมืองที่มีประวัติศาตร์ยาวนานและครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศฝรั่งเศสในช่วงสงครามครั้งที่ 2 ด้วยนะคะ นับว่าเมืองวิชชี่มีประวัติน่าสนใจที่เดียว หากท่านผู้อ่านพร้อมแล้วเราเริ่มออกเดินทางไปท่องเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์ที่เมืองวิชชี่พร้อมกับชะนีแคระกันเลยคะ





ส่วนการเดินทางมาเมืองวิชชี่ นั้นไม่ยากคะ ถ้าเราขับรถยนต์ส่วนตัวนั้นใช้ถนน auto route หรือทางไฮเวย์จากปารีสมาถึงวิชชี่ใช้เวลาประมาณ 4 ชม.กว่า หรือถ้าจะเดินทางใช้รถไฟ TGV ก็ไปขึ้นที่สถานนีขนส่ง Gare du Lyon ใช้เวลาประมาณแค่ 3 ชม. กว่าเอง แต่ทริปนี้เราใช้เวลามาเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็เที่ยวทั่วเมืองวิชชี่แล้วนะคะ เพราะที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ค่อนข้างสงบ โดยส่วนมากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นยุโรเปียน หรือเมริกันมากกว่าที่นิยมแวะมาเที่ยวกัน จะหาหัวดำๆอย่างชะนีแคระน้อยมากเลย

เมืองวิชชี่เคยรุ่งเรื่องมากในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส คล้ายๆว่าเมืองนี้จะเป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศของเหล่าขุนนาง ไฮโซเซเลป ที่นี่จึงมีสถาปัตยกรรมมากมายครบถ้วนตามสไตย์คนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นโรงละครโอเปร่า คาสิโน รวมถึงบ้านพักตากอากาศ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งวันนี้เราจะเดินชมเก็บภาพรอบเมืองมาให้ท่านผู้อ่านได้ชมกัน  โดยเฉพาะนี้เลยคะบ้านพักตากอากาศของพระเจ้านโปเลียนที่ 3  ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นบ้านพักตากอากาศของเหล่าเซเลปไปเรียบร้อยแล้วนะคะ

บ้านพักตากอากาศของพระเจ้านโปเลียนที่ 3

บ้านพักตากอากาศในวิชชี่




เราลองไปเที่ยวย่านจัตรุัสสวนกลางเมืองวิชชี่กันบ้างนะคะ เมื่อสมัยนโปลิเลียนที่ 3 ที่ตรงนี้จะเป็นแหล่งพบประสังสรรค์ของผู้คนในเมือง มีการแสดงละเล่นต่างๆมากมาย ปัจจุบันก็ตามรูปเลยนะคะ อาจจะเป็นยังค่อนข้างเช้าผู้คนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่



มีบริการรถพาชมเที่ยวรอบเมือง



จุดนี้เป็นจุดพบประสังสรรค์ของคนในเมือง





สถานที่ต่อไปที่เราจะพาท่านผู้อ่านไปรุ้จักกันนะคะ Aux source de Vichy des Célestin aux capucins ซึ่งมันก็คือสถานบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ โดยผู้ป่วยที่มารักษาที่นี่วิธี่การรักษาก็จะใช้ธรรมชาติบำบัดใช้วิธีการดื่มเฉพาะแค่น้ำแร่เท่านั้น ซึ่งสมัยก่อนเป็นที่นิยมมากขนาดมีผู้ป่วยจากทั่วยุโรปเดินทางมารับการรักษาอย่างเนื่องแน่นทีเดียว ซึ่งเค้ามีส่วนที่เปิดฟรีให้ประชาชนสามารถได้ลองมาดื่มน้ำแร่ และกรอกน้ำแร่กลับบ้านได้ด้วย เดี่ยวเราจะพาไปชมบ่อน้ำแร่ธรรมชาติกันนะคะ ถ้าใครมาวิชชี่ไม่ได้ลองมาดูบ่อน้ำแร่ หรือได้ลองชิมน้ำแร่กันแล้ว เค้าว่ามาไม่ถึงวิชชี่กันนะคะ



สถานบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ

บ่อน้ำแร่มากมากมายหลายบ่อให้เราสามารถทดลองดืมกันได้ฟรี

ตย.ชื่อบ่อน้ำแร่ ซึ่งจะมีมากมายหลายชื่อ 

บ่อน้ำแร่


ซึ่งหลังจากที่ชะนีแคระได้ลองชิมแวว แต่ละบ่อรสชาติของน้ำก็จะไม่เหมือนกันนะคะ ถามผู้รู้เค้าบอกการรักษาบำบัดด้วยน้ำแร่ที่นี่จะขึ้นอยุ่กับโรคที่เจ็บป่วยการดื่มก็จะดื่มจากบ่อแต่ละบ่อในปริมาณที่ไม่เท่ากัน ที่สำคัญเค้าบอกมาว่าการดื่มน้ำแร่จากวิชชี่จะทำให้สุขภาพดี อายุยืนนาน โดยเฉพาะสาวๆ จะไม่แก่ หรือแก่ช้า พอชะนีแคระได้ยินเท่านั้นกรอกขนกลับบ้านไปหลายขวด แต่ขอบอกรสชาติมันฝึดเฝือนมากคะ เพราะมันมีกลิ่นกำมะถันเจอปน แต่อย่างว่าเพื่อความงามชะนีแคระยอมคะ มิน่าที่เมืองวิชชี่นี่ถึงมีแต่ผู้เถ้าผู้แก่กันทั้งเมือง ชาวเมืองเค้าเชื่อกันจริงๆนะคะว่าคนที่ดื่มน้ำแร่บ่อยๆจะทำให้อายุยืนนาน


จากที่เคยเกริ่นไปตอนต้นว่าวิชชี่นั้นเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  นั้นก่อนอื่นต้องเล่าประวัติศาสตร์คร่าวๆก่อนว่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากฝ่ายนาซีเยอรมันได้มีชัยชนะเหนือฝรั่งเศสแล้ว ฝรั่งเศสเลยถูกบีบให้ต้องเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะด้วยร่วมรบกับเยอรมัน และเยอรมันก็ได้แบ่งการปกครองฝรั่งเศสออกเป็น 2 ส่วนคือ ฝรั่งเศสส่วนบนถูกปกครองโดยรัฐบาลนาซีเยอรมัน ส่วนฝรั่งเศสตอนใต้ตั้งแต่วิชชี่ลงมาถึงใต้สุดประเทศ รัฐบาลฝรั่งเศสปกครองซึ่งผู้ปครองมีอำนาจสูงสุดขณะนั้นของฝรั่งเศสคือจอมพลเปตา ซึ่งเค้าได้เลือกที่จะตั้งศูนย์ราชการเขตการปกคองที่เมืองวิชชี่ ซึ่งสถานที่ต่อไปที่เราจะพาท่านผู้อ่านไปรุ้จักกันก็คือ Capital de l'Etat Français ซึ่งครั้งหนึ่งที่นี่เปตาเคยใช้เป็นที่ว่าราชการเขตปกครองฝรั่งเศสขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็ได้กลายเป็นโรงแรม 5 ดาวไปแล้ว

ที่นี่เคยเป็นที่ว่าการาชการของเปตาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2


 ในสมัยนั้นรัฐบาลภายใต้เปตาปกครองฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญากับเยอรมันว่าจะส่งชาวยิวมากกว่า 10000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กมากกว่า 6500 คนถูกส่งไปค้ายกักกันยิวที่เอาชวิตช์ ประเทศโปแลนด์ แน่นอนที่สุด เด็กเล็กๆเหล่านี้ตายทันทีที่ไปถึงค่ายกักกัน ถูกฆ่าตายด้วยการรมแก็ส ซึ่งน้อยมากที่จะรอดชีวิตกลับมา และสี่งนี้เองที่เป็นเหมือนตราบาปของชาวฝรั่งเศส ดังนั้นชาวฝรั่งเศสจึงได้ทำป้ายเป็นอนุสรณ์ถึงความโหดร้ายของสงครามและก็เตือนใจให้เห็นถึงความผิดพลาดต่อนโยบายทางการเมืองของฝรั่งเศสขณะนั้น และแน่นอนที่สุดนายพลเปตา ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต และเสียชีวิตภายในคุกหลังจากสงครามโลกได้จบลง
อนุเสาวรีย์ที่ได้เล่าถึงเหตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นความโหดร้ายของสงคราม

หลังจากที่ได้เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ก็รุ้สึกหดหู่ดังนั้นเบรคอารมณ์ท่านผุ้อ่านด้วยการพาไปช็อปปิ้งในเมืองวิชชีกันดีกว่านะคะ จะว่าไปแววเมืองวิชชี่ถือว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักช็อปเลยก็ว่าได้ เพราะปกติร้านรวงต่างๆในฝรั่งเศสจะต้องปิดทำการในวันอาทิตย์ แต่ที่เมืองวิชชี่ได้รับการยกเว้นจากกฏหมายพิเศษคะ ขาช็อปอย่างเราเลยสบายสามารถช็อปปิ้งในวันอาทิตย์ได้คะที่นี่  ส่วนร้านรวงต่างๆก็มีหลากหลายแบรนด์มากมาย มีให้นักท่องเที่ยวได้ช็อปกระเป๋าฉีกไปตามๆกันคะ ในระหว่างเดินช็อปปิงอยุ่ก็นี่เลยคะพบคุณพี่กะคุณลุงฝรั่งเศสแต่งตัวย้อนยุคของชาวเมืองวิชชี่ในสมัยก่อนมาแจกโบรชัวร้านอาหารคะ ชะนีแคระเลยเก็บภาพมาฝากกันคะได้อารมณ์ย้อนยุคดี



ถนนแห่งการช็อปปิ้ง
แต่งกายย้อนยุค


ถ้าถามว่าของฝากขึ้นหน้าขึ้นตาหรือสินค้าโอท็อปของชาววิชชี่คืออะไรก็นี่เลยคะ ลูกอมวิชชี่ ลูกอมสีขาวๆ แก้เจ็บคอ มาแล้วห้ามพลาดซื้อกลับเป็นของขวัญของฝากกันนะคะ


ลุกอมวิชชี่


สุดท้ายนี้เมืองวิชชี่ เป็นเมืองเล็กๆน่ารัก อบอุ่น ผู้คนเป็นกันเอง โดยเฉพาะที่นี่มีผู้เฒ่าผุ้แก่เยอะมากนับว่าเป็นเมืองที่เงียบสงบแถมมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจทีเดียว และเป็นอีกเมืองที่เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนสไตย์ครอบครัวที่ไม่อยากไปที่ซ้ำซากจำเจ เพียงแค่วันเดียวเราก็สามารถเที่ยวได้ทั่วเมืองแล้ว ยังไงก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่วิชชี่กันนะคะ  สำหรับวันนี้ชะนีแคระขอลาไปก่อนพบกันในตอนหน้าเมื่อชะนีแคระจะพาท่านผู้ชมไปดื่มด่ำสัมผัสบรรยากาศความโรแมนติกสุดๆ เราจะไปเที่ยว กรุงปราก  (Prague) สาธารณรัฐเชคกันนะคะ

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์


สวัสดีคะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน หลังจากที่เราพาไปเที่ยวสเปนกันแล้ว วันนี้เราจะพาเพื่อนๆนักอ่านเดินทางไปทางยุโรปเหนือกันบ้าง  ซึ่งวันนี้เราจะไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม   ประเทศเนเธอร์แลนด์กันคะ  สำหรับท่านผู้อ่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่แล้วสามารถติดตามตอนที่ชื่อว่า  เที่ยวเมือง  Toledo เมืองหลวงเก่าของประเทศสเปนที่โลกไม่ลืม http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2014/06/toledo.html


เมืองอัมสเตอร์ดัม(Amsterdam) เป็นเมืองหลวงของประเทศเนอเธอร์แลนด์  ที่มาของชื่อนั้น อัสเตล เป็นชื่อของแม่น้ำ ดัม แปลว่า เขื่อน ดังนั้นจึงแปลโดยรวมว่า เขื่อนที่อยู่ริมแม่น้ำอัมสเตล  เมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นเมืองที่คล้ายเกาะแล้วมีคูคลองล้อมรอบ เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นเมืองที่มีคูคลองเชื่อมมากมายทั้งเมืองเพื่อใช้ในการสัญจร การป้องกันข้าศึกศัตรู จนบางครั้งได้รับฉายาว่าเป็นเมืองเวนิสของยุโรปตะวันตกเลยทีเดียว



คูคลองรอบๆเมือง





สำหรับการเดินทางชะนีแคระออกเดินทางจากปารีส โดยรถไฟ TGV มุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือวิ่งผ่านประเทศเบลเยี่ยมและจอดปลายทางที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชม. กว่าๆเราก็มาถึงเมืองอัมสเตอร์ดัมกันนะคะ นับว่าสะดวกมากที่เดียว และในทริปครั้งนี้เราเดินทางทั้งหมด 4 วัน 3 คืน เที่ยวในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นหน้าร้อนของยุโรป ช่วงนี้เป็นเวลาที่อากาศกำลังดี  ท้องฟ้าสดใสและเรามีเวลาเที่ยวนานกว่าปกติ เพราะกว่าพระอาทิตย์จะตกก็เกือบสี่ทุ่ม เราเลยมีเวลาเดินดูอะไรได้เยอะ

สำหรับการเดินทางภายในเมืองอัสเตอร์ดัม ผู้คนนิยมใช้รถ Tram หรือที่เรียกว่ารถรางนั้นเอง นอกจากรถรางจะเป็นที่นิยมแล้ว การขี่จักรยานในเมืองอัสเตอร์ดัม ก็เป็นสิ่งที่นิยมไม่แพ้กันที่เดียว เพราะรัฐบาลที่นี่ส่งเสริมรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานเพื่อลดมลภาวะ ลดการใช้พลังงาน ลดโลกร้อน รัฐบาลที่นี่ได้ออกแบบพื้นที่ถนนให้มีเลนพิเศษสำหรับคนปั่นจักรยานโดยเฉพาะซึ่งมีความปลอดภัยที่เดียว ดังนั้นแล้วมาถึงอัสเตอร์ห้ามพลาดลองขี่จักรยานกันดูนะคะ ซึ่งที่นี่เค้าก็มีร้านให้เช่าจักรยานเอาใจนักท่องเที่ยวทุกมุมเมืองเลยคะ
รถรางที่อัมสเตอร์ดัม

บรรยากาศภายในรถราง
ลานจอดจักรยาน
หลังจากที่เราเดินทางมาถึงและเช็คอินเข้าทีพักแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางเที่ยวกันเลย โดยสถานที่แรกที่เราจะพาไปเที่ยวก็คือพิพิธภัณฑ์ไรค์  (Rijksmuseum)  พิพิธภัณธ์ไรค์ ถือว่าเป็นพิพิธภัณธ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงอัมสเตอร์ดัม ถูกสร้างขึ้นใน คศ. 1885 เป็นที่รวบรวมผลงานศิลปะทุกแขนงของประเทศเนเธอร์แลนด์และชาวดัตช์  ที่พิพิธภัณธ์แห่งนี้มีห้องที่จัดแสดงนิทรรศการผลงานภาพวาดมากกว่า 260 ห้อง ที่เปิดให้เข้าชมกัน


พิพิธภัณธ์ไรค์


ตัวอย่างผลงานภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่จัดแสดงในพิพิธภัณธ์ไรค์



เราใช้เวลาเที่ยวชมในพิพิธภัณธ์ได้สัก 3-4 ชม. เราก็ออกมาเดินเล่นแวะชมเมืองหาของกินกันนะคะ และนี่เลยเจอของแปลกคะ ตุ้ขายแฮมเบอร์เกอร์ ของทอด ไส้กรอก ซึ่งเราสามารถหยอดเหรียญเลือกกดเมนูที่เราอยากจะกินได้ เลยซึ่งแปลกดีคะไม่เคยเห็นเลย เพิ่งจะมาเจอที่อัมสเตอร์ดัมนี่แหละ


ตู้ขายอาหารอัตโนมัติ


หลังจากแวะพักหาของกินรองท้องแล้วเราไปกันต่อเลยคะ ที่ตลาดขายพวกดอกทิวลิปและก็ของที่ระลึกต่างๆ  ซึ่งจะอยุ่ใกล้ๆกับหอนาฬิกาใจกลางเมืองอัสเตอร์ดัม ที่นี่มีสินค้ามากมายแต่จะเน้นไปที่พวกดอกทิวลิป ดอกไม้ต่างๆซะมากกว่า และก็ยังมีร้านขายพวกชีสซึ่งเจ้าชีสก้อนกลมๆ ที่ขึ้นชื่อของที่นี่เลยคะ หากมีโอกาสแวะผ่านไปอย่าลืมแวะชิมที่นี่เค้าให้ชิมฟรี ชะนีแคระเลยชิมจนอิ่มเลยคะ


ตลาดขายเมล็ดทิวลิป ต้นไม้ ของที่ระลึกต่างๆ

ร้านขายชีส พนักงานคนสวยน่ารักให้ชิมฟรีจนอิ่มเลยคะ

หอนาฬิกาใกล้กับตลาดขายดอกไม้

และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นสีสันของอัมสเอตร์ดัมก็นี้เลยคะ Red light district ถ้าแปลตรงตัวก็ย่านสีแดง หรือย่านโคมเขียวของไทยนั่นเอง ที่ย่านนี้จะเป็นแหล่งสุนทรีย์สำหรับคุณผู้ชายที่ชอบความตื่นเต้น จะมีสาวน้อยนุ่งน้อยห่มน้อย นั่งบริการอยุ่ในตู้กระจก แล้วคอยเรียกเหล่าบรรดาคุณผู้ชายที่สนใจเข้าไปต่อลองราคากันได้ โฮ ที่นี่เค้าทำอย่างเสรีจริงๆ  มีเซ็กช็อปคอยบริการ หรือเราสามารถหาคาเฟ่กัญชาได้อย่างเปิดเผย พูดตรงๆคือที่อัมสเตอร์ดัม ซื้อขายบริการ และสูบกัญชาไม่ผิดกฏหมายนะคะ เค้าถึงว่่าอัสเตอร์ดัมเป็นสวรรค์ของเหล่าผีเสื้อราตรีทั้งหลาย


Red light district

Sex shop
ผ่านไปแล้ว 1 คืนที่อัมสเตอร์ดัม เราก็มาเริ่มเดินทางในเช้าวันที่่ 2 บ้านแอน ฟรังค์(Anne Frank) บ้านของแอนเด็กสาวชาวยิวอายุ 13 ปีที่อาศัยซ่อนตัวอยู่ในบ้านพร้อมกับครอบครัว เพื่อหลบซ่อนตัวจากการจับกุมตัวของทหารนาซี ฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  เธอได้ซ่อนอยุ่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลากว่า 2 ปี ในระหว่างที่ซ่อนตัวอยุ่นั้นเธอก็ได้เขียนไดอารี่บันทึกส่วนตัว ซึ่งบันทึกถึงการหลบซ่อนตัวและความโหดร้ายของนาซี แต่แล้วในที่สุดเธอและครอบครัวก็ถูกทหารนาซีจับกุมตัวได้ และถูกส่งตัวไปค่ายกักกันยิวที่เอาชวิตซ์ประเทศโปแลนด์และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งพ่อของเธอเป็นคนเดียวที่รอดมาจากการตายในระหว่างสงคราม และได้กลับมาบ้านและค้นพบไดอารี่ของเธอ  และส่งไปตีพิมพ์ชื่อว่า Diary of a young girl. ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนังสือที่ยอดขายสูงสุดไปทั่วโลก และบ้านหลังนี้ก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณธ์นั่นเอง


อนุเสาวรีย์ของแอน ฟรังค์


พิพิธภัณฑ์บ้านแอน ฟรังค์


วันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใสเราจึงเดินเล่นเก็บบรรยากาศกรุงอัสเตอร์ดัมมาให้ชมกันแบบจุใจเลยคะ เริ่มที่จัตุรัสกลางเมืองที่ชื่อ จัตุรัสดัม (Dam square)



ย่าน shopping



จัตุรัสใจกลางเมือง ดัมแสควร์


ถ้าใครเหนื่อยขี้เกียจเดิน เวลาเที่ยวน้อย นั่งรถบัสทั่วรอบเมืองเลยคะ

สำหรับวันที่ 3 ตื่นเช้าแล้ว ถ้าใครที่เป็นคนรักงานศิลปะห้ามพลาดแวะชม พิพิธภัณฑ์แวน โก๊ะ( Van Gogh Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณธ์ที่รวบรวมผลงานภาพวาดสีน้ำมันที่มากที่สุดของแวน โก๊ะนักจิตกรสไตย์เพชั่นนิส ที่โด่งดังไปทั่วโลก ในคริสตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ยังมีผลงานของนักจิตรกรชื่อก้องโลก อย่าง Cloude Monet ที่นำมาจัดแสดงด้วย


พิพิธภัณธ์แวน โก๊ะ

ตัวอย่างภาพวาดผลงานของแวน โก๊ะ
หลังจากเที่ยวพิพิธภัณธ์แวน  โก๊ะ ก็เดินเล่นไปเรื่อยจนเจอเจ้าสิ่งนี้ สวนสาธารณะเล็กๆที่มีรูปปั้นเจ้าตัวเงินตัวทอง เค้าเล่ากันว่าสมัยที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นอาณานิคมของชาวดัตช์ เค้าก็ได้กวาดต้อนนำคนอินโดนีเซีย อาหาร และก็เจ้าตัวเงินตัวทอง ที่ชาวอินโดนีเซียเรียกว่า โคมาโดดร้าก้อนมาด้วย คิดว่าที่นี่คงคล้ายๆเป็นอนุเสาวรีย์ที่ระลึกอะไรประมาณนั้น 


สวนตัวเงินตัวทอง 

คนเล่นหมากรุกยักษ์
เราก็ไปเดินเล่นที่วนสาธารณะ (Vondel  Park) ที่นี่ก็เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ที่ประชาชนส่วนใหญ่ชอบมาออกำลังกายกัน หนุ่มสาวมาพรอดรัก บรรยากาศภายในสวนร่มรื่นมากเลยคะ 


บรรยากาศในสวนสาธารณะ

บรรยากาศสดชื่น ร่มรื่นมาก
และก็มาถึงการเดินทางในวันสุดท้ายวันที่ 4 แล้วนะคะ เราตัดสินใจว่าจะมาคอยตามเก็บกิจกรรมที่เรายังคิดว่ายังไม่ได้ทำในกรุงอัมสเตอร์ดัมกัน วันนี้ตอนเช้าเราจะไปเที่ยวตลาดกัน ตลาดนี้ชื่อว่า Albert Cupmarkt ซึ่งจะมีสินค้ามากมากยวางขายทั้งอาหาร เสื้อผ้า ดอกไม้ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สารพัดสิ่งอัน ถ้าเพื่อนๆหรือท่านผู้อ่านมีเวลาเหลือๆก็ลองมาแวะชมดูข้าวของกันได้นะคะ


ตลาดนัดชื่อดัง
และกิจกรรมสุดท้ายก่อนที่เราจะเดินทางกลับกันในวันนี้ก็คือการล่องเรือชมเมืองอัมสเตอร์ดัม ที่นี้ก็มีบริการล่องเรือมากมายหลายบริษัท ราคามีหลากหลายลองเลือกหาดูแววกัน แต่ขอคอนเฟิร์มห้ามพลาดกิจกรรมล่องเรือชมแม่น้ำอัมสเตล และคูคลองรอบๆ และวิวบรรยากาศของเมืองอัมสเตอร์ดัมกัน  


ล่องเรือชมแม่น้ำอัมสเตล






บรรยากาศริมสองฝั่งคูคลองในเมืองอัมสเตอร์ดัม


ในความรู้สึกของข้าเจ้ารู้สึกว่าอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่น่ารัก สงบ อบอุ่นผู้คนเอาใจใส่สภาพแวดล้อมธรรมชาติ มีเชื้อชาติวัฒนธรรมหลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่มีเสรีภาพไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของฟรีเซ็ก สามารถเสพย์กัญชาได้อย่างถูกกฏหมาย ซึ่งหลายๆอย่างดูเหมือนจะขัดแย้งกันในตัวมันเอง แต่มันก็มีความต่างที่ลงตัวที่คุณจะต้องเดินทางมาสัมผัสเอง ดังนั้นหากท่านผู้อ่านสนใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยุโรป อัมสเตอร์ดัมจึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันที่เดียวคะ  สำหรับวันนี้ชะนีแคระขอลาไปก่อน พบกับตอนต่อไปจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวเมืองวิชชี่ Vichy เมืองแห่งน้ำแร่ธรรมชาติของประเทศฝรั่งเศสกันนะคะ