วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ชะนีแคระ in UK พาเที่ยวลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ ตอนที่ 1


สวัสดีค่ะ วันนี้ชะนีแคระจะทำตัวไฮโซพาพี่ๆและผองเพื่อนไปเที่ยวมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษกันนะคะ  ลอนดอนเป็นเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก  ถึงขนาดติดโผ 1 ใน 10 เมืองใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยียนมากที่สุดในปี 2015 ซึ่งได้รับการจัดอันดับจากเว็บไซต์ชื่อดัง Tripadvisor  ดังนั้นกรุงลอนดอนจึงเป็นเมืองในฝันของใครๆหลายๆคนที่อยากจะมาเที่ยวชมสักครั้งหนึ่งในชีวิต   ชะนีแคระก็เป็นคนหนึ่งในนั้นค่ะคิดไว้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องมาเยือนถิ่นเมืองผู้ดีและแวะมาช็อปปิ้งกะเค้าบ้าง สำหรับแผนการคร่าวๆของทริปนี้   ชะนีแคระใช้เวลาทั้งหมดเที่ยวในประเทศอังกฤษเป็นเวลา 6 วัน  เที่ยวเฉพาะในกรุงลอนดอน  5 วัน และไปเที่ยวเมือง Bath อีก 1 วันเต็มๆ  เอาละคะ ถ้าพร้อมแววตีตั๋วออกเดินทางไปพร้อมกันเลยคะ




 ลอนดอน (London) เป็นเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ และสหราชอาณาจักร (UK) ลอนดอนจัดเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒธนธรรม การบันเทิง แฟชั่น และแหล่งประวัติศาสตร์ของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ลอนดอนยังเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญในยุโรปอีกด้วย สำหรับชาวไทยที่สนใจจะมาท่องเที่ยวที่ประเทศอังกฤษ และสหราชอาณาจักร ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษก่อนนะคะ สำหรับขั้นตอนการเตรียมเอกสารขอวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ และสหราชอาณาจักรนั้นก็หาข้อมูลได้ในเว็บไซต์ต่างๆ มีคนเขียนขั้นตอนไว้ค่อนข้างละเอียดทีเดียวนะคะ  ซึ่งชะนีแคระขอไม่อธิบายแล้วกันเพราะชะนีแคระขอวีซ่าชนิดพิเศษสำหรับผู้ติดตามพลเมืองยุโรป  EEA family permit  ซึ่งอาจจะมีขั้นตอนการเตรียมเอกสารไม่เหมือนกับวีซ่านักท่องเที่ยวทั่วไป ถ้ายังไงท่านผู้อ่านก็ลองศึกษาเตรียมการเรื่องเอกสารแต่เนินๆก่อนออกเดินทาง  และก็อย่าลืมแลกเงินปอนด์กันให้พร้อม  หรือจะใช้วิธีกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มที่อังกฤษก็ได้ แต่ว่าชะนีแคระไม่แนะนำเพราะอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะแพงกว่าแลกมาจากเมืองไทย


การเดินทาง

สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราออกเดินทางในวันที่ 22 -27  เมษายน พศ. 2558 ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลฮีสเตอร์ของทางยุโรป  ช่วงนี้จะเป็นวันหยุดยาว ดังนั้นเหมาะแก่การไปท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงนี้มากเพราะอากาศที่อังกฤษกำลังสบายๆเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ  อากาศไม่หนาวเกินไป แต่ก็อย่าคาดหวังมากเตรียมร่มหรือเสื้อคลุมกันฝนไปเผื่อก็ดีนะคะ เพราะอากาศที่อังกฤษแปรปรวนตลอดเวลา ฝนจะตกบ่อยโดยมิได้คาดหมายก็มี บางทีเมื่อเช้าเช็คพยากรณ์อากาศวันนี้แดดออก แต่เอาเข้าจริงๆตอนบ่ายฟ้าครึมฝนตกพรำๆซะงั้น  ชะนีแคระออกเดินทางจากกรุงปารีสที่สถานี Gare du Nord นั่งรถไฟทีจีวีลอดอุโมงค์ใต้ทะเลไปถึงลอนดอนใช้ระยะเวลาแค่ 2 ชมกว่าๆ ก็จะถึงใจกลางกรุงลอนดอน   สำหรับท่านผู้อ่านที่อาศัยอยู่ในปารีส หรือนักท่องเที่ยวที่มาแวะเที่ยวปารีสก่อนแล้วจะเดินทางต่อไปลอนดอนก็ใช้บริการรถไฟทีจีวีก็ไม่แพงมาก ยิ่งถ้าจองแต่เนิ่นๆก็จะได้ราคาถูก ชะนีแคระเอาเว็บไซค์ตั๋วรถไฟมาแปะไว้ให้แล้วสนใจก็อย่าลืมคลิกเข้าไปดูนะ  ส่วนนักท่องเที่ยวที่อาศัยทีเมืองไทยหรือต่างประเทศอื่นๆก็ลองเลือกดูตั๋วเครื่องบินซึ่งมีมากมายหลายสายการบินคอยให้บริการแล้วแต่ความต้องการ และสภาพกระเป๋าสตางค์ของแต่ละคนคะ

 ตั๋วรถไฟ http://uk.voyages-sncf.com/en/#/
สำหรับตั๋วเครื่องบิน  http://www.skyscanner.fr/?gclid=CJju3tmN2cgCFQn4wgodJo4CFQ&locale=en-US

สำหรับการเดินทางภายในลอนดอน

รถไฟใต้ดิน Tube

สำหรับการเดินทางภายในลอนดอน ชาวลอนดอนส่วนใหญ่นิยมใช้รถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Tube  ซึ่งค่อนข้างมีหลายสาย สะดวกรวดเร็ว รับรองว่าไม่ยุ่งยากจะมีป้ายบอกสถานีต้นทาง ปลายทางชัดเจน ไม่หลงแน่นอน  อีกอย่างคือการนั่งรถเมลล์เดินทางในลอนดอนก็เก๋ไปอีกแบบสำหรับคนที่ไม่เร่งรีบ ใช้เวลาชมเมือง และยิ่งได้นั่งรถเมลล์สองชั้นสีแดงก็นับว่าเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดอย่างยิ่งเลยทีเดียวสำหรับการมาเที่ยวในลอนดอน
รถเมลล์สีแดงสองชั้น สัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างของกรุงลอนดอน

ส่วนเรื่องตั๋วที่ใช้กับ Tube และรถเมลล์นั้น ชะนีแคระเลือกใช้เจ้าบัตร Oyster card ซึ่งใช้ตลอดทั้ง 6 วันที่อยู่ในลอนดอน ซึ่งนับว่าสะดวก เจ้าบัตร Oyster Card คล้ายระบบบัตรเติมเงิน ซึ่งบัตรนี้จะมีค่ามัดจำบัตรใบละ  5 ปอนด์ ซึ่งจะคืนให้ตอนที่เราคืนบัตรในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ ส่วนการเติมเงินก็แสนง่าย มีตู้เติมเงินทุกสถานี รวมถึงที่สนามบินจนถึงสถานีรถไฟต่างๆนับว่าสะดวกสบายมาก ขั้นต่ำของการเติมเงินครั้งละ 10 ปอนด์  ซึ่งบัตรก็จะคำนวณระยะทางและก็จะตัดเงินตามระยะทาง ถ้ายิ่งออกไปโซนไกลๆ ก็จะยิ่งจ่ายแพงมากขึ้น  แต่ในบัตรก็จะมีลิมิตหากเดินทางเกินจำนวนสูงสุดในแต่ละวันก็จะไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม  นับว่าเจ้าบัตร Oyster card น่าจะคุ้มสุดแล้วหากท่านผู้อ่านเดินทางอยู่ภายในกรุงลอนดอน เที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในโซน 1-2 เอง


ตู้เติมเงินบัตร  Oyster card
ที่พัก

ตลอดทั้งทริป ชะนีแคระพักอยู่ที่โรงแรม Ibis hotel London Sheperd's Bush ก็ตกคืนละ 120 ปอนด์ (ไม่รวมอาหารเช้า) จะออกมานอกใจกลางกรุงลอนดอนหน่อย  อยู่ใกล้กับสถานี Sheperd's Bush สายสีแดง Central โรงแรมนี้สะดวกค่ะใกล้แหล่งของกินและก็มีห้างใหญ่เอาใจนักท่องเที่ยวขาช็อปปิ้ง


Ibis london  Sheperd's Bush

สภาพภายในห้อง
ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปจองโรงแรมได้จากเว็บไซต์ดัง   ซึ่งสามารถเลือกได้ตามงบประมาณของแต่ละคน  ชะนีแคระเอามาแปะให้เรียบร้อยแล้วนะค่ะ
Booking.com http://www.booking.com/index.en-us.html?aid=376366;label=fr-51aYADzKCvHZ21Orv3nXsAS58268838748%3Apl%3Ata%3Ap1%3Ap2818.000%3Aac%3Aap1t1%3Aneg%3Afi%3Atikwd-65526620%3Alp9056496%3Ali%3Adec%3Adm;sid=39f24f1b3e7b6f3d20eb6fc0cac0f4a7;dcid=1;redirected=1;source=country&gclid=CL2G3Y3d6sgCFYmRGwodSksF8Q&
Agoda.com http://www.agoda.com/?urltogo=%2f&chlang=1&asq=jGXBHFvRg5Z51Emf%2fbXG4w%3d%3d&cid=1415447&tag=47500a76-9a12-42c4-858a-dd633860a99b

เมื่อข้อมูลพื้นฐานพร้อมแล้วเราก็ออกเที่ยวได้เลย

เช้าวันที่  1  

เราเดินทางมาถึงลอนดอนที่สถานีปลายทางสถานีรถไฟ King 's Cross St. Pancras  ซึ่งเป็นศูนย์กลางรถไฟประมาณ 9.00 น. หลังจากมาถึงจัดการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มเพราะชะนีแคระไม่ได้แลกเงินปอนด์มาจากปารีส  แล้วจัดการซื้อตั๋ว Oyster Card  จากตู้อัตโนมัติ แล้วก็เดินทางเข้าไปเก็บของเช็คอินที่โรงแรม  จากนั้นก็ออกเที่ยวค่ะโดยเช้าวันนี้เราจะเดินทางไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของลอนดอนก่อน
1. พระราชวังบักกิงแฮม( Buckingham Palace ) เป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์อังกฤษ ปัจจุบันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิสซาเบทที่ 2 (จะสังเกตว่าพระนางประทับอยู่หรือไม่ให้ดูจากธงประจำองค์ ถ้ามีธงปักอยู่แสดงว่าพระนางประทับอยู่จริงๆ) พระราชวังบักกิงแฮมถูกใช้เป็นที่เลี้ยงรับรองของรัฐต่อแขกบ้านแขกเมือง รวมถึงได้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาแวะเยี่ยนเยียนตลอดทั้งปี  และสิ่งที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดต้องแวะชมคือการผลัดเปลี่ยนเวรของทหารการ์ดรักษาพระองค์ ซึ่งจะมีขึ้นบริเวณหน้าพระราชวัง  โดยจะเริ่มแสดงตั้งแต่เวลา 11.30 น. แต่ให้ดีควรมาถึงก่อนเวลาสัก 30 นาทีจะได้มีพื้นที่จับจองทำเลดีๆในการชม  ชะนีแคระมาถึงเกือบ 11 โมงแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมดเราเลยต้องมาอยู่ตำแหน่งไกลทีเดียว ภาพอาจจะไม่ค่อยสวยนัก นอกจากนี้ทางพระราชวังยังเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในพระราชวังได้ในช่วงปลายเดือนกรกฏาคมถึงปลายเดือนกันยายน  ยังไงท่านผู้อ่านจะเดินทางมาเที่ยวก็วางแผนช่วงวันและเวลาให้ดีนะคะ ซึ่งบางปีทางพระราชวังอาจจะมีการปรับวันและเวลาของการเปิดเข้าชมภายในตัวพระราชวังบังกิงแฮม  ชะนีแคระแปะลิงค์ไว้ให้แล้วนะคะใครสนใจก็เข้าไปดูรายละเอียดข้อมูลตารางเวลา และราคาตั๋วอัพเดตได้ที่เว็บไซค์ของทางพระราชวังโดยตรงนะคะ  https://www.royalcollection.org.uk/

พระราชวังบักกิงแฮม


อนุเสาวรีย์วิกตอเรีย
การเปลียนผลัดเวรของการ์ดทหารรักษาวัง

พี่ทหารแบกปืน

มีกองทหารม้ารักษาพระองค์




สำหรับการเดินทางมาก็ให้นั่ง Tube แล้วลงที่สถานี  Green park  ระหว่างเดินมาก็จะผ่านสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยเก้าอี้ผ้าใบ ซึ่งชาวลอนดอนมักจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจนั่งเล่นกัน



 Green Park


ความร่มรื่นของสวนสาธารณะ 

2. มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์  (Westminster Cathedral)   มหาวิหารนี้ผู้คนมักจะสับสนว่าเป็นอันเดียวกับ Westminster Abbay มันคนละสถานที่กันนะคะ  มหาวิหารเวสต์มินเตอร์เป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอริกถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายของคศ. ที่ 19  ซึ่งเป็นช่วงที่นิกายโรมันคาทอลิกได้รับการฟื้นฟูในอังกฤษและเวลส์   นอกจากนี้ภายในมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์เล็กๆเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ของนักบวช บาทหลวง และประวัติความเป็นมาของการสร้างโบสถ์ด้วย ถ้าสนใจแวะเข้าไปเยือนกันนะคะ ไม่เสียค่าเข้าคะ



มหาวิหารเวสต์สินสเตอร์


3.เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbay) โบสถ์ถูกสร้างขึ้นในราวคศ.ที่ 6  เดิมที่เป็นโรงเรียนนักบวชแต่ปัจจุบันได้กลายเป็นโบสถ์นิกายแองคลิตัน  และได้รับเลื่อนฐานะให้เป็นพระอารามหลวงในสมัยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 1  สถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบสไตล์โกธิค ใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  พระราชพิธีอภิเษกสมรส หรือราชพิธีฝั่งพระบรมศพพระมหากษัตริย์อังกฤษและพระราชวงศ์  นอกจากนี้ปี  2011 ยังได้รับเลือกให้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลี่ยม และแคเธอรีน มิลเดิลตันด้วย




เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์




ใครสนใจก็ลองซื้อตั๋วเข้าชมกันนะคะ  ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 18 ปอนด์ ค่อนข้างแพงทีเดียว ยังไงสนใจก็ลองแวะเข้าชมวันและเวลาอัพเดตในเว็บไซต์ได้ค่ะ ชะนีแคระเอาลิงค์มาแปะไว้ให้   http://www.westminster-abbey.org/ การเดินทางให้นั่ง Tube ลงสถานี Westminster

 4. รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร( House of  Parliament) เดิมทีเป็นพระราชวังเก่าชื่อเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Palace)ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำเทมส์  โดยพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1016 มีห้องทั้งหมด 1,100 ห้อง แต่ในปีคศ. 1965 พระราชวังแห่งนี้ก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นที่ว่าการัฐสภาของสหราชอาณาจักรตั้งแต่นั้นมา  รัฐสภาแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของมหานครลอนดอน




 รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร





โดยเฉพาะเจ้าหอนาฬิกาบิกเบน (Big Ben) หรือชื่อจริงเดิมคือหอนาฬิการพระราชวังเวสต์มิสเตอร์ ถ้าใครไม่ได้ถ่ายรูปคู่นี้ถือว่ามาไม่ถึงลอนดอนกันเลยทีเดียว  ที่มาของชื่อบิกเบนนี้มาจากระฆังใบใหญ่ที่อยู่ด้านในตัวหอนาฬิกา  ซึ่งจะมีชื่อของเบนจามิน  ฮอล์ (Benjamin  Hall) ผู้สร้างหอนาฬิกาสลักชื่อไว้บนระฆัง  ใครๆก็เรียกเจ้าหอนาฬิกาบิกเบนเป็นต้นมา  ปัจจุบันนี้เจ้าหอนาฬิกาบิกเบนได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นหอนาฬิกาเอลิสซาเบต (Elizabeth Tower)เนื่องในวโรกาสงานพระราชพิธีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีของพระนางเจ้าราชินีนาถเอลิสซาเบทที่  2  สำหรับการเดินทางให้ลงสถานีรถไฟใต้ตินสถานี Westminster




หอนาฬิกาบิกเบน


เที่ยวกันต่อเลยจากฟ้าใสๆดีๆเริ่มท้องฟ้าขมุกขมัว  อย่างที่บอกจะเอาอะไรแน่นอนกับอากาศที่อังกฤษ สถานที่ต่อไปนี้เลย  5. ลอนดอนอาย( London eye) หรือเจ้ามิลเลเนียมวิล (Millennium Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูงถึง 135 เมตรทีเดียว ถูกสร้างขึ้นในคราวเฉลิมฉลองครอบรอบปี 2000  ชะนีแคระตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องมาขึ้นเจ้าลอนดอนอายเพื่อถ่ายวิวมูมสูงมหานครลอนดอนและแม่น้ำเทมส์มาฝากท่านผู้อ่านให้ได้  


ลอนดอนอาย

ตอนแคปซูลหมุนอยู่จุดสูงสุด

เห็นวิวรัฐสภากับหอนาฬิกาบิกเบน





เห็นวิวตัวเมืองริมแม่น้ำเทมส์

ซึ่งการเที่ยวชมเจ้าลอนดอนอายนี้ก็จะใช้เวลา 1 รอบๆละ 30 นาที ส่วนราคาผู้ใหญ่ก็ตกคนละ 19.35 ปอนด์  ถ้าใครสนใจก็มาแวะเที่ยวกัน ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋ว  วันและเวลาล่วงหน้าทางอินเตอร์เนตได้เลยจากเว็บไซต์นี้ https://www.londoneye.com/  ชะนีแคระเอามาแปะไว้ให้แล้ว ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียด  ราคา   หรือจะมาต่อคิวรอซื้อบัตรที่ด้านหน้าก็ได้ แต่ก็อาจต้องรอคิวนานหน่อย แต่วันนี้ชะนีแคระโชคดีรอคิวแปปเดียวก็ได้ขึ้น  ข้อดีของการมาต่อคิวซื้อเองก็คือเราสามารถเปลี่ยนโปรแกรมได้ว่าวันนี้ฟ้ามืด ฝนตก ก็ไม่ต้องดู ถ้าจองมาแล้วก็อาจจะเปลี่ยนไม่ได้  สำหรับการเดินทางรถไฟฟ้าใต้ดินให้ลงสถานี  Waterloo หรือ Westminster

ตอนที่ลงมาจากลอนดอนอายเวลาก็ย่างเข้าไปเกือบหกโมงกว่าแล้ว  ฟ้ายังไม่มืดชะนีแคระก็เที่ยวต่อค่ะ  เผื่อไม่ให้เสียเวลาเราก็เดินเล่นลัดเลาะไปย่านเขต West end  เราเดินผ่านไปย่านจัตุรัส Trafalgar และหอศิลป์แห่งชาติ( La Nation Gallery)ไว้เดี่ยวเราจะมาแวะเที่ยวย่านนี้ในวันต่อไป  แต่สำหรับวันนี้ตั้งใจจะไปเดินเล่นย่าน Piccadily Circus กับไชนาท่าวน์กัน วงเวียนพิคคาดิลี่เซอร์คัส (Piccadily Circus)  ย่านนี้เป็นแหล่งช็อปปิ้ง มีร้านรวงมากมาย และยังเป็นจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งของชาวลอนดอน จุดเด่นของทีนี่จะมีป้ายโฆษณาไฟใหญ่ๆเป็นจุดที่มีแสงสีเหมือนไทม์สแควร์ที่นิวยอร์คเลย    ชะนีแคระไม่พลาดถ่ายรูปเก็บบรรยากาศมาฝากแฟนๆกันด้วย  สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสามารถมาลงได้ที่สถานี Piccadily Circus





ผู้คนเยอะแยะเลย  




ป้ายไฟโฆษณาใหญ่ยักษ์

และแล้วก็มาถึงสถานที่เที่ยวสุดท้ายของโปรแกรมวันนี้เราจะไปเดินเล่นย่าน  7. ไชน่าทาวน์ (Chinatown) แวะหาของกินอร่อยสำหรับค่ำคืนนี้กัน  ย่านนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารจีน  อาหารเอเชียต่างๆ ตลอดจนเป็นแหล่งที่ขายสินค้านำเข้าจากตลาดเอเชีย เราสามารถมาหาเครื่องปรุง อาหารการกินจากประเทศเอชีย และจากเมืองไทยได้จากที่นี่ จึงนับว่าที่นี่เป็นแหล่งสวรรค์ของชาวเอเชียและชาวไทยผลัดถิ่นในกรุงลอนดอนเลยทีเดียว



ย่านไชนาทาวน์ ณ กรุงลอนดอน



มีร้านอาหารจีนเต็มไปหมด

เราจะมาหาอาหารจีนกินกันสำหรับคืนนี้  และก็ไม่พลาดจะต้องมาลองกินเป็ดย่างในตำนาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ถ้ามีโอกาสได้มาที่ลอนดอนต้องมาลองชิมกัน  (จริงๆก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมากินเป็ดย่างที่ลอนดอน)  เอาเป็นว่าชะนีแคระจะลองมาชิมดูว่ามันอร่อยสมกับคำร่ำลือหรือไม่ เรามากินเป็ดย่างที่ร้านดัง Four seasons 



ร้านอาหารจีน Four seasons

เป็ดย่างในตำนาน


ต้องขอโทษแฟนๆผู้อ่านด้วยนะคะรูปรีวิวอาหารน้อยมากเนื่องจากว่า พออาหารลงปุ๊บหมดปั๊บลืมไปเลยว่าเราต้องถ่ายรูปมาลงรีวิว  อาจจะเพราะวันนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ยังดีนะได้ถ่ายรูปเป็ดย่างมาให้เห็นบ้าง เอาเป็นว่าอาหารเค้าอร่อยดีค่ะ  ราคาพอสมควรไม่แพงเกินไป  ยังไงมีโอกาสมากรุงลอนดอนก็ลองแวะมาทานกันนะคะ  สำหรับคนที่อยู่ทางเมืองไทยอยากชิมเป็ดโฟร์ซีซันซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่ามีร้านเป็ดโฟร์ซี่ซัน ไปเปิดแล้วที่กรุงเทพ แถวๆทองหล่อก็ลองแวะไปชิมกันได้  สำหรับการเดินทางมาย่านไชน่าทาวน์ก็สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงได้ที่สถานี Lecicester Sq.    ชะนีแคระแปะลิงค์ของทางร้านไว้ให้แล้วนะคะ ถ้าสนใจก็เข้าไปเช็คพิกัดสาขาที่ใกล้ตำแหน่งโรงแรมของท่าน และดูเมนูล่วงหน้าจะได้วางแผนถูกว่าจะต้องสั่งอะไรบ้าง http://www.fs-restaurants.co.uk/ สำหรับค่ำคืนนี้อิ่มเสร็จก็ขอตัวกลับโรงแรมไปพักผ่อนค่ะ  เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องมาตะลุยเที่ยวกันต่อ

เช้าวันที่ 2

กว่าชะนีแคระจะตื่นก็ปาไปเกือบเก้าโมงเช้าแล้วค่ะ  เช้านี้จึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันแห่งการท่องเที่ยวที่ลอนดอนแบบสบายๆ  อาจจะเป็นเพราะมากันเองสามารถปรับเปลี่ยนเวลาได้ตามใจ  สำหรับโปรแกรมวันนี้เราจะเดินเล่นเขต City และ South Bank  รอบๆริมแมน้ำเทมส์กัน โดยสถานที่แรกของวันนี้เราจะไปเที่ยวกันที่  8. หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) 



เป็นพระราชวังหลวงและเป็นป้อมปราการป้องกันการรุกรานจากข้าศึกศัตรูโดยเฉพาะชาวนอร์มันตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์  พระราชวังถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 ในคศ. 1078  ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมสไตย์โรมาเนสก์  หอคอยลอนดอนแห่งนี้นอกจากจะเป็นป้อมปราการ ที่ประทับของพระมหากษัตริย์แล้ว  ยังเป็นคุกที่คุมขังนักโทษที่มียศระดับสูง เป็นที่ประหารและทรมาน  คลังเก็บอาวุธ ท้องพระคลัง  สวนสัตว์ หอกษาปณ์  หอดูดาวเป็นต้น  ปัจจุบันเป็นที่เก็บรักษาพระราชมงกุฏและเครื่องราชาภิเษกของสหราชอาณาจักร  หอคอยแห่งลอนดอนมีประวัติความเป็นมาและตำนานเรื่องลือต่างๆน่าสนใจมาก ชะนีแคระไม่พลาดค่ะ ตีตั๋วเข้าไปชมภายในตัวหอคอยลอนดอนกัน   ชะนีแคระแนะนำให้มาเที่ยวหอคอยลอนดอนกันแต่เช้าๆ เพราะไม่งั้นสายๆนักท่องเที่ยวจะเยอะทีเดียว 

ทางเข้าภายในตัวหอคอยสีเลือด (ฺฺBloody tower)

หอคอยสีเลือด (Bloody Tower)มีเรื่องเล่าเกิดขึ้นจากในสมัยที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 สวรรคต พระโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 โดยพระองค์มีพระชนม์เพียงแค่ 13 พรรษา ในสมัยนั้นเกิดสงครามกลางเมืองเหล่าขุนนาง และประชาชนไม่ยอมรับกษัตริย์เด็ก ดังนั้นพระอนุชาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ก็ได้ทำการชิงพระราชสมบัติและสถานปนาพระองค์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แทนและก็ได้ทำการกักขังพระกษัตริย์องค์น้อย รวมถึงพระอนุชาของพระองค์ซึ่งมีพระชนม์เพียงแค่  11 พรรษา เท่านั้น ไว้ในหอคอยสีเลือดแห่งนี้จนไม่มีใครพบเห็นทั้งสองพระองค์อีกเลย  จนกระทั่งหลังเหตุการณ์  200 ปีผ่านไปได้มีการปรับปรุงบูรณะหอคอยแห่งนี้จึงได้ขุดเจอซากโครงกระดูกเด็ก 2 โครง จึงคาดว่าเจ้าชายน้อยทั้งสองพระองค์คงถูกปลงพระชนม์อย่างเหี้ยมโหด


ทางที่นำนักโทษเข้ามาขังในคุก จะนำนักโทษมาทางเรือ  ยากนักที่นักโทษที่เข้ามาแล้วจะได้ออกไปหรือหลุดลอดหนีไปได้ส่วนใหญ่จะถูกนำมากังขัง ทรมาน และสังหารโหดสังเวยชีวิตที่นี่




 ภายในหอคอยลอนดอนมีการนำพวกสัตว์ดุร้ายต่างๆเช่น หมี  สิงโต  เสือดาว สัตว์แปลกๆมาเลี้ยงไว้ภายในตัวหอคอย  เค้าว่ากันว่าในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ทรงโปรดปรานสัตว์ดุร้ายเหล่านี้ให้เลี้ยงในเขตพระราชฐานจัดเป็นสวนสัตว์กันเลยทีเดียว    เค้าว่ากันว่ามีพวกทหาร ข้าราชบริพารหลายคนที่ดันดวงไม่ดีถูกพวกเสือและสิงโตหลุดออกมาขยำเสียชีวิตไปหลายรายก็มี   


ตึก Queen's house


ลานประหารนักโทษ

ใกล้ๆตึก Queen's house จะมีหอคอยข้างๆชื่อว่าหอคอยสีเขียว ( Green Tower)ภายในหอคอยสีเขียวใช้เป็นที่คุมขังของนักโทษระดับสูง เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ล้วนแต่ถูกจองจำ กักขังทรมานที่นี่ ตลอดจนบางคนต้องถูกประหารอย่างโหดเหี้ยมที่ลานประหารด้านหน้าตัวหอคอยสีเขียวยังมีเรื่องเล่าตำนานผีสิงวิญญาณหลอนที่โด่งดังมาจากหอคอยแห่งนี้





 มีพี่ทหารคอยถือปืนประจำการณ์ตลอด





 มีห้องจัดแสดงเกี่ยวกับพระมงกุฏและเครื่องราชาภิเษกของกษัตริย์แห่งราชวงศ์อังกฤษ และมุงกุฏของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิสซาเบทที่ 2 จัดแสดงไว้ด้วยนะคะ  แต่เค้าห้ามถ่ายรูปด้านใน ดังนั้นชะนีแคระเลยต้องถ่ายแต่รูปด้านนอกตัวตึกมาแทน



 หอคอยสีขาว (White Tower) 

หอคอยสีขาวเป็นที่จัดแสดงพวกเกราะนักรบโบราณ   คลังอาวุธต่างที่ใช้ในการสู้รบในสมัยก่อน หากใครชอบแนวอัศวินแล้วละก็ต้องชอบตัวตึกนี้แน่นอน


ขนาดม้ายังมีเกราะเลย




ดูชุดเกราะอัศวินคนนี้สิ ชะนีรู้สึกสะดุดตากับบางจุด อิอิ


เอาชุดเกราะมาจัดแสดงเป็นมังกร 

สำหรับคนที่สนใจก็เข้าไปดูได้นะค่ะ ราคาตั๋วก็ตกผู้ใหญ่คนละ 24.50 ปอนด์ ราคาค่อนข้างแพง แต่ถามชะนีแคระว่าคุ้มไหม คุ้มคะ เพราะชะนีแคระเป็นคนชอบพวกประวัติศาสตร์ของโบราณต่างๆ นี่เอาลิงค์มาแปะไว้ให้แล้วคะ http://www.hrp.org.uk/TowerOfLondon/ เข้าไปเช็คราคาตั๋ว วันและเวลาเปิด- ปิด จะได้วางแผนเวลาเที่ยวกันให้ถูกใจคุณผู้อ่านค่ะ  (ถ้าซื้อตั๋วออนไลน์รู้สึกจะราคาถูกกว่า 1 ปอนด์กว่าๆ) ถ้าเดินทางด้วยสถานีรถไฟใต้ดินก็ให้มาลงที่สถานี Tower Hill



ไม่ไกลจากหอคอยแห่งลอนดอน เห็นตั้งเด่นตระหงานอยู่นั้นก็คือ9. ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) เป็นสะพานที่มีรูปแบบเป็นสะพานยกและสะพานแขวนอยู่รวมกัน ถูกสร้างขึ้นในคศ. 18 ใช้สำหรับข้ามแม่น้ำเทมส์ นับว่าในยุคนั้นเจ้าสะพานหอคอยแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองของยุคปฏิวัติอุสาหกรรมและได้กลายเป็นสะพานคู่บ้านคู่เมืองของมหานครลอนดอนตั้งแต่นั้นมา  ปัจจุบันสะพานทาวเวอร์บริดจ์ก็ยังคงยกเปิดสะพานให้เรือผ่านไปได้อยู่




ถ่ายรูปให้ดูว่าเจ้าสะพานแห่งนี้ชื่อว่าสะพานทาวเวอร์บริดจ์จริงๆ เพราะมีหลายๆคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าสะพานนี้คือสะพาน London Bridge ที่อยู่ข้างๆกันนั่นเอง





เราจะเดินข้ามสะพานหอคอยแห่งนี้ไปฝั่งตรงข้ามก็คือเขต South Bank  อากาศดีๆแบบนี้เดินเล่นริมแม่น้ำเทมส์ เก็บภาพบรรยากาศบ้านเมือง และผู้คนก็ดูตื่นตาตื่นใจไปหมด


สะพานหอคอยกำลังยกสะพานให้เรือข้ามผ่านไป

ภาพวิวตึกรามบ้านช่องริมแม่น้ำเทมส์





ตึกที่เป็นรูปรีๆ จะเหมือนไข่ก็ไม่เชิง ที่เห็นด้านขวา ตึก  30 ST Mary Axe

เราเดินเล่นเรื่อยๆก็จะมาเจอกับตลาดขนาดใหญ่10 ตลาด Borough Market   ที่นี่มีของขายมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปด้วยของกินไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เครื่องดื่ม ชีส อาหารทะเล  รวมถึงอาหารนานาชาติมาคอยให้บริการนักท่องเที่ยว และชาวลอนดอนที่นี่  ชะนีแคระไม่พลาด ตอนนี้บ่ายสองกว่าแล้ว เราฝากท้องซื้อหาอะไรกินง่ายๆในตลาดนี่หละค่ะ  



ตลาด Borough




 คนเยอะทีเดียวค่ะ






ย่างเนื้อน่ากินไหมค่ะ



ใครที่สนใจจะมาเยี่ยมชมตลาด Borough Market ตลาดจะเปิดทุกวันพฤหัสบดี เวลา 11-17 น. วันศุกร์ 12-18 น และวันเสาร์ 8-17 น.  สามารถนั่ง Tube มาลงที่สถานี London Bridge






โรงละคร Shakespeare 's Globe



เมื่อท้องอิ่มเราก็ไปเที่ยวกันต่อค่ะ สถานที่ต่อไป 11. โรงละคร Shakespeare 's Globe สร้างขึ้นเพื่อทดแทนโรงละครเดิมในสมัยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิสซาเบทที่ 1 

เป็นโรงละครที่เริ่มสร้างขึ้นในปี 1970 แต่แล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนชมครั้งแรกในปี 1997  โรงละครแห่งนี้ส่วนใหญ่มักจะจัดแสดงละครของเช็คสเปียร์ เช่น เรื่องโรมิโอ กับจูเลียต เป็นต้น โดยจะเปิดแสดงวันละ 2 รอบ เวลา 14.00 กับ 19.30 น  แต่ในตอนกลางวันก็จะมีทัวร์ชมโรงละคร และนิทรรศการทุกวัน  ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่คนละ 13.50 ปอนด์  สำหรับผู้สนใจก็ลองดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ชะนีแคระเอามาแปะไว้ให้  http://www.shakespearesglobe.com/      ถ้าจะเดินทางมาให้มาลงที่สถานี London Bridge

ชะนีแคระเดินเรื่อยเปื่อยหันมาดูนาฬิกาอีกทีปาเข้าไปแล้วเกือบสี่โมงเย็นกว่าแล้ว  เรายังมีโปรแกรมสำคัญรออีกเยอะ เดี่ยวจะไม่ทันการเที่ยวต่อไม่รอช้า  รีบข้าม 12. สะพานมิลเลเนียม (Millennium Bridge)หรือที่เรียกกันว่าสะพานทางเท้ามิลเลเนียมเป็นสะพานแขวนโครงสร้างเหล็ก สร้างไว้ให้คนเดินข้ามแม่น้ำเทมส์ ถูกสร้างขึ้นในปี  1988 แล้วเสร็จเปิดให้ประชาชนได้ใช้ในปีคศ.2000  ที่สำคัญแนวเชื่อมของสะพานทำให้เห็นวิวสวยงามของโบสถ์มหาวิหารเซนต์พอลซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวต่อไปของเรา


สะพานทางเท้ามิลเลเนียม  

 13. มหาวิหารเซนต์พอล (St. Paul Cathedral) มหาวิหารเซนต์พอลหลังนี้เป็นหลังที่สร้างขึ้นใหม่ หลังจากของเดิมได้เสียหายอย่างหนักในคราวไฟไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอนในปีคศ. 1666 ตัวสถาปัตยกรรมเป็นสไตล์บารอค 



ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์พอล



ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณโดยรอบมหาวิหารเซนต์พอลต่างล้วนโดนระเบิดถล่มทำลายเสียหาย แต่ยกเว้นมหาวิหารเซนต์พอลที่รอดมาได้ราวปาฏิหารย์  หากท่านผู้อ่านสนใจก็แวะมาชมกันได้  สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินให้มาลงสถานี St. Paul




                                                                  British Museum



และก็มาถึงไฮไลท์สำคัญของการเที่ยวในวันนี้ ชะนีแคระอ่านหนังสือ Lonely Planet มา เค้าบอกว่าสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดของการมาเที่ยวกรุงลอนดอนซึ่งได้รับการจัดเป็นอันดับ 2  นั่นก็คือการเข้าชม 13. พิพิธภัณฑ์บริติช  (British Museum) หรือเรียกอีกอย่างว่าพิพิธภัณฑ์อังกฤษ  พิพิธภัณฑ์ถูกสร้างขึ้นในคศ. 1753 แต่เปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกในปีคศ. 1759  ภายในพิพิธภัณฑ์บริติชจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดในโลก  ทางพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ทำการรวบรวมวัตถุต่างๆจากทุกๆ ทวีปทั่วโลกมาจัดแสดง ไม่รอช้าชะนีแคระจะพาท่านผู้อ่านไปดูของโบราณหายากกันนะคะ  


โถงทางเข้าพิพิธภัณฑ์

 รูปปั้นกษัตริย์อียิปต์



อารยธรรมสมัยเมโซโปเตเมีย  แถบๆอิรักซีเรีย




                 สิงโตจากอารยธรรมเมโซโปเตเมีย แถวๆอิรัก ซีเรีย ว่าแต่ยกมาทั้งกำแพงเลย


                                           ยกวิหารพาร์เธนอนมาจากกรีกกันเลยทีเดียว



แท่งศิลาอันนี้ละที่เป็นตัวไขปริศนาความลับของอักษรภาพไฮโรกริฟฟิกออก 


 ห้องแสดงมั่มมี่


โลงมั่มมี่ และหีบใส่ข้าวของเครื่องใช้



ชะนีแคระใช้เวลาชมพิพิธภัณฑ์ไปเกือบสองชั่วโมงกว่าจนได้เวลาปิดแล้วแต่ก็ยังดูไม่ทั่วเลย เพราะตัวพิพิธภัณฑ์ใหญ่มากมีหลายชั้น และค่อนข้างแบ่งหมวดหมู่ชัดเจน  นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์บริติชมีสิ่งของที่น่าสนใจและก็หาดูได้ยาก ถูกรวบรวมมาจากหลากหลายประเทศมากมาย จนบางทีชะนีแคระยังแอบคิดเลยว่าแล้วคนในประเทศเค้าไม่คิดอะไรบ้างเหรอที่ต้องเดินทางมาดูสิ่งของเหล่านี้ที่บ้านเมืองอื่นทั้งที่เป็นโบราณวัตถุจากบ้านเมืองเราแท้ๆ  สำหรับคนที่สนใจก็แวะมาชมกันได้นะคะ ไม่ต้องเสียค่าเข้า สามารถชมฟรีคะ เปิดบริการให้เข้าชมทุกวัน โดยวันเสาร์- พฤหัสบดี เปิดบริการตั้งแต่ 10- 17.30 น ยกเว้นวันศุกร์ 10 -20.30 น.

และสถานที่สุดท้ายของวันนี้นะคะ เราจะไปเที่ยวแถว 14. ตลาด Covent Garden เป็นตลาดเก่าแก่มีอายุมากกว่า 300 ปี แต่ปัจจุบันนี้คนมักจะรู้จักกันในชื่อว่า Apple market ย่านนี้จะเป็นแหล่งร้านอาหาร ที่สังสรรค์ของชาวลอนดอน ว่าแล้วคืนนี้เราจะไปหาอาหารเย็นทานกันแถวนี้ละค่ะ


ตลาด Covent Garden หรือApple Market

น่าเสียดายที่เราไปถึงก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว ตลาดวายค่ะจึงได้ภาพมาอย่างที่เห็น แต่ไม่เป็นไรหากมีเวลาเหลือเราจะกลับไปเก็บภาพและบรรยากาศมาฝากท่านผู้อ่านในโอกาสต่อไป งั้นเปลี่ยนแผนไปทานอาหารกันค่ะ วันนี้เราตั้งใจว่าจะมากินอาหารประจำชาติสไตล์คนอังกฤษแท้ๆ  มื้อนี้เราจะมาลองกิน Fish & chips  มาลองกินที่ร้านดังชื่อว่าร้าน  The Rock and Sole Plaice

ร้าน  The Rock and Sole Plaice



บรรยากาศภายในร้าน

Fish & chips

หลังจากที่ได้ลองแล้วก็บอกว่ารสชาติโอเค ราคาก็ไม่แพง ยังไงถ้ามีโอกาสก็แวะมาลองทานกันนะคะ   หลังจากกินอิ่มแล้วชะนีแคระกับชาวคณะก็คงต้องกลับโรงแรมนอน เตรียมตัวไปเที่ยวต่อในวันต่อไป  

 วันนี้ต้องลาไปก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ไว้พบกันใหม่ในตอนหน้าชื่อตอนว่าชะนีแคระ in UK พาเที่ยวลอนดอน (London)ประเทศอังกฤษ ตอนที่ 2 ชะนีแคระจะพาเที่ยวลอนดอนกันต่อค่ะ