วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวกรุงมาดริด (Madrid) ท่องไปในแดนกระทิงดุ Hola Spain ตอนที่ 2

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านนะคะ หลังจากที่แฟนคลับเรียกร้องมาว่าให้เร่งปั่นเขียนต้นฉบับเที่ยวเมืองมาดริดตอนที่ 2 เร็วๆ เพราะอยากจะรีบอ่านให้จบๆไป (เอะยังไงกัน ) ข้าเจ้าต้องเร่งจัดให้สมใจมิตรรักแฟนเพลงกันนะคะ

 สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านตอนก่อนหน้านี้ เที่ยวกรุงมาดริด (Madrid )ท่องไปในแดนกระทิงดุ Hola Spain ตอนที่ 1 http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2014/04/madrid-hola-spain-1.html


เช้าวันที่ 3
เราตื่นกันแต่เช้าเพราะวันนี้โปรแกรมแน่นเอียดทั้งวัน และเช้านี้เราจะไปลองชิมขนมขึ้นชื่อของสเปนกัน Churros เรียกกันว่าชูโฮส คล้ายกับปาท๋องโกบ้านเรานี่หละคะ ชูโฮสสารมารถกินเป็นอาหารเช้า อาหารว่าง หรือมื้อดึกก็ได้ หากินง่ายก็มีขายตามร้านค่าเฟ่ทั่วๆไปในกรุงมาดริด  แต่วันนี้เราเลือกที่จะไปชิมร้านเก่าแก่ดั้งเดิมกัน ชื่อว่าร้าน Chocolateria san gines ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1894 ขายชูโรสรสดั้งเดิม เสริฟพร้อมกับช็อกโกแลตร้อน รสดั้งเดิมก็จะไม่ใส่น้ำตาลโรย  หลังจากยัดกันไปคนละชุดคณะทัวร์ลงพุงคอนเฟิมว่ามันเลิศมาก อร่อยจริงๆคะ มามาดริดต้องห้ามพลาดเด็ดขาด


บรรยากาศภายในร้านแน่นไปด้วยลูกค้า


   
ชูโฮส ปาท่องโกสเปน กินกับช๊อกโกแลต

เมื่อท้องอิ่มแววก็ออกเดินทางเพื่อไปชมพระราชวังหลวงสเปน Placio Real พระราชวังนี้เป็นพระราชวังหลวงของราชวงศ์สเปน ถูกสร้างขึ้นในราวคริสตวรรษที่ 18  พื้นที่ใช้สอยภายในพระราชวังนั้นใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรปตะวันตกเลยนะคะ มีห้องหับนับมากกว่า 3000 ห้อง แต่เปิดให้เข้าชมเพียงแค่ 50 ห้อง ปัจจุบันเปิดใช้ในงานต้อนรับแขกเมืองสำคัญ และงานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ส่วนปัจจุบันพระราชวงศ์ไม่ได้พำนักที่นี่นะ   เนื่องจากภายในพระราชวังห้ามถ่ายรูปเราจึงเก็บภาพอาคารด้านนอกมาให้ชมบรรยากาศกันนะคะ ที่สำคัญขอเน้นย้ำถ้าใครจะไปเยี่ยมชมพระราชวังนี้ขอให้ไปแต่เช้านะคะ เพราะคนเยอะมากข้าเจ้ารอคิวเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว รอจนเหนื่อยเลยคะ ดีนะที่คณะรองท้องมาหน่อย

ด้านหน้าพระราชวัง



เมื่อเราออกมาจากพระราชวังเราก็จะไปวิหารหลวง Catedal de Santa Maria la real de la Almudena หรือมหาวิหารอมูเดน่าจะอยู่ด้านข้างพระราชวัง มหาวิหารอมูเดน่าเป็นมหาวิหารประจำราชสำนัก ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพระราชวังหลวง สถานที่แห่งนี้เคยจัดพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายฟิลิปเป้มงกุฏราชกุมารสเปนด้วย เราสามารถเยี่ยมเข้าชมได้ฟรี แต่อาจจะทำบุญภายในโบสถ์แววแต่จิตศรัทธาคะ


ด้านหน้ามหาวิหาร

ด้านข้างวิหารถ้ายจากมุมด้านหน้าพระราชวัง

เดินออกจากวิหาร และเราก็จะเดินย้อนผ่านพระราชวังไปเที่ยว Plaza de Oriente จะอยู่ด้านข้างพระราชวังที่นี่จะมีอนุเสารวรีย์ของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 พร้อมกับมีสวนเล็กๆ พอร่มรื่น

อนุเสาวรีย์พระเจ้าฟิลิปที่ 4 ด้านข้างพระราชวังหลวง


หลังจากแวะถ่ายรูปสักพักเราก็เดินลุยกันต่อจนไปถึงแยก Plaza Espana เป็นจัตุรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมาดริด อีกทั้งมีส่วนหย่อมขนาดใหญ่ที่ีนี่อีกด้านหนึงในสวนจะมีอนุเสาวรีย์ Miguel de Cervante ผู้ประพันธ์นวนิยายอันโด่งดังเรื่อง Don Quix de la Moncha จะเห็นว่ามีแต่คนมารอคิวเพื่อปีนไปถ่ายรูปมาก


อนุเสาวรีย์ผู้ประพันธ์นวนิยายอันโด่งดัง

นักท่องเที่ยวปีนเพื่อไปถ่ายรูปคู่


จากนั้นเราก็จะเดินกันต่อเพื่อไปดูจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินในสวน Templo de Debod
วัดเดบอด มีอายุเก่าแกกว่า 2200 ปี ยกมาจากอียิปต์ทั้งดุ้น โดยเป็นของขวัญที่ประเทศอียิปต์มอบให้สเปนในปี 1968 ที่สเปนไปช่วยเหลืออียิปต์ บริเวณวัดเดบอด จะมีสวนสาธารณะที่ร่มรื่นและตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ทำให้กลายเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดของมาดริด จากจุดนี้สามารถมองเห็นด้านข้างของพระราชวังหลวง และ Casa de Campo ซึ่งเป็นบริเวณป่าๆทุ่งๆ ของมาดริดได้ เหมาะกับการเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจตอนเย็นๆ มาชมพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ



วัดเดบอด


ณ จุดนี้สามารถมองเห็นวิวพระราชวังหลวง
อยู่รอบวัดนี้จนเย็นย่ำ วันนี้เป็นคืนวันเสาร์โชคดีของชาวคณะ เพราะคืนนี้จะมีบอลแมชนัดสำคัญของชาวสเปน ก็คือแมชระหว่างทีม Real Madrid กับบาเซโลน่า โดยคืนนี้จะเราจะลองเข้าไปดื่มเบียร์ในบาร์ของชาวมาดริดเพื่อไปดูบอลกัน จากที่เดินหาร้านหลายๆร้านพบว่าทุกร้านแน่นไปหมด เป็นที่คึกคักกันมากของชาวมาดริด อยากที่เคยบอกไปแล้วว่าชาวสเปนจะกินข้าวเย็นกันดึก ช่วงทุ่มถึงสามทุ่มกว่าๆนี้ชาวมาดริดจะนั่งดื่มเบียร์ กินทาปาสในบาร์ คาเฟ่ทั่วไป โดยบรรยากาศน่าสนุกทีเดียว แต่เสียดายที่ชะนีแคระไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับบอลจึงไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมแต่การจิบเบียร์และกินทาปาสไปพลางๆก็เลิศไม่น้อยที่สำคัญร้านนี้สั่งเบียร์หรือเครื่องดื่มหนึ่งอย่างแถมทาปาสจานเล็กๆฟรีคะ เข้าทางขุ่นแม่พอดี 555



บรรยากาศในค่าเฟ ร้านอาหารคราคร่ำไปด้วยชาวมาดริดที่รอดูชมบอลแมชสำคัญ

ทาปาสแจกฟรี ถ้าสั่งเครื่องดื่ม 1 ดิ้ง

ชาวมาดริด และนักท่องเที่ยวเชียร์บอลกันสนุกเลยคะ


เช้าวันที่ 4
ตลาดนัด EL Rasta
ช่วงเวลาสายๆของวันอาทิตย์เราจะไปเดินช็อปปิงกันที่ตลาดนัดนี้ ซึ่งเป็นตลาดนัดที่มีชื่อเสียงของมาดริด จะมีเฉพาะช่วงสายๆไปถึงบ่ายๆวันอาทิตย์เท่านั้น ที่นี่มีของขายหลากหลายให้เลือกซื้อหามากมายเรียกง่ายๆว่ามีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ มีสินค้าพื้นเมือง เครื่องใช้เก่าๆ มาขายในราคาย่อมเยาว์อีกด้วย

คนเยอะมากๆ

ตลาดนัด

เราใช้เวลาเลือกซื้อของฝากที่ระลึกกันจนกระทั่งบ่ายเราก็ออกเดินทางไปที่ Plaza de Toros  ที่นี่เป็นลานสู้วัวกระทิงระหว่างมาทาดอร์กับวัวกระทิง  ถ้าหากมาธาดอร์สู้แววแพ้เจ้าวัวกระทิงที่ชนะก็จะถูกรอดจากการนำไปเชือด ส่วนตัวไหนโชคร้ายพ่ายแพ้ก็ถูกนำไปฆ่า ตอนนี้หลายประเทศในยุโรปได้ออกกฏหมายห้ามกีฬาประเภทนี้แล้วเพราะมันโหดร้ายทารุณสัตว์เกินไป แต่สำหรับชาวสเปนมันเป็นกีฬาแห่งความท้าทาย และพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายตัวจริง ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้ชาวคณะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าถ้าหากเราเข้าไปดูก็เหมือนเป็นการสนับสนุนให้ฆ่าสัตว์ ดังนั้นเราจึงทำได้แค่ถ่ายรูปอยุ่รอบสเตเดียมแห่งนี้คะ



ภายนอกสนามแข่งสู้วัวกระทิง

วันนี้มีการแข่งจะประดับธงรอบสเตเดียมเลยคะ

หลังจากเยี่ยมชมเสร็จแวว เราก็นั่งเมโทรออกมานอกเมืองหน่อยนะคะ เพื่อจะไปเยี่ยมชมสนามฟุตบอลของทีม Real Madrid โดยสนามแห่งนี้ชื่อว่า Estadio Santiago Bernabéu แต่ค่าเข้าชมข้างในสนามราคาตั้ง 22 ยูโรต่อ 1 ใบ พวกเราจึงขอชมและถ่ายรูปด้านนอกแล้วกัน

สนามฟุตบอลทีมเรียลมาดริด

ช็อปขายของที่ระลึกของทีมฟุตบอลเรียลมาดริด


วันที่ 5 เราเดินทางไปเมือง Toledo ซึ่งจะนำมาเล่าในตอนหน้านะคะ

วันที่ 6
สำหรับวันสุดท้ายในมาดริด  เราใช้เวลาว่างครึ่งวันเดินเล่นเก็บตกสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งพวกเราเลือกที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ MUSEO THYSSEN BORNEMISZA ซึงในพิพิธภัณฑ์นี้มีภาพวาดงานศิลปะที่ถูกรวบรวมมาจากทั่วทุกมุมโลกที่คนในตระกูล Thyssen Bornemisza รวบรวมไว้หลายชั่วคน หากสนใจและก็มีเวลาเหลือก็รองแวะเข้าชมกันได้



ในความรู้สึกของชะนีแคระนั้นรู้สึกประทับใจหลายๆอย่างในการมาท่องเที่ยวมาดริดครั้งนี้ ชาวสเปนส่วนใหญ่เป็นคนน่ารัก สนุกสนาน และอัธยาศัยดีแม้จะมีอุปสรรคในการสื่อสารบ้าง เพราะคนส่วนใหญ่ในมาดริดพูดภาษาอังกฤษได้น้อย แต่ก็พยายามใช้มือใช้ไม้สื่อสารช่วยนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที  อีกอย่างที่ชอบมากๆก็คืออาหารการกินที่มาดริดนี่รสชาติถูกปากคนไทยอย่างเรามาก เพราะอาหารอาจจะรสจัด เผ็ดร้อนกว่าอาหารฝรั่งเศสจึงทำให้ข้าเจ้าเจริญอาหารเป็นพิเศษจบทริปนี้ข้าเจ้าน้ำหนักขึ้นหลายกิโลเลยคะ เฮ้อสุดท้ายแล้วไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีการเลิกลาต่างคนต่างก็ต้องเดินทางกลับบ้านโดยหวังว่าวันหนึ่งจะข้าเจ้าจะได้เดินทางกลับมาเยี่ยมชาวสเปนกันอีกครั้ง


สำหรับวันนี้ต้องขอขอบคุณแฟนๆกันอีกครั้งที่ติดตามผลงานกันสำหรับตอนหน้าพบกันในชื่่อตอนว่า Toledo เมืองหลวงเก่าสเปนที่โลกไม่ลืมคะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวกรุงมาดริด(Madrid)ท่องไปในแดนกระทิงดุ Hola Spain ตอนที่ 1


 จากความเดิมที่แล้วที่เราพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวกรุงเจนีวา สวิสเซอแลนด์
http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2014_04_01_archive.html

คราวนี้ขอพาท่านผู้อ่านบินลัดฟ้าไปเที่ยวกรุงมาดริด (Madrid)เมืองหลวงของประเทศสเปนกันนะคะ โดยโปรแกรมของทริปนี้จะพักอยู่ที่มาดริด เป็นเวลา 6 วัน 5 คืน โดยจะแบ่งเป็น 5 วันจะเที่ยวในตัวเมืองมาดริด และก็อีก 1 วันเราจะเดินทางไปเที่ยวเมือง Toledo เมืองหลวงเก่าของสเปนแบบเช้าไปเย็นกลับซึ่งเดี่ยวเราจะมาเล่าในตอนหน้า ซึ่งช่วงที่ข้าเจ้าเดินทางมามาดริดเป็นช่วงเดือนเมษายน อากาศที่มาดริดกำลังสบายๆ อุณหภูมิราว 14 -19 องศา ไม่ร้อนไม่หนาวมาก เอาละคะถ้าท่านผู้อ่านพร้อมแล้วออกเดินทางไปพร้อมกับชะนีแคระได้เลยคะ



Espagne เป็นภาษาฝรั่งเศสที่เรียกประเทศสเปน
 
เช้าวันที่ 1
ชะนีแคระเดินทางกับสายการบินแอร์ฟรานจากปารีสใช้เวลาเพียงแค่เกือบสองชั่วโมงเราก็บินมาถึงสนามบิน Barajas Madrid  ประมาณเที่ยงๆ แล้วเดินทางต่อด้วยเมโทรที่อยุ่ใต้สนามบิน เดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พักย่าน Plaza Mayor ใช้เวลาแค่ 40 นาทีกว่าก็มาถึงที่พัก เมโทรที่มาดริดไม่ยุ่งยาก สะดวก สามารถซื้อตั๋วได้ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ มีแบบตั๋วรายวัน 3   5  7 วันหรือตั๋วเที่ยว 10 เที่ยว ซึ่งเราคิดแล้วว่าอยากจะเดินเที่ยวชมเมืองมากกว่าจึงซื้อตั๋วแบบ 10 เที่ยวแทน


ที่พักใกล้ Plaza Mayor
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแววเราก็สะพายเป้แบกกล้องตะลอนทัวร์กันเลย  โดยสถานที่แรกเราจะไปเที่ยวกันคือ Plaza Mayor จากที่พักใช้เวลาเดินแค่ 5 นาทีเอง ที่นี่เป็นจัตุรัสกลางเมือง ที่ชาวมาดริด และนักท่องเที่ยวชอบมานั่งรับประทานอาหาร สังสรรค์ และก็มีร้านรวงขายของที่ระลึกมากมายเลยทีเดียว


Plaza Mayor จัตุรัสกลางเมืองมาดริด




เดินได้หน่อยท้องก็เริ่มร้อง บ่ายสองกว่าแววยังไม่ได้กินไรเลย เดินผ่านหลายร้านอยุ่เหมือนกันตั้งใจแววถ้ามาถึงสเปนต้องห้ามพลาดเมนูเด็ด ข้าวผัดสเปน Paella ออกเสียงว่า ปายล่า ที่สำคัญต้องกินพวกเบคอนรมควัน พร้อมกับซองเกลียเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสเปน เห็นอยุ่ร้านหนึงดูสะอาดน่านั่งจัดไปชุดใหญ่


ซองเกลียกับเบคอนรมควัน และชีสสเปน 


ข้าวผัดสเปน Paella

อร่อยขนาดสมคำร่ำลือ ไม่เหลือซาก

 เมื่อท้องอิ่ม ร่างกายก็เริ่มมีแรงออกเดินเที่ยวกันต่อนะคะ อีกที่อยุ่ไม่ไกลจากจัตุรัสกลางเมือง Plaza Mayor   เดินสัก 10 นาที เราก็จะมาถึง Plaza Puerta del Sol เรียกกันว่าย่านโซ ซึ่งย่านนี้จะเป็นแหล่งนัดพบของชาวมาดริด ย่านสรรพสินค้า ร้านรวง โดยเฉพาะย่านร้านขายของเนื้อเบคอนรมควัน แฮม ไส้กรอก และที่สำคัญเป็นที่ตั้งของเจ้าหมีสัญลักษณ์ของมาดริดตัวนี้ด้วย


เจ้าหมีมาดริด 


ร้านขายเบคอนรมควัน 

หลังจากเดินเล่นอยู่ย่านโซจนค่ำมืด สามทุ่มกว่าได้ถึงเวลากินอีกแล้ว แกงค์นี้คือทัวร์ลงพุงกินไปเรื่อยจริงๆ  ปกติคนสเปนเค้ากินข้าวเย็นกันดึก สี่ทุ่มนั่นแหละถึงจะเริ่มกินกัน (สาวๆสเปนจะไม่ตัวใหญ่ได้ไงเนียกินดึกขนาดนี้ 555)  โดยมื้อค่ำนี้เราจะไปเที่ยวตลาดสดไฮโซในมาดริดชื่อว่า Mercado de San Miguel  เพื่อไปลองกิน Tapas เรียกว่าทาปาส ทาปาสคืออาหารว่างชิ้นเล็กๆ ของชาวสเปนโดยจะมีหลายๆอย่าง อย่างละนิดละหน่อย เช่น มะกอก ชีส ปลาหมึก กุ้งรมควัน หอย ไส้กรอก เป็นต้น เค้าว่ากันตลาดนี้ของกินเพียบ โดยเฉพาะ ไวน์ และเบคอนรมควัน  ชีส แฮม ของกินนานาชนิด ที่แน่ๆราคาในตลาดสดที่นี่แพงกว่าร้านข้างนอกอีก ไม่ใช่ตลาดสดธรรมดานักท่องเที่ยวเต็มเลย



บรรยากาศภายในตลาดสด

ร้านขายเบคอนในตลาดสด

สองสาวจิบไวน์ กะลองกินเบคอน ซัวซิซองสเปน

ทาปาส
เมือกินข้าวเย็นเรียบร้อยเราก็กลับที่พักกันอย่างสะโหร่สะเหร่ โดยเฉพาะขานี้เมื่อยไปหมดเลยอาจจะเพราะวันแรกเราเดินมาทั้งวัน คืนนี้สงสัยคงหลับตาย ต้องรีบนอนเอาแรงสำหรับวันรุ่งขึ้นยังมีโปรแกรมเด็ดรออยุ่นะคะ


เช้าวันที่ 2

หลังจากตื่นเช้า เราก็รีบเดินทางไป  Musée du Prado  ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ที่นี่มีการรวบรวมผลงานจิตกรรมภาพวาดของนักจิตรกรที่มีชื่อเสียงของสเปน และของโลก โดยเฉพาะผลงานของ Goya จิตรกรผู้มีชื่อเสียงของชาวสเปน โดยผลงานของโกย่านั้นค่อนข้างมีพลัง และเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลยทีเดียว ขอแนะนำเพื่อนๆคนไหนที่สนใจให้รีบไปแต่เช้าๆเพราะรอเข้าคิวนานมาก เนื่องจากเพื่อนของข้าเจ้านางเป็นคนชอบงานศิลปะ เราจึงใช้เวลาอยุ่ในมิวเซียมหลายชั่วโมง (ส่วนชะนีอย่างข้าเจ้าก็เลยต้องพลอยชื่นชมศิลปะไปกับนางด้วย) เพราะที่นี่มีภาพวาดมากมายนับเป็นพันๆภาพที่นำมาจัดแสดง หากใครที่เป็นคนชอบงานศิลปะ แนะนำห้ามพลาดเด็ดขาด

ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์

อนุเสาวรีย์ของโกย่า

จุดต่อไปหลังจากออกมาจากพิพิธภัณฑ์ เราก็เข้าไปเที่ยวที่สวนสาธารณะใจกลางกรุงมาดริดกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์มากนัก  Praque del buen retiro ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ร่มรื่นมาก ที่นี่หนุ่มสาวชาวมาดริดชอบมานั่งจู่จี่กัน บ้างเป็นครอบครัวก็อุ้มลูกจูงหลานมาพักผ่อนปิคนิคกันในสวนแห่งนี้ นอกจากนี้ภายในสวนยังมีบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ชาวมาดริดโดยเฉพาะคู่รักหนุ่มสาวชอบมาพายเรือเล่นกันโรแมนติกไปอีกแบบนะคะ



ใจกลางสวนสาธารณะจะมีบึงขนาดใหญ่ให้ชาวมาดริดพายเรือเล่นกัน


ภายในสวนสาธารณะใจกลางกรุงมาดริด

เดินไปอีกนิด แดดเริ่มร่มแวว จะเจอ Puerta del Alcala เป็นประตูชัยที่สร้างขึ้นตามดำริพระเจ้าคาร์ลอสที่สามเพื่อทดแทนประตูชัยอันเดิมที่เล็กไป ประตูชัยแห่งนี้เป็นศิลปะสไตล์นีโอคลาสิคคะทำมาจากหินแกรนิต 

ประตูชัยมาดริด
   
เดินถัดมาอีกหน่อยเราก็จะเจอกับย่าน Plaza de Cibeles ซึ่งด้านหน้าจะมีน้ำพุตั้งอยู่ ซึ่งที่นี่ก็เป็นศูนย์กลางธุรกิจคล้ายสีลม สุขุมวิทบ้านเรานี่หละคะ




ย่าน Plaza Cibeles


ในย่านนี้จะมีรูปปั้นตามยอดตึกสูงๆ

 
ปะติมากรรมปูนปั้นบนตึกสูง


วันนี้เที่ยวหลายที่เลยคะ เย็นย่ำแววขอจัดหนักอีกสักมื้อนะคะ สงสัยจะหิวจัดเพราะวันนี้เดอะแก็งเดินเยอะจริงๆ  


ทาปาสคะ


       
บลูเบอรี่ชีสเค้ก


เนื่องจากมาดริดเป็นเมืองใหญ่ และมีสถานที่ท่องเที่่ยวที่น่าสนใจเยอะแยะเลยคะ ไว้จะกลับมาเล่าต่อในตอนที่สองนะคะ กับโปรแกรมอีก 3 วันที่เหลือในกรุงมาดริดคะ  สำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อนพบกันใหม่ในตอนหน้า  เที่ยวกรุงมาดริด(Madrid)ท่องไปในแดนกระทิงดุ Hola Spain  ตอนที่2 

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวกรุงเจนีวา (Geneva) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ one day trip กับชะนีแคระ




สวัสดีคะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านหลังจากห่างหายไปจากการเขียนบล็อกท่องเที่ยวนานกว่าสองปี เนื่องจากชีวิตข้าเจ้านั้นวุ่นวายกับการเรียน ชีวิตและ การงาน ที่สำคัญไปกว่านั้นติดขี้เกียจนั้นเองพูดง่ายๆว่างั้นเถอะคะ และวันนี้บรรยากาศเป็นใจชะนีแคระจึงลุกขึ้นมาปัดฝุ่น และจับแป้นคอมฯอีกครั้ง
หลังจากสัญญากับท่านผู้อ่านในตอนก่อนหน้านี้ว่าจะพาเพื่อนๆนักอ่านไปเที่ยวกรุงเจนีวา(Geneva) กัน ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแวว ไปกันเลยคะ( ติดตามผลงานตอนก่อนหน้านี้ La Clusaz การเล่นสกีครั้งแรกของชะนีแคระ) http://aiyaaroundtheworld.blogspot.fr/2012/10/la-clusaz.html




รุงเจนีวา(Geneva)  หรือที่ชาวฝรั่งเศสเรียกชื่อเมืองว่า เฉอนาฟ  นั่นเอง ถึงแม้กรุงเจนีวาจะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศสวิสเซอแลนด์ (Switzerland) แต่กรุงเจนีวาก็จัดเป็นเมืองที่มีความสำคัญ มีชื่อเสียงและเป็นอีกเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมต่างพามาแวะเวียนเป็นอันดับต้นๆของการท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอแลนด์  อีกทั้งกรุงเจนีวายังเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติสำคัญๆ หลายองค์กร เช่น สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป, องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้นนอกจากนี้แล้วกรุงเจนีวายังเป็นสถานที่จัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติ ใน ค.ศ. 1919 และกาชาดสากล ใน ค.ศ. 1864  ด้วยเพราะเหตุนี้หลายคนจึงขนานนามว่านครเจนีวาเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางนานาชาติ




จตุรัสกลางเมืองเจนีวา




การเดินทางมาครั้งนี้ข้าเจ้าได้เดินทางมาจากเมืองอานซี ( Annecy) จากประเทศฝรั่งเศส ตั้งใจว่าจะแวะมาเที่ยวเจนีวาแบบเช้าเย็นกลับ ซึ่งการเดินทางนั้นก็ขับรถยนต์ส่วนตัวใช้เวลาประมาณแค่ชั่วโมง กว่าๆก็มาถึงใจกลางเมืองเจนีวาราวๆเที่ยงได้ แต่เนื่องจากวันที่ข้าเจ้ามานี้เป็นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ กำลังอยุ่ในช่วงฤดูหนาว อากาศค่อนข้างหนาวได้ใจเลยที่เดียว อากาศติดลบ - 12 องศาได้ประกอบกับลมที่พัดอยุ่ตลอดเวลา หิมะยังกองอยุ่ที่พื้นถนนเลย คิดดูนะคะหนาวขนาดมือนี้แข็งแทบจะกดถ่ายรูปไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้นทริปที่เจนีวานี้จึงเป็นทริปที่มีรูปน้อยที่สุดว่างั้นเถอะ 555


การเที่ยวในเมืองเจนีวา นั้นก็แบ่งออกเป็นสองส่วน คือในส่วนของเมืองเก่า(Old Town )  และก็ส่วนเมืองใหม่ ( New Town)นั้นเรามาเริ่มเดินเล่นในส่วนของเมืองเก่ากันก่อนเลยนะคะ ที่แรกที่เราแวะไปเยือน



 วิหารเซนต์ปิแอร์ (St. Pierre Cathedral) เป็นวิหารนิกายโปรเตสแตนต์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ย้อนกลับไปในช่วงระหว่างศตวรรษ 8 -10 ปัจจุบันวิหารได้กลายเป็น 1 ใน 82 สิ่งปลูกสร้างที่เป็นแหล่งมรดกสำคัญของชาติสวิตเซอร์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุงเจนีวาอีกด้วย วิหารแห่งนี้เป็นการผสมผสานของศิลปะร่วมสมัย มีความสวยงามของกระจกสี ภายในมีหลุมฝังศพของ Henri de Rohan  ด้านในวิหารใช้ปูนเปลือยค่ะ ไม่ได้ทาสีอะไร ตกแต่งแบบง่ายๆ แต่ก็ดูขลังมากทีเดียว 



ด้านหน้าวิหารเซนต์ปิแอร์




ภายในมหาวิหารเซนต์ปิแอร์




วันนี้มีนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะอาจจะเพราะอากาศที่หนาวจัดจึงมีแต่กรุ๊ปเราที่เดินเล่นถ่ายรูป เก็บบรรยากาศในส่วนของเมืองเก่า




รอบๆตัวเมืองเจนีวา ในโซน Old Town



มีการประดับธงชาติสวิสเซอแลนด์ตามอาคารต่างๆ

มีการจัดแสดงปืนใหญ่สมัยโบราณของชาวเจนีวา



ส่วนเมืองใหม่ ก็จะเป็นถนนแหล่งการช็อปปิ้งของกรุงเจนีวา มีห้างร้านใหญ่แบรนด์เนมดังๆ อยุ่สองข้างทางที่สำคัญเต็มไปด้วยร้านขายนาฬิกาแพงๆ หลายแบรนด์เลยคะ เค้าถึงบอกว่ามานาฬิกายี่ห้อดังๆ แพงๆล้วนเมดอินจากสวิสนี่หละคะ เห็นแววก็อยากได้สักเรือน อิอิ
















ราเดินถัดไปจากเมืองใหม่ก็ติดกับทะเลสาปขนาดใหญ่ชื่อว่าทะเลสาปเจนีวา เป็นทะเลสาปน้ำจืดขนาดใหญ่ เค้าว่าอาณาเขตของทะเลสาปนี้ที่เชื่อมกับบางเมืองในประเทศฝรั่งเศสเลยนคะ แต่น่าเสียดายที่เรามาในหน้าหนาว หากมาเรามาเที่ยวตอนหน้าร้อน รอบๆทะเลสาปคงจะสวยงามมากแน่เลยคะ อีกอย่างที่ห้ามพลาดถ้าแวะมาดูทะเลสาปเจนีวาแวว นี่เลยคะสัญลักษณ์อีกอย่างของเจนีวา




เจ็ทโด (Jet d'Eau) น้ำพุที่ได้รับการยอมรับว่าสูงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเจนีวา โดยน้ำพุสามารถมองเห็นได้จากทุกจุดในเมือง รวมไปถึงจากทางอากาศอีกด้วย  แต่อย่างที่บอกคะ ว่าเราว่าช่วงไม่ดีเลย น้ำพุปิดอดเห็นน้ำพุเลยคะ แต่เราก็พยายามเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาปมาให้ท่านผู้ชมได้ชมกันนะคะ




เนื่องจากน้ำพุปิด เลยถ่ายรูปมาจากโปสการ์ดนะคะ





บรรยากาศรอบทะเลสาปคะ


ลองใช้กล้องซูมดูอีกฝากหนึ่งของทะเลสาบนะคะ


หลังจากเดินเล่นไม่กี่ชั่วโมง เพราะลมแรงมาก หนาวยะเยือกพวกเราชาวคณะจึงตัดสินใจเข้าพิพิธภัณฑ์ ไปดูนาฬิกาชื่อดังฟิลิปป์ปาเต็กกัน เพื่อหลบหนาว มิเช่นนั้นอาจจะแข็งตายได้ แต่หน้าเสียดายภายในพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูปคะ เราจึงได้แค่เก็บภาพความประทับใจแววได้เห็นวิวัฒนาการในการทำนาฬิกา ได้ชมนาฬิกาโบราณเรือนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับได้ดูนาฬิกาหลายเรือนที่ราคาแพงมาก โดยแอบหวังว่าในชีวิตจะมีโอกาสได้ใส่กะเค้าบ้างไหม  เวลาผ่านไปเร็วมากเลยคะแค่สองชั่วโมงกว่า พอออกมาข้างนอกแค่หกโมงเย็นเมืองเจนีวาก็เย็นย่ำแววอาจเป็นเพราะฤดูหนาวฟ้าจะมืดเร็ว ข้าเจ้าและชาวคณะจึงจำใจต้องลาจากเมืองเจนีวาเดินทางกลับฝรั่งเศส และหวังว่าในวันหนึ่งเราจะกลับมาเยือน เจนีวา หรือสวิสเซอแลนด์อีกครั้งในช่วงอากาศที่ดีกว่านี้นะคะ



สำหรับวันนี้ต้องลากันไปก่อน พบกับตอนต่อไปในชื่อตอนที่ว่าท่องไปในแดนกระทิงดุ Hola Spain คะ