วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวมงต์ ซาน มิเชล (Mont Saint Michel) มหาวิหารและเกาะศักดิ์สิทธิ์ของฝรั่งเศส


สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้เราจะพาท่านผู้อ่านเดินทางไปเที่ยวแคว้นนอมังดี ประเทศฝรั่งเศสกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชะนีแคระจะพาไปเที่ยวแลนด์มาร์คสำคัญของแคว้นนอมังดีนั่นก็คือ มงต์ ซาน มิเชล    ( Mont Saint Michel)  หากเราได้มีโอกาสมาเที่ยวที่แคว้นนอมังดีจะไม่แวะมาเที่ยวที่ มงต์ ซาน มิเชลคงเหมือนขาดไฮไลท์สำคัญไป เพราะที่นี่ได้รับการโหวตจากนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว 1 ใน 5 สำคัญของฝรั่งเศส   ถ้าหากคุณมาเที่ยวฝรั่งเศสแล้วห้ามพลาดเด็ดขาด และมงต์ ซาน มิเชลก็ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 3 รองจากหอไอเฟล    และพระราชวังแวร์ซายด้วย ข้อมูลเบื้องต้นก็น่าสนใจแล้วนะค่ะ   เรามาดูกันสิว่าเพราะอะไรที่นี่ถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฝรั่งเศส หากท่านผู้อ่านพร้อมแล้วเตรียมตัวออกเดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมกับชะนีแคระกันเลยค่ะ





การเดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจว่าถ้าหากเราจะเดินทางจากปารีสมายังที่มงต์ ซาน มิเชล เราจะเดินทางมายังไง
อาจจะลำบากยุ่งยากนิดนึง คือต้องนั่งรถไฟทีจีวี จากท่ารถไฟที่มองพานาส(  Montparnasse) ไปที่เมือง Rennes ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.กว่า  แปะลิงค์รถไฟทีจีวีฝรั่งเศสไว้ให้นะ ใครสนใจก็เค้าไปเช็ค ดูตารางรถและจองตั๋วออนไลน์ได้เลย   http://www.voyages-sncf.com/แล้วนั่งรถบัส รถโค็ตต่ออีกที โดยรายละเอียดของรถบัสก็ลองศึกษาดูตารางเวลาการเดินทางที่เว็ปไซด์นี้ที่แปะไว้ให้
http://www.keolis-emeraude.com/en/

แต่สำหรับชะนีแคระขับรถยนต์ส่วนตัวค่ะ ก็ใช้เวลาประมาณสัก 4 ชม.กว่าได้ ดังนั้น หากวางแผนที่จะมาเที่ยวที่มงต์ ซาน มิเชลหรือแคว้นนอมังดีแล้วชะนีแคระขอแนะนำว่าควรจะพักค้างคืนสักหนึ่งคืน ทีนี่หรือเมืองใกล้เคียง จะได้ไม่เหนื่อยมาก แต่ก็มีเพื่อนคนไทยนี่หละบอกว่าเดียวนี้เค้ามีทัวร์ขายแบบเช้าไปเย็นกลับออกเดินทางแต่เช้า กลับถึงปารีสก็ประมาณ สามสี่ทุ่ม กว่า ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแล้วกัน

 โดยเจ้ามงต์ ซาน มิเชล จะเป็นเกาะหินแกรนิตที่กลางทะเล จะไม่ติดกับแผ่นดินใหญ่ จะตั้งอยุ่ใกล้กับแคว้นนอมังดี และแคว้นเบรอตาญ แคว้นทางเหนือของฝรั่งเศส  ดังนั้นถ้าหากจะเดินทางไปยังเกาะมงต์ ซาน มิเชลแล้ว ในสมัยก่อนเราต้องนั่งเรือข้ามไปอย่างเดียวหรือจะเดินไปตอนช่วงน้ำลดก็ได้ แต่เดี่ยวนี้เค้ามีทำถนนใหญ่ข้ามจากฝั่งแผ่นดิน โดยนักท่องเที่ยวสามารถจอดรถไว้บนฝั่งแผ่นดิน และใช้บริการรถชัตเตอร์บัสรับส่งไปที่เกาะเลย นับว่าสะดวกสบายขึ้นทีเดียว





ประวัติและตำนาน

ขอเล่าประวัติคร่าวๆจากที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส อาจารย์ชาวฝรั่งเศสเล่าให้ฟังว่าเดิมทีนั้นที่มาของการสร้างมหาวิหารมงต์ แซน มิเชลมีตำนานเล่าว่า ราว คศ. 708  เทพเซนต์มิเชล (Saint Micheal)ได้มาเข้าฝันท่านบาทหลวง บิชอปนามว่าโอแบร์ ( Aubert)ว่าให้มาสร้างโบสถ์เพื่อเผยแพร่ศาสนาที่เกาะแห่งนี้ แต่ท่านบาทหลวงก็ไม่ได้เชื่อจนฝันเหมือนกัน 3 ครั้งแล้วครั้งที่ 3 ท่านเทพมาจิ้มที่หัวย้ำว่าต้องสร้าง ท่านบาทหลวงก็ตกใจตื่นปรากฏว่ามีรอยรูที่จิ้มหัวจริงตามนิมิต ท่านก็ได้เลยรวบรวมผุ้คนเริ่มสร้างวิหารขึ้น ซึ่งการเริ่มสร้างวิหารเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะต้องนำหินแกรนิตจากแคว้นเบรอตาญมาสร้าง ซึ่งกว่าจะขนหินมาก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน และเส้นทางก็ยากลำบาก แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาของผู้คนที่ต่างได้ทราบข่าวก็ต่างพากันมาแสวงบุญ อพยพมาอยู่ ก็ช่วยกันสร้างต่อเติมจากโบสถ์หลังเล็กๆจนกลายมาเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่สไตย์โกธิกแล้วเสร็จ ในคริสตวรรษที่ 13-14 นั้นเอง และได้มีการต่อเติมป้อมปราการกำแพงเมืองขึ้นด้วย ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษ กับฝรั่งเศส ซึ่งในสมัยนั้นอังกฤษจะยกทัพมารุกรานฝรั่งเศส และก็มักจะชนะและครอบครองดินแดนส่วนบนของฝรั่งเศสรวมทั้งแคว้นนอมังดีด้วย  ซึ่งอาจจะเป็นช่วงความอ่อนแอของกษัตรย์ฝรั่งเศสในสมัยนั้น(ท่านผู้อ่านก็จินตนาการง่ายๆนึกภาพสงครามไทยกับพม่าเป็นต้น)  แต่ที่เกาะมงต์ ซาน มิเชลที่นี่แหละที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่ออังกฤษ แม้ว่าอังกฤษจะพยายามยกทัพมาตีหลายครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นด้วยความได้เปรียบของภูมิศาสต์ร์ที่ตั้งเป็นเกาะกลางทะเล เวลาน้ำทะเลขึ้นทหารอังกฤษจะต้องพายเรือเข้ามาตีในตอนกลางคืน หรือเวลาน้ำทะเลลง เดินทัพเท้าเปล่ามาตอนกลางวัน  ซึ่งถ้ากะเวลาไม่ดีเวลาน้ำขึ้นก็จะทำให้กองทัพอังกฤษต้องจมน้ำ  ซึ่งค่อนข้างยากต่อการเข้าต่อตี   ดังนั้นในสมัยนั้นผู้คนชาวฝรั่งเศสก็เชื่อมั่นว่าที่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เทพมิเชลคอยช่วยเหลือปกป้องคุ้มครอง ผู้คนต่างศรัทธาและก็เดินทางมาที่นี่  หลังจากช่วงสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส จักรพรรดิ์นโปเลียนได้เปลี่ยนจากมหาวิหารที่แสวงบุญแห่งนี้ให้กลายมาเป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง และต่อมาในคศ. 1784 มงต์ ซาน มิเชลก็ได้รับการรณรงค์ให้ถูกเปลี่ยนสถานะจากคุกคุมขังนักโทษโดยการรณรงค์ของ วิกเตอร์ อูโก้(Victer Hugo) นักปรัชญา และกวีชื่อดังของฝรั่งเศสให้กลายมาเป็นโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย และที่สำคัญในปี คศ.1979 ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกจนถึงปัจจุบัน





หลังจากทราบประวัติตำนานแล้วชะนีแคระขอเริ่มการเดินทางเลยแล้วกันเราเดินทางมาเที่ยวที่มงต์ ซาน มิเชลในช่วงเดือนพฤศจิกายนค่ะ ช่วงนี้อากาศเย็นอุณหภูมิราว 10- 15 องศาแต่ลมค่อนข้างแรงเพราะเป็นเกาะชายทะเล  กว่าจะจอดรถ และนั่งรถชัตเตอร์บัสมาถึงตัวเกาะก็เกือบ 11 โมงเช้าค่ะ  วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะเลยคะขนาดเป็นวันธรรมดา ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์คงไม่ต้องพูดถึง

ตัวเมือง ทำจากหินแกรนิต

เดินเข้ามาภายในบนเกาะแล้วนะค่ะ บ้านเรือนอาคารล้วนทำจากหินแกรนิตจริงๆ ดูบ้านเรือนเดียวนี้ก็ถูกปรับให้กลายมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร แล้วก็โรงแรมกันนะค่ะ ถนนในเมืองก็เป็นตรอกแคบๆ นักท่องเที่ยวเดินสวนกัน คนแน่นเลยค่ะ



สองฝากถนนเป็นตรอกแคบๆ

เดียวเราจะเดินขึ้นเพื่อไปชมมหาวิหารกันด้านบน ระหว่างกำลังเดินขึ้นไป ลองถ่ายภาพย้อนกลับมาดูทางเดินที่เราข้ามมาจากแผ่นดินใหญ่อยุ่ลิบๆ  จากฟ้าใสอยุ่ดี ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นครึ้มๆแล้วคะ หวังว่าฝนคงไม่ตกหรอกนะ


ทางเดินขึ้นไปชมหาวิหาร

ถนนที่สร้างจากแผ่นดินข้ามมายังเกาะ

สำหรับการเข้ามาชมภายในมหาวิหารต้องเสียค่าเข้าด้วยนะค่ะ แต่ชะนีแคระลืมราคาค่าเข้าแล้วนะค่ะ แต่วันนี้คนเยอะเลยค่ะต้องรอต่อแถวกันยาวเลย แนะนำมาแต่เช้าดีๆกว่าจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน 
ภายในมหาวิหารแห่งนี้จะมีห้องโถงต่างๆมากมายหลายห้อง รวมถึงมีสวนเล็กๆอยุ่ภายในด้วยนะ

ห้องโถงสำหรับทำพิธีต่างๆในมหาวิหาร




สวนหย่อมเล็กๆ


ภายในมหาวิหารแห่งนี้ตกแต่งแบบเรียบๆ ไม่ค่อยตกแต่งมาก แต่สังเกตว่าขนาดก้อนหินนั้นมีขนาดใหญ่มาก นึกไม่ออกเลยว่าสมัยก่อนนั้นเค้าขนหินกันขึ้นมากันยังไง ห้องนี้เป็นห้องโถงที่เคยจัดพิธีต้อนรับกษัตริย์ฝรั่งเศสมานมัสการมหาวิหารและพำนักที่นี่

ห้องนี้เคยเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่จัดพิธีต้อนรับกษัตริย์ของฝรั่งเศสที่มามนัสการมหาวิหาร

เนื่องจากตัวมหาวิหารค่อนข้างสูงชัน ดังนั้นเค้าจึงใช้รอกเอาไว้สำหรับลำเลียงอาหาร วัสดุ ข้าวของจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน ทุ่นแรง


รอกไว้ชักขนข้าวของจากด้านล่างขึ้นมา




และก็รูปปั้นเทพเซนต์มิเชล ที่มาของตำนานและความศรัทธาของผู้คน



รูปปั้น Saint Micheal




จากด้านบนของมหาวิหารเราสามารถมองเห็นวิวรอบเกาะมงต์ ซาน มิเชล ที่เห็นลิบๆมีเกาะเล็กๆอยู่ใกล้ๆ ด้วยนะค่ะ แล้วเรามาองเห็นกลุ่มคนลงไปเดินเล่นข้ามเกาะกันเวลาน้ำทะเลลง แต่ที่สำคัญถือว่าอันตรายมากทีเดียวนะค่ะเวลาเราเดินเล่นตอนช่วงน้ำทะเลลง เพราะพื้นทรายที่นี่เป็นทรายตมค่ะ คล้ายๆกับโคลนดูดยังงั้น หากนักท่องเที่ยวต้องการเดินเล่นจริงควรต้องไปกับไกค์ที่มีความชำนาญทาง เพราะเค้าจะรู้ว่าบริเวณไหนเดินได้ และก็รุ้เวลาที่น้ำทะเลจะขึ้นเพราะน้ำทะเลที่นี่ขึ้นเร็วมาก ดังนั้นที่นี่มักจะมีนักท่องเที่ยวที่ไม่รุ้แล้วประมาทไปเดินเล่น แล้วถูกโคลนทรายดูดจน น้ำทะเลขึ้นจมน้ำเสียชีวิตเป็นข่าวแทบทุกๆปี ดังนั้นจึงต้องระวังให้มากนะค่ะ 





ชะนีแคระมีวิดีโอคลิปตัวอย่างทรายดูดในบริเวณรอบมงต์ ซานมิเชลมาให้ดูด้วยนะค่ะว่าเป็นยังไง ถ้านักท่องเที่ยวที่สนใจอยากจะไปเดินเล่นต้องระวังหน่อยก็ดีค่ะ  อย่าประมาททีเดียว


หลังจากเดินเล่นสักพัก ดูเวลาก็เกือบบ่ายสองแล้วท้องหิวแล้วค่ะไปทานอาหารเที่ยงกันดีกว่า ขอแนะนำเลยอาหารขึ้นชื่อหากได้มาเยือนมงต์ ซาน มิเชลแล้วห้ามพลาด ออมเลต ร้านดัง La mère  Poulard  ถ้าแปลเป็นไทยก็ออกแนวร้านแม่พูล่า ร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่มากของฝรั่งเศส เค้าว่าเป็นเจ้าต้นตำรับออมเลตที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ไม่พลาดค่ะชะนีแคระต้องสั่งมาลอง











หลังจากที่สั่งมาลองแล้วขอบอกว่า ข้างในไขเจียวจะเป็นครีมเหลวๆ เลี่ยน บอกไม่ถูก ดูจากสีหน้าคนกิน ไข่เจียวบ้านเราอร่อยกว่าเยอะเลยค่ะ แต่ถ้าท่านผู้อ่านจะลองชิมก็ไม่ว่ากันนะค่ะ มาถึงที่แล้วต้องลองค่ะ







หลังจากท้องอิ่มแล้วเราก็เดินต่อรอบๆบริเวณมหาวิหารนะค่ะ ตอนบ่ายแดดออกแล้วค่ะ ฟ้าใสเชียว







  บนยอดมหาวิหารมีรูปปั้นเทพเซนต์มิเชลด้วยนะค่ะ




นักท่องเที่ยวเยอะเลยค่ะ



มีพิพิธภัณธ์พวกชุดเกราะนักรบโบราณจัดแสดง ด้วยนะค่ะ แต่ชะนีแคระไม่ได้เข้าไปดูด้านในค่ะ เสียตังค่ะ






บรรยากาศอาคารบ้านเรือนที่เป็นหินแกรนิต เห็นยอดมหาวิหารอยุ่ลิบๆ












เราลองไปเดินเล่นบนพื้้นทราย ใกล้เกาะมงต์ ซาน มิเชลกันนะคะ แต่เราเดินแค่ใกล้ๆ ที่คิดว่าพื้นทรายแน่นนะไม่เป็นโคลนตม ชะนีแคระก็กลัวเหมือนกันไม่กล้าเดินไปไกลนัก กลัวน้ำทะเลขึ้นจะวิ่งกลับมาไม่ทันนะค่ะ









มีทัวร์พาขี่ม้าเที่ยวรอบเกาะด้วยคะ







เราเดินเล่นอยุ่สักพักค่ะ ประมาณชม.กว่า น้ำทะเลเริ่มจะขึ้นแล้วค่ะ ชะนีแคระก็ขอถอยขึ้นไปบนเกาะดีกว่า กันพลาดค่ะ แต่ก็เห็นหลายคนยังเดินเล่นกันอยุ่เลย เราเอาชัวร์ดีกว่า 



 น้ำทะเลเริ่มขึ้นแล้วคะ



เผลอแปปเดียวเริ่มท่วมแล้วคะ



หลังจากเดินเล่นสักพัก ก็ดูนาฬิกาเกือบ ห้าโมงเย็นแล้วค่ะ เราคงต้องลากลับกันแล้ว ก่อนจากกันในวันนี้ขอเอาภาพไฮไลท์สัญลักษณ์ของมงต์ ซาน มิเชล หรือภาพโปสการ์ดยอดฮิตของมงต์ ซาน มิเชลต้องถ่ายคุ่กับแกะนอมังดีมาฝากท่านผู้อ่านกันนะค่ะ




ฝูงน้องแกะนอมังดี










สุดท้ายนี้มงต์ ซาน มิเชลกำลังประสบปัญหาทางธรรมชาติอย่างหนัก เนื่องจากการผันแปรของกระแสน้ำทำให้พัดพาตะกอนจำนวนมากมาตกตรงปากแม่น้ำทำให้เกิดแผ่นดินงอกขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการทำลายสภาพดั้งเดิมของมงต์ ซาน มิเชลจากเดิมที่เป็นเกาะอยู่กลางทะเล แต่ปัจจุบันจะพบว่าแผ่นดินใกล้จะติดเกาะอยุ่แล้ว จากการคาดการณ์ว่าขืนปล่อยแบบนี้ในอีกร้อยปีข้างหน้ามงต์ ซาน มิเชลจะกลายเป็นแผ่นดินเดียวกับแผ่นดินใหญ่แน่นอน ดังนั้นชาวฝรั่งเศสจึงช่วยกันคิดโครงการกั้นเขื่อนน้ำขึ้นมา เพื่อชะลอการเกิดตะกอนที่เพิ่มพูน เราจึงมาดูว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยเกาะมงต์ ซาน มิเชลให้มีสภาพเหมือนกับเมื่อก่อนได้หรือไม่ สำหรับชะนีแคระจึงอยากให้ท่านผู้อ่านที่มีโอกาสได้มาเยือนฝรั่งเศสแวะมาเยี่ยมเที่ยวชมก่อนที่มงต์ ซานมิเชลจะเปลี่ยนแปลงไป และมาค้นพบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และความศรัทธาของคนฝรั่งเศสกันค่ะ  สำหรับตอนหน้าชะนีแคระจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวประเทศรัฐบอลติก กับตอนที่ 1ที่ชื่อว่าเที่ยวกรุงวิลนีอุส (Vilnius) ประเทศลิทัวเนียกันค่ะ( Lithuania)