วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พาเที่ยวกรุงบรัสเซลส์ (Brussels) เมืองหลวงประเทศเบลเยี่ยม (Belgium) ในวันฝนพรำ

สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกครั้งกับชะนีแคระหัวใจอินเตอร์กันนะคะ วันนี้เราจะพาไปเที่ยวกรุงบรัสเซลส์ (Brussels)เมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยมกัน  แต่ก่อนอื่นเลยทริปนี้ขอออกตัวก่อนว่าเป็นทริปแรกๆที่ชะนีแคระเริ่มเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่สมัยยังละอ่อนว่างั้น ตอนนั้นยังไม่เริ่มเขียนบล็อกเลยเวลาผ่านไปหลายปี เพิ่งจะว่างหยิบมาปัดฝุ่นเขียนเป็นเรื่องเป็นราวกันซะที ไม่ใช่เพราะเมืองนี้ไม่น่าสนใจนะ แต่เป็นเพราะว่าทริปนี้หารูปสวยๆได้น้อยมาก แถมรูปที่มีก็มักจะติดหน้าตัวเอง ครั้นจะเอามาลงก็เกรงใจว่าจะพาลพาทำให้สถานที่นั้นมัวหมอง แถมวันที่ไปเที่ยวฝนดันตกอีกต่างหาก(ขนาดเดินทางช่วงหน้าร้อนของยุโรป) ทริปนี้เลยต้องถูกดองไว้หลายปี วันนี้ได้ฤกษ์เขียนซะที  เอาหละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาแฟนๆ พร้อมแล้วใช่ไหมคะ? ว่าแล้วตีตั๋วไปเที่ยวกับชะนีแคระกันเลย




ข้อมูลทั่วไป

กรุงบรัสเซลส์  เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ Brussels ถ้าเป็นภาษาฝรั่งเศสก็จะเขียน Bruxelles เมืองบรัสเซลส์เป็นเมืองหลวง ของประเทศเบลเยี่ยม ประชาชนที่นี่ส่วนใหญ่ใช้สองภาษาหลักๆก็ภาษาดัตซ์ กับภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ต้องกลัวค่ะ เมืองบรัสเซลส์เค้าเป็นเมืองท่องเที่ยว ผู้คนพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ เบลเยี่ยมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหภาพยุโรป (EU) หากเพื่อนๆสนใจมาเที่ยวกันก็ต้องขอวีซ่าเชงเก้นกันให้เรียบร้อย ซึ่งชะนีแคระจะขอข้ามไปไม่อธิบายแล้วกัน คิดว่าเพื่อนๆคงจะค้นหาขั้นตอน และการเตรียมเอกสารในการขอวีซ่าเชงเก้นได้ในอินเตอร์เนต  เพราะเห็นมีหลายคนได้เขียนอธิบายได้ละเอียดดี (ขี้เกียจนั่นเอง)  ที่นี่ใช้เงินสกุลยูโรก็เตรียมแลกเงินให้พร้อมก่อนออกเดินทางนะคะ

 แผนการเดินทาง

การเดินทางทริปนี้ชะนีแคระตั้งใจจะเดินทางมาเที่ยวที่กรุงบรัสเซลส์นี้เป็นเวลา 2 วันกับอีก 1 คืนตั้งใจจะมาเยี่ยมเพื่อนที่ทำงานอยุ่กรุงบรัสเซลส์(กะว่าจะพักฟรีไม่เสียตังนั่นเอง ดูเป็นคนดีไหมเนีย? ) เราเดินทางกันในต้นเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นหน้าร้อนของยุโรป   การเดินทางจากปารีส มาเที่ยวที่กรุงบรัสเซลส์เราสามารถเดินทางได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถไฟทีจีวี รถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศส หรือนั่งเครื่องบินก็ได้ แล้วเดี่ยวนี้มีบริการนั่งรถบัสจากปารีสมาถึงกรุงบรัสเซสล์ด้วยซึ่งราคาค่อนข้างถูกมาก เริ่มต้นแค่สิบกว่ายูโรเท่านั้น ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ ชะนีแคระเอามาแปะให้ https://www.flixbus.com/?gclid=CNi4__idtcYCFQfKtAodG2YJaQ
 แต่การเดินทางครั้งนี้ชะนีแคระเลือกที่จะนั่งรถไฟทีจีวีนะ เพราะว่าใช้เวลาแค่ 2 ชม.กว่าๆก็มาถึงกรุงบรัสเซลส์แล้ว ยิ่งถ้าจองล่วงหน้าก็ราคาไม่แพงมาก นี่เอาลิงค์มาแปะให้เหมือนกัน  http://uk.voyages-sncf.com/en/ ซึงไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด

วันที่ 1

เราเริ่มออกเดินทางจากปารีสที่สถานีรถไฟสายเหนือ Gare du Nord ตั้งแต่ 9 โมงเช้ากว่า มาถึงที่กรุงบรัสเซลส์ก็เกือบเที่ยง กว่าจะรอเพื่อนมารับพาไปเก็บของและทานข้าวที่อาพาร์ทเม้นท์ กว่าจะเริ่มออกเที่ยวก็เกือบบ่ายสองโมง วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจท้องฟ้าหม่นหมองฝนตกซะงั้น เพื่อนของชะนีแคระนางบอกว่าเอ๊ะเมือวานฟ้ายังสว่างสดใสอยู่เลย แค่พอชะนีแคระมาถึงกรุงบรัสเซลส์ฝนก็ตก อากาศเปลี่ยนซะงั้นคะ(ดูมัน น่ารักจริงๆ)  แต่อย่างว่าฝนตกก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเที่ยวของเรา อุตส่าห์มาถึงแล้วจะนั่งในห้องรอฝนหยุดก็ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ ทีสำคัญมันตกไม่หนัก ชะนีแคระคิดเอาเองว่าเดี่ยวมันก็คงจะหยุด   เอาละเราเริ่มไปเที่ยวสถานที่แรก จัตุรัสกรองด์  ปราซ (Grand Place) ภาษาฝรั่งเศส แปลว่าจัตุรัสที่กว้างใหญ่นั่นเอง จัตุรัสกรองด์ปราซ เป็นจัตุรัสที่มีความสำคัญ มีขนาดใหญ่และมีความงดงามที่สุดในกรุงบรัสเซลส์ อาคารและตึกต่างๆในจัตุรัสกรองด์  ปราซสร้างเป็นศิลปะสไตล์บาโรคและโกธิค   จัตุรัสแห่งนี้เคยถูกทำลายในคศ.1695 จากกองทัพฝรั่งเศสระดมยิงปืนใหญ่ทำลายจัตุรัสแห่งนี้จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ชาวเมืองบรัสเซลส์ก็ร่วมใจกันสร้างบรูณะขึ้นมาใหม่สวยงามเหมือนเดิม  ปัจจุบันนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปีคศ. 1998 ภายในจัตุรัสก็จะมีร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรมมากมาย ที่สำคัญตรงกลางลานของจัตุรัสก็จะมีคนมาขายรูปวาด หรือขายดอกไม้ต้นไม้ต่างๆ  ว่ากันว่าที่นี่เป็นจุดนัดพบสังสรรค์ของชาวเมืองรวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างเราๆด้วย




จัตุรัสกรองด์ ปราซ (Grand Place)



 Town hall ที่ว่าการอำเภอ  ในบริเวณลานจัตุรัสกรองด์  ปราซ


ที่จัตุรัสกรองด์  ปราซนี่เค้าจะมีจัดเทศกาลพรมดอกไม้ขึ้นทุกๆ 2ปีครั้งในช่วงประมาณวันที่12-15 สิงหาคม ถ้าท่านผู้อ่านสนใจก็ลองเช็ครายละเอียดหรือวางแผนการเดินทางดี ๆจะได้ไม่พลาดมาดูงานเทศกาลกัน ในบริเวณจัตุรัสกรองด์ ปราซ ใกล้ๆจะเห็น Town Hall ที่ว่าการอำเภอเมือง เป็นอาคารที่สร้างในสไตล์บาโรคผสมผสานกับสไตล์โกธิค ถูกสร้างเสร็จในปีคศ.1420 อดีตใช้เป็นที่ทำว่าการของเมืองบรัสเซลส์





พระราชวัง  (King's House)

 พระราชวัง (King's house) เป็นอาคารตึกฝั่งตรงข้ามกับ Town Hall อดีตเป็นพระราชวังเก่า แต่ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปีคศ. 1887 ภายในได้มีการจัดรวบรวมประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมือง  ประวัติการทำสงคราม รวมถึงจัดแสดงเสื้อผ้าเครื่องประดับในสมัยยุคต่างๆ  



รูปปั้นทองเหลือพระเยซู แอบถ่ายติดนายแบบมาด้วย 

ไม่ไกลจากจัตุรัสกรองด์ ปราซ ชะนีแคระก็เห็นนักท่องเที่ยวกำลังมุงอะไรอยู่เข้าไปดูใกล้ๆ มันคือรูปโลหะทองเหลืองรูปปั้นพระเยซู เห็นนักท่องเที่ยวเข้าคิวลูบคลำองค์พระเยซู  บ้างก็รุมถ่ายรูป ก็เลยถามเพื่อนว่าทำไมคนเค้าถึงมาลูบคลำ นางเล่าว่าคนที่นี่เชื่อว่าให้มาลูบขอพรองค์พระเยซูแล้วจะทำให้มีสุขภาพดี บ้างก็ว่าจะได้กลับมาเยือนบรัสเซลส์อีก ไม่รอช้าชะนีแคระหรือจะพลาด อิอิว่าแล้วก็ทั้งลูบทั้งคลำ ขอพรนานมาก เผื่อจะได้มีวาสนากลับมาเที่ยวบรัสเซลส์อีก

มาอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญเค้าว่าถ้ามาเมืองบรัสเซลส์ห้ามพลาดมาดูน้ำพุอนุเสาวรีย์รูปปั้นแมนเนเกน  พิสหรือเจ้ารูปปั้นหนูน้อยยืนฉี่ (Manneken Pis)  เจ้าหนูน้อยนั้นมีประวัติเรื่องเล่ามากมาย บ้างก็ว่าในสมัยที่ฝรั่งเศสทำสงครามกับเบลเยี่ยมนั้นก็ได้จุดชนวนระเบิดหมายจะระเบิดเมืองบรัสเซลส์ให้พินาศเป็นเถ้าถ่าน แต่เจ้าหนูน้อยนี้ก็ผ่านมาเห็นก็เลยยืนฉี่เพื่อดับชนวนไฟเลยทำให้เมืองบรัสเซลส์รอดจากการถูกระเบิดมาได้ ชาวเมืองก็เลยพร้อมใจกันสร้างอนุเสาวรีย์ให้เจ้าหนูน้อยนี้ เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ  ปกติแล้วเจ้าหนูน้อยจะมีชุดใส่มากมายหลายร้อยชุดเลย ซึ่งเค้าจะเปลี่ยนให้ใส่ตามเทศกาลต่างๆ เค้าว่ามีชุดไทยด้วยนะ  แต่วันนี้ที่เรามาเจ้าหนูน้อยเปลือยไม่ใส่ชุดอะไร  ของจริงตัวเล็กนิดเดียวเอง



รูปปั้นเจ้าหนูน้อยแมนเนเกน พิสผู้โด่งดัง





เราก็เดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบๆเมือง เดินดูข้าวของตามถนนย่านแหล่งช็อปปิ้ง ใครที่มากรุงบรัสเซลส์ห้ามพลาดซื้อพวกช็อกโกแลตกลับไปเป็นของฝากกันค่ะ ที่นี่เค้าขึ้นชื่อเป็นสินค้าโอท็อปเลยว่าได้  หรือจะเรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนรักช็อกโกแลตเลย ตลอดสองฝั่งถนนจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายช็อกโกแลต บางร้านก็ให้ชิมฟรีนะคะ ชะนีแคระหรือจะพลาด มีแต่ช็อกโกแลตน่ากินทั้งนั้นเลย ชั่วโมงนี้ลืมความอ้วนทิ้งไปได้เลยค่ะ


ร้านค้าช็อกโกแลต

น้ำพุช็อกโกแลต


ร้านช็อกโกแลต



บรรยากาศสีสันถนนในเมืองบรัสเซลส์

สถานที่ต่อไปที่เราจะพาไปเที่ยวกันก็คือมหาวิหารเซนต์มิเชลและเซนต์กูดูลา (St. Michael et St. Gudula Cathedral) มหาวิหารสำคัญของเมือง ถูกสร้างขึ้นในคศ. ที่ 10 แล้วก็ถูกไฟไหม้ คศ. 1072 แล้วชาวเมืองได้ทำการบรูณะสร้างต่อเติมขึ้นมาเรื่อยๆด้วยสไตล์ศิลปะแบบโกธิค จนเสร็จสมบรูณ์ในปีคศ. 15  เราสามารถเข้าไปชมภายในมหาวิหารได้ฟรีไม่เสียเงิน


ด้านหลังคือมหาวิหารเซนต์ไมเคิล เซนต์กูดูลา


ด้านหน้าของมหาวิหาร

ภายในมหาวิหาร


แท่นพิธีที่บาทหลวงอ่านคัมภีร์ไบเบิล

มัวแต่เดินเล่นโอ้เอ้ ดูโน่นดูนี่ก็ปาไปเกือบทุ่มกว่าแล้วค่ะ เย็นนี้เพื่อนของชะนีแคระจะพาไปทานอาหารขึ้นชื่อของชาวบลัสเซลส์กัน ซึ่งใครมาก็จะต้องลองชิมเจ้าเมนูนี้ค่ะมันก็คือ เจ้าเมนูหอยแมงภู่อบ กับเฟร้นช์ฟายด์ ปกติชะนีแคระเคยทานมาหลายครั้งแล้วตอนที่อยู่ฝรั่งเศส แต่ก็ไม่อยากพลาดลองชิมดูว่ารสชาติมันจะต่างกันไหม  วันนี้ลองมากินร้านดัง L'EON อ่านว่า เลอง


ถ้าจะมากินหอยแมงภู่อบต้องร้านนี้ ร้านชื่อว่า  เลอง


หอยแมงภู่อบมาแล้ว อร่อย
  
จากการชิมแล้วรสชาติไม่ต่างจากที่ฝรั่งเศสมากนัก แต่ที่นีหอยใหญ่มาก ที่ฝรั่งเศสอย่างกับลูกหอยซะงั้น  เรามาต่อที่เมนูขนมหวาน เค้าว่ามาบรัสเซลส์ต้องลองของหวานที่นี่เค้าขึ้นชื่อค่ะ ขนมวาฟเฟิล มาถึงเบลเยี่ยมทั้งทีจัดไปค่ะ


ขนมวาฟเฟิล


ก่อนจากกันในค่ำคืนนี้ลากันไปด้วยภาพของจัตุรัสกรองด์  ปราซยามค่ำคืนในบรรยากาศฝนตกพรำๆ


จัตุรัสกรองด์  ปราซ ยามค่ำคืน

ฝนตกพรำๆ




เช้าวันที่ 2

สำหรับวันนี้เราตื่นสายเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวานตากฝนทั้งวัน วันนี้ชะนีแคระป่วยค่ะ แต่ถามว่าใจสู้ไหม? ถ้าอาการไม่สาหัสขนาดต้องหามส่งโรงพยาบาลแล้วละก็ ชะนีแคระอึดค่ะยิ่งเรื่องเที่ยวด้วยแล้วละก็ถึงไหนถึงกัน  วันนี้เรามีเวลาเที่ยวแค่ถึงบ่ายสีโมงเท่านั้น เพราะเราต้องเดินทางกลับปารีส ตอนนี้ดูนาฬิกาแล้วเกือบ 11 โมงแล้วต้องทำเวลากันหน่อย ถ้าพร้อมแล้วลุยต่อค่ะ  ซึ่งโปรแกรมของวันนี้ไม่มีอะไรมากเราจะเน้นดูถนนหนทางชีวิตผู้คนในกรุงบรัสเซลส์  แล้วก็แวะซื้อของฝากก่อนกลับกัน   ซึ่งการเที่ยวในวันนี้เราอาศัยการเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่นะคะ นอกจากประหยัดแล้วมันยังทำให้เราได้เห็นชีวิตของชาวเมืองกัน  ระหว่างเดินผ่านตามตัวตึกต่างๆก็จะเจอรูปวาดการ์ตูนชื่อดัง Tintin  ตินติน หรือภาษาฝรั่งเศสอ่านว่า ตาตา (สำเนียงปารีส) แตงแตง (สำเนียงทางใต้ของฝรั่งเศส)  โดยตินติน เป็นการ์ตูนเรื่องราวการผจญภัยสืบสวนสอบสวนแนวตลกขบขัน ที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆทั่วโลก ได้มีการแปลเป็นภาษาต่างชาติมากกว่า 80 ภาษาทั่วโลก และตินตินมีต้นกำเนิดเรื่องราวจากเบลเยี่ยมนั่นเอง โดยนักเขียนการ์ตูนชื่อดังนามว่า จอร์จ เรมี ใช้นามปากกาว่า Hergé  อ่านว่า แอร์เช่ ซึ่งเค้าเกิดที่เบลเยี่ยมนั่นเอง


ภาพวาดการ์ตูตินติน


ภาพวาดตามตัวตึกอาคารบ้านช่องต่างๆ



เราจะเห็นภาพว่าการ์ตูนตินตินนี้ตามตึกต่างๆ รอบเมืองบรัสเซลส์ เค้าว่ากันเป็นการให้เกียรติแก่นักเขียนชื่อดังแล้ว ยังเป็นกุศโลบายส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัว เค้าว่ากันว่ามีแฟนคลับของผู้คลั้งไคล้การ์ตูนชุดนี้บินมาเยี่ยมชมจำนวนมากมายทุกปี คิดดูว่าจะสร้างรายได้มหาศาลแค่ไหนเนี่ย  ว่าแล้วลองแวะเค้าร้านขายหนังสือการ์ตูนจะหาดูหนังสือของตินตินซะหน่อย


เราเดินไกลออกมาจากโซนนักท่องเที่ยวหน่อย มาแวะโซนแถวที่ทำงานเพื่อน นางแวะพาไปดูออฟฟิศนางค่ะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่โซนไหนของเมืองบรัสเซลส์เอาเป็นว่า วันนี้เป็นทริปขำๆเดือนเรื่อยเปือยแบบไม่มีจุดหมายแล้วกัน


บรรยากาศตามถนนหนทาง

แถวนี้ปลูกต้นไม้เป็นทิวแถวเลย


เราเดินมาเรื่อยๆจนถึงย่านจัตุรัส Place de Royale  เดิมทีจัตุรัสย่านนี้เป็นตลาดเก่าติดกับพระราชวังเดิมชื่อ Coudenberg ที่ถูกไฟไหม้ไป ในราวคศ. ที่ 17 ก็มีการออกแบบสร้างอาคารใหม่ที่เห็นในปัจจุบัน

พระราชวัง Coudenberg


เราเดินมาอีกนิดก็จะถึง Mont des Arts เป็นสวนหย่อม มีต้นไม้ดอกไม้สวยๆที่นี่เค้าบอกจะเป็นจุดที่ดีจุดหนึ่งในการเห็นวิวสวยๆของกรุงบรัสเซลส์   จากประวัติตรงบริเวณนี้เมื่อก่อนเป็นจุดที่ชาวเมืองอาศัยอย่างหนาแน่น ในสมัยคศ. 19 กษัตริย์ในสมัยนั้นมีแนวความคิดที่จะปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อจะสร้างภูมิทัศน์ที่งดงามระหว่างพระราชวังกับจัตุรัสกรองด์  ปราซ ก็เลยสั่งให้มีการรื้อถอนอาคาร แล้วมีการออกแบบสร้างสวน และน้ำพุขึ้นมาแทน

Mont des Arts


อนุเสาวรีย์
ตอนนี้เกือบบ่ายสองแล้ว เราก็กลับไปเดินเล่นแถวๆย่านน้ำพุเจ้าหนูแมนนาเกน พิสอีกครั้งเพื่อเดินดูของที่ระลึก ของฝากก่อนกลับบ้านกัน 




ของที่ระลึกรูปปั้นแมนนาเกน พิส

นอกจากร้านช็อกโกแลตต่างๆ ที่มีให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อมากมายแล้ว พวกรูปปั้นเจ้าหนูแมนนาเกน พิส พวงกุญแจ ที่ติดตู้เย็น ชะนีแคระก็เห็นพวกผ้าถักลูกไม้ต่างๆเป็นม่านหน้าต่าง ผ้าเช็ดหน้า ชุดเสื้อผ้าเด็กเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมให้เลือกซื้อกันด้วย มีหลายร้านมากเลยค่ะ แถมแต่ละร้านก็ตกแต่งสวยงามทีเดียว

ร้านขายผ้าถักลูกไม้



ปิดท้ายก่อนกลับแวะซื้อขนมวาฟเฟิลซึ่งร้านขายวาฟเฟิลมีอยุ่หลายร้านมากตลอดทุกถนน ชะนีแคระเลือกเข้าไปสั่งร้านหนึ่งเห็นน่ากินดี เจ้าของร้านเห็นหน้าตาเอเชียหัวดำอย่างนี้ก็เลยถามว่าคุณมาจากไหนเนี่ย คนไทยหรือเปล่า  เราก็บอกไปว่าเป็นคนไทย พอเค้ารู้ว่าเป็นคนไทยก็ตะโกนไปเรียกลูกจ้างหลังร้านบอกว่ามีลูกค้าคนไทยมา แม่ครัวของร้านเป็นพี่คนไทย แกแต่งงานแล้วก็มาอาศัยที่กรุงบรัสเซลส์ได้ 4-5 ปีแล้วมาเป็นลูกจ้างที่ร้านนี้ หลังจากคุยสักพัก  แกก็ทำวาฟเฟิลให้พร้อมแถมให้เยอะมากจริงๆ   ถ้าท่านผู้อ่านสนใจก็ลองแวะมาชิมขนมวาฟเฟิลกันได้นะคะ



ร้านขายขนมวาฟเฟิล

พี่คนขายคนไทย



หลังจากกลับไปเอาของที่อาพาทเม้นท์เพื่อน แล้วก็เดินทางไปที่สถานนีรถไฟเพื่อเดินทางกลับปารีส วันหยุดสั้นๆนี้เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราต้องเดินทางกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจอยากเดินทางมาเที่ยวที่บรัสเซลส์นั้นก็ไม่ยากเลยคะ เดี่ยวนี้เดินทางสะดวกและก็เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจในยุโรป  คุณผู้อ่านที่อยู่ในยุโรปสามารถใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มาแวะเที่ยวได้  ส่วนท่านผู้อ่านที่อยุ่ในเมืองไทยนั้นบรัสเซลส์ และเบลเยี่ยมก็เป็นอีกหนึ่งสีสันอีกทางเลือกหนึ่งของการมาท่องเที่ยวในยุโรป     หวังว่ารีวิวของชะนีแคระจะเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแหล่งข้อมูลให้กับทุกท่านนะคะ  ก่อนจากกันในวันนี้ขอขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม  สำหรับตอนหน้านั้นชะนีแคระจะทำตัวไฮโซพาแฟนๆไปบุกถิ่นผู้ดีอังกฤษกันค่ะ กับตอนที่ชื่อว่า ชะนีแคระ in UK พาเที่ยวมหานครลอนดอนกันค่ะ